sadanon

คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี

                 คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับหากเรามีเวลา 1 เดือนในการลดระดับคอเลสเตอรอล ในร่างกายเราจะทำอย่างไร? โดยทั่วไปแล้วระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดนั้นไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 🌡️หากเราตรวจแล้วพบว่าเกิน จะมีวิธีไหนลดไขมันไม่ดีเหล่านี้ได้บ้าง เพราะนี่คือ ไขมันตัวร้ายที่นำไปสู่ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด 🫀🩸 ได้ วันนี้แอดมินมี 5 วิธีดีๆและรวดเร็วในการลดระดับคอเลเตอรอลครับ คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี ข้อที่ 1 งดไขมันทรานส์ทุกชนิด🚫🍰 🍩ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่สังเคราะห์ขึ้น เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะส่งผลทำให้คอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดของเราสูงมากขึ้นๆ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของคนที่เวลาไปตรวจเลือดแล้วค่า LDL หรือว่าคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกิดจากการที่เรากินไขมันทรานส์นั่นเอง ไขมันทรานส์มักอยู่ในอาหารที่มีส่วนผสมของเนยเทียม มาการีน ครีมเทียม กลุ่มขนมเบเกอรี่ต่างๆ บราวนี่ เค้ก คุกกี้ โดนัท เป็นต้นดังนั้นถ้าหากจะรับประทาน จำเป็นต้องเช็คดูก่อนครับว่า ขนมชนิดนั้นมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบหรือไม่ถ้ามี ก็พยายามหลีกเลี่ยงครับ นอกจากการงดทานครีมเทียมก็เช่นกันครับ ท่านที่ชื่นชอบดื่มเครื่องดื่มต่างๆที่ผสมครียมเทียมไม่ว่าจะเป็นกาแฟหรือว่าชา โดยเฉพาะในกาแฟแบบ 3 in 1 หรือว่ากาแฟกระป๋อง ต้องระมัดระวังครับ พยายามสังเกตข้างผลิตภัณฑ์ก่อนนะครับว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนั้นเนี่ยนะครับมีไขมันทรานส์อยู่หรือไม่ เพราะว่าถ้าหากเผลอลืมตัวทานเข้าไปมากๆแล้ว คอเลสเตอรอลพุ่งกระฉูดแน่นอนครับ ข้อที่ 2 ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน 🫗อันนี้เบสิคแต่หลายท่านเผลอครับ น้ำหวานไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม หรือแม้แต่น้ำผลไม้ต่างๆ เหล่านี้ให้พลังงานสูงมากครับ เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆ พลังงานที่ได้จากน้ำหวานเหล่านั้นก็เปลี่ยนรูปกลายเป็นไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันสะสมในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดของเรามีไขมันในเลือดสูงนั่นเอง ดังนั้นใช้การ “งด” แทนการ “ลด” เลยดีกว่าครับ หันมาดื่มน้ำแปล่าอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรขึ้นไป ก็จะช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย ลดความเสี่ยงในการสะสมของไขมันร้ายในร่างกายได้อีกด้วยครับ ข้อที่ 3 หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน🚫🥩 🍗เนื้อสัตว์ต่างๆ ในเมนูยอดฮิตไม่ว่าจะเป็นพวกขาหมู หมูกรอบ หนังไก่ที่มันๆกลุ่มนี้จะเป็นไขมันที่อิ่มตัวที่เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆแล้วจะสะสมเป็นคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดของเราได้ ดังนั้นถ้าอยากลดแบบเร่งด่วนในเดือนแรก พยายามทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน หรือในแต่ละอาทิตย์ควรทานเนื้อปลาเพิ่มขึ้น 🐟เพราะว่าเนื้อปลาเป็นแหล่งของโปรตีนชั้นดี ย่อยง่ายไขมันต่ำ แล้วก็มีโอเมก้า 3 สูงอีกด้วยครับ ทานให้ได้อย่างน้อย 3-4 มื้อขึ้นไปจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเรื่องของคุณอย่างเร่งด่วนได้แน่นอนครับ ข้อที่ 4 รับประทานผักทุกมื้อ 🥗ในแต่ละมื้อแนะนำว่าให้รับประทานผักครับ โดยเฉพาะผักที่เป็นใบ เพราะว่าผักใบต่างๆนะครับไม่ว่าจะเป็น คะน้า ตำลึง ผักกาด ดอกแค เหล่านี้นั้นล้วนมีไฟเบอร์สูงมากซึ่งจะช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหารต่างๆได้ครับ ข้อที่ 5 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ🏊‍♂️🚴ข้อนี้สำคัญไม่แพ้การควบคุมอาหารเลยครับ ควรที่จะออกกำลังต่อเนื่อง ถ้าใครอยากที่จะลดไขมันหรือว่าคอเลสเตอรอลในเลือดอย่างเร่งด่วน ก็เริ่มจากการออกกำลังกายแบบง่ายๆเลย นั่นก็คือการเดินนั่นเองครับ วันละ 30 นาที หรือว่าจะยืนแกว่งแขน ปั่นจักรยาน หรือจะวิ่งก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกาย ปฏิบัติให้ได้ 30 นาทีขึ้น⌚ไปรับรองเลยว่าคอเลสเตอรอลในเลือดของคุณลดลงอย่างแน่นอนครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี กลับสู่หน้าหลักบทความ

คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี Read More »

เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน

               เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้นั้น เหมาะกับท่านที่ชื่นชอบการรับประทานชีสครับ ขึ้นว่าชีส บางท่านอาจจะนึกถึงอาหารไขมันสูง จนอยากจะเลี่ยงหากอยากจะควบคุมน้ำหนัก แต่ทราบหรือไม่ว่า มีชีสหลายชนิดเลยที่จัดได้ว่าดีต่อสุขภาพ มีไขมันต่ำ ทั้งยังมีโปรตีนสูง โดยโปรตีนจะมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และชีสคุณภาพเหล่านั้น หากเราทานในปริมาณที่พอดี ก็ยังสามารถทานไปพร้อมกับการควบคุมน้ำหนักได้ วันนี้เรามาชมไปพร้อมกันครับว่ามีชีสชนิดใดบ้าง มาเลือกชีสเพื่อสุขภาพกันครับ มอสซาเรลลาชีส (Mozzarella cheese) : พลังงาน 70 แคลอรี่/ออนซ์ (ชีสสดที่ไม่ได้ผ่านการบ่ม ผลิตจากน้ำนมวัวและน้ำนมควายจุดเด่น & คุณประโยชน์ : มีความยืด เป็นที่นิยมรับประทานของสายชีส กลิ่นไม่แรง และ ให้พลังงานต่ำคอทเทจชีส (Cottage cheese) : พลังงาน 120 แคลอรี่/110 กรัม (ชีสสด)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : โปรตีนสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมด้วยวิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเส้นประสาทและเซลล์เม็ดเลือดให้แข็งแรง เหมาะกับคนชอบทานชีสและกำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ ก่อนเลือกซื้อให้ดูโภชนาการเพื่อเลือกสูตรไขมันต่ำริคอตต้าชีส (Ricotta cheese) : พลังงาน 35 แคลอรี่/ออนซ์ (ทำมาจากหางนมที่ได้จากนมวัว, แพะ, แกะ และควายในอิตาลี )จุดเด่น & คุณประโยชน์ : นี่เป็นอีกหนึ่งชีสทางเลือกของคนรักสุขภาพเพราะจะเป็นเวย์โปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย สามารถทานกับ สลัด พาสต้า ลาซัญญ่า หรือจะทานร่วมกับผลไม้รสหวานก็ได้ ทานได้สบายๆเพราะแคลต่ำมากๆชีสนมแพะ (Goat cheese) : พลังงาน 75 แคลอรี่/ออนซ์ (ได้จากนมแพะ)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : ชีสนมแพะมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา เหมาะกับคนที่แพ้นมวัวหรือคนที่ย่อยยาก ซึ่งไขมันที่อยู่ในชีสนมแพะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและไม่เกิดเป็นไขมันสะสม อีกด้วยเฟตาชีส (Feta cheese) : พลังงาน 75 แคลอรี่/ออนซ์ (ได้จากน้ำนมแกะและแพะ)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : ชีสเนื้อนุ่มจากประเทศกรีซ  มีรสชาติเค็ม มีงานวิจัยงานหนึ่งพบว่าในเฟตาชีสมีสาร CLA (Conjugated Linoleic Acid) กรดไขมันดีที่มีส่วนช่วยยับยั้งการสะสมไขมันใหม่ที่เข้าสู่ร่างกาย โดย เฟตาชีสที่ผลิตจากนมแพะจะมีสาร CLA สูงที่สุด ส่วนมากนิยมใส่ในเมนูสลัดต่างๆกามองแบร์ชีส (Camembert cheese) : พลังงาน 80 แคลอรี่/ออนซ์ (เป็นชีสที่ทำมาจากนมวัวในฝรั่งเศส )จุดเด่น & คุณประโยชน์ : มีผิวสัมผัสแข็ง แต่เนื้อชีสด้านในนั้นมีความนุ่ม มีรสชาติเค็มผสมเปรี้ยวแบบจางๆ กามองแบร์ เป็นชีสที่มีไขมันระดับปานกลาง อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A และ B ผู้คนมักทานคู่กับการดื่มไวน์แดงรสชาติจะลงตัวที่สุดพาเมซานชีส (Parmesan cheese) : พลังงาน 35 แคลอรี่/ออนซ์ (ทำมาจากนมวัว)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงและสำหรับคนที่แพ้น้ำตาลแลคโตสในนมวัวก็หายห่วงครับ ท่านสามารถกินพาร์เมซานชีสได้ เพราะน้ำตาลแลคโตสจะถูกกำจัดออกไประหว่างการหมักนั่นเอง นี่ถือชีสยอดนิยมที่มักจะพบในพิซซ่า พาสต้า สปาเกตตี้คาโบนารา ซีซาร์สลัด เป็นชีสที่ มีผู้แนะนำไว้ว่าหากลองใส่พาเมซานชีสลงในอาหารประมาณ 2 ช้อนชาจะช่วยให้อาหารจานนั้นอร่อยขึ้น เห็นอร่อยขนาดนี้ให้พลังงานเพียงแค่ 35 แคลอรี/ออนซ์ เท่านั้นเองชีสจัดเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีชนิดหนึ่ง ซึ่งหากวันไหนทานชีสเข้าไปแล้ว ร่างกายได้รับไขมันจากชีสแล้ว ก็ควรลดหรืองดไขมันจากอาหารชนิดอื่น ๆ ไป โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารประเภททอด เพียงเท่านี้การทานชีสก็ไม่ใช่อุปสรรคทางสุขภาพอีกต่อไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน กลับสู่หน้าหลักบทความ

เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน Read More »

กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์

           กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับท่านที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีคงทราบกันดีถึงคุณประโยชน์ของกล้วย ไม่ว่ากล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ สุดยอดผลไม้ที่ให้พลังงานได้ดีเยี่ยม อุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง✨ โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต✨ อีกทั้งยังมีงานวิจัย🔍ที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ดังนั้น การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก ก็สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้ท่านทราบหรือไม่ว่ากล้วยนั้นสามารถเริ่มทานได้ตั้งแต่ยังเป็นสีเขียวๆครับ ซึ่งกล้วยในความสุกแต่ละช่วงก็ให้คุณประโยชน์ที่น่าสนใจทีเดียว วันนี้ไปติดตามเรื่องนี้กันครับ กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ สีเขียวเข้ม 🟢 (กล้วยดิบ) : กล้วยดิบเปลือกเขียวๆนั้นมีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่นะครับ แต่….กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที จะต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ครับ สีเขียวอ่อน 🟢🟡 (กล้วยห่าม) : กล้วยห่ามที่เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกันครับ สีเหลืองนวล 🟡 (กล้วยสุก) : กล้วยที่สุกเหลืองดีแล้วนั้น มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดี ยิ่งกับคนที่มีอาการท้องผูกมากๆ ควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายครับ สีเหลืองเข้ม 🟤 (กล้วยงอม) : แม้ดูๆแล้วจะไม่ค่อยน่ารับประทาน แต่กลับมีประโยชน์มากทีเดียวครับ ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมาก คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก ในแง่ของการบริโภค ก็มีข้อควรระวังในการทานกล้วยคู่กับอาหารอื่นๆ ดังนี้ ⚠️⚠️⚠️ – กล้วยหอมห้ามกินกับโยเกิร์ต การรับประทานพร้อมกันจะผลิตสารก่อมะเร็งได้ง่าย – กล้วยหอมห้ามกินกับมันฝรั่ง🚫🥔 ถ้ากินด้วยกันจะเกิดกระ และผื่นแดงที่ข้างจมูก (ผื่นปีกผีเสื้อ) – กล้วยหอมห้ามกินกับเผือก กินด้วยกันจะทำให้ท้องอืด – กล้วยหอมห้ามกินกับเนื้อวัว🚫🥩 กินด้วยกันจะทำให้ปวดท้อง – กล้วยหอมห้ามกินกับมันเทศ🚫🍠กินด้วยกันจะเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ร่างกายไม่สบาย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ Read More »

ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา

             ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ภาวะโลหิตจางหรือว่าเลือดจางเป็นภาวะที่พบได้บ่อยครับ โดยปกติแล้วนั้นเม็ดเลือดแดงของเรามีหน้าที่ในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆตามร่างกายของเรา และหากปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง ก็จะมีภาวะโลหิตจาง ทำให้ร่างกายของเราได้รับออกซิเจนได้ไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้เรามีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่ดีต่อร่างกายแน่นอนครับ วันนี้แอดมินจะมาแนะนำ ผัก 3 อย่าง ที่เลือดจางจะไม่ถามหา ผักเหล่านี้จะช่วยบำรุงเลือดของคุณครับ มีผักอะไรบ้างติดตามไปพร้อมกันครับ ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา ผักบุ้ง 🌱🌱 ผักพื้นบ้านที่หลายท่านนิยมนำมาประกอบอาหาร ซึ่งหาง่ายมากๆ ราคาไม่แพง ผักบุ้งเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมาย โดยเฉพาะวิตามินเอที่สูงมากๆ ช่วยในการบำรุงสายตาป้องกันไม่ให้ตาฟางตอนกลางคืน👁️🌃แล้วก็ที่สำคัญก็คือมีธาตุเหล็กสูงครับ✨ รับประทานเข้าไปแล้วช่วยบำรุงเลือดของเราได้ 🩸 ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้น ใครที่รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยอาจจะซีดหรือว่ามีภาวะโลหิตจาง หาผักบุ้งมารับประทานได้ครับ ผักคะน้า 🥬 ผักคะน้าเองก็อุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุต่างๆมากมายเช่นกันครับ ทั้งธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเม็ดเลือดของเราไม่ให้เม็ดเลือดแตกง่าย ป้องกันภาวะซีดหรือว่าโลหิตจางได้ นอกจากนี้ผักคะน้ายังมีกากใยอาหารหรือว่าไฟเบอร์ที่สูงมากๆครับ ดังนั้นใครที่มีภาวะท้องผูก ถ่ายไม่ออก🚽 ถ่ายไม่สุด สามารถที่จะหามารับประทานได้เลยครับ บร็อกโคลี่ 🥦 🥦 บร็อกโคลี่ก็เป็นอีกผักหนึ่งที่จะช่วยบำรุงเลือดของเราได้ครับ เพราะว่ามีแร่ธาตุสำคัญที่จะช่วยบำรุงเลือดของเรา ที่นอกจากธาตุเหล็กแล้วยังมีโฟลิค(วิตามินบี9) ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และช่วยให้เม็ดเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้น แร่ธาตุ 2 ชนิดนี้จึงสำคัญมากๆในการบำรุงเม็ดเลือดของเราครับ ดังนั้นลองหามารับประทานได้เลยครับ รับรองเลยครับว่า เลือดของคุณก็จะดีขึ้นครับ           และแอดมินมีอีกเทคนิคเสริมครับ แนะนำว่าให้รับประทานผลไม้อะไรก็ตามที่มีรสเปรี้ยวควบคู่ไปด้วย เช่น มะนาว🍋 ส้ม🍊 องุ่น🍇 เพราะว่ากรดและวิตามินซีในผลไม้ จะช่วยในการเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากผักต่างๆที่เรารับประทานเข้าไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา Read More »

หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว

            สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ อาหารเช้าเนี่ยเป็นมื้อสำคัญเลยนะครับ วันนี้แอดมินจะมาแชร์เกร็ดสาระเล็กๆจากคุณหมอ ว่ามีอะไรบ้างที่เราควรรับประทานในช่วงเช้าาหลังตื่นนอน เพื่อที่จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงมากขึ้นครับ มาดูกันว่า ทานสิ่งเหล่านี้แล้วอายุยืน มีอะไรบ้าง ? เมนูที่ 1 น้ำเปล่า🫗พื้นฐานเลยก็คือการดื่มน้ำเปล่านั่นเองเพราะว่าตลอดทั้งคืนที่เรานอนหลับ ร่างกายของเราจะขาดน้ำแน่นอนครับ ดังนั้นแนะนำว่าตื่นเช้ามากล้างหน้าแปรงฟันอะไรเสร็จแล้ว 🪥 🚿ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อย 2 แก้ว เป็นการทำความสะอาดลำไส้ และกระตุ้นลำไส้โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการช่วยล้างสารพิษ สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในร่างกายไปพร้อมกับของเสียที่ขับถ่ายในตอนเช้าเลยครับ เมนูที่ 2 นมจืดพร่องมันเนย 🥛ใครที่ชอบดื่มนมตอนเช้าก็ควรที่จะเลือกนมครับ และควรเลือกที่เป็นนมจืดครับ สูตรไม่มีน้ำตาล หากเป็นไขมัน 0% อันนี้ดีมากๆ ช่วยลดไขมันในเลือด ดีต่อการลดน้ำหนัก ลดการผลิตคอเลสเตอรอลของตับ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมอง 🩸 🧠 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆของโรคแทรกซ้อนอื่นๆและการเสียชีวิต เมนูที่ 3 ข้าวกล้อง🌾หากใครชอบรับประทานข้าวนะครับแนะนำให้เลือกเป็นข้าวกล้องครับ เนื่องข้าวกล้องมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำครับ จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดของเราไม่สูงแล้วก็ดีต่อสุขภาพด้วยครับ อุดมด้วยวิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร จำแนกเป็น วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ และ วิตามิน บี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก มีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง💪         อย่างไรก็ดีครับ 3 เมนูข้างต้นนับว่าเป็นเมนูตั้งต้นของมื้อ ผู้บริโภคสามารถเลือกรับประทานหรือเพิ่มเติมสารอาหารอื่นๆให้ครบ 5 หมู่ได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสม และที่สำคัญคือปฎิบัติอย่างเป็นสุขนิสัย มีวินัย เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนครับ   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว กลับสู่หน้าหลักบทความ

หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว Read More »

หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

                 หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานครับ ขยายความกันอีกสักครั้ง ว่าโรคเบาหวานนั้นเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากๆครับสำหรับคนไทย เหตุก็มาจากร่างกายของเราผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้น้อยลงหรือว่าไม่ผลิตเลยซึ่งตัวฮอร์โมนอินซูลินนั้นจะมีหน้าที่ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดครับ พอร่างกายไม่มีฮอร์โมนอินซูลินก็จึงทำให้น้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้นสูงขึ้น จนกลายเป็นโรคเบาหวานขึ้นมานั้นเอง อาหารการกินจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เริ่มจากข้าวก่อนเลยครับเนื่องจากข้าวถือเป็นหนึ่งในอาหารหลักที่คนไทยนิยมบริโภค จึงเป็นที่มาของสาระในวันนี้ครับ ว่ามีข้าวชนิดใดบ้างที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ติดตามไปพร้อมกันครับ ข้าวชนิดใดบ้างที่ไม่ก่อให้เกิดน้ำตาลในเลือดสููง ข้าวชนิดที่ 1 ข้าวกล้อง            ข้าวกล้องเป็นข้าวที่สีเปลือกออกเท่านั้น แต่ยังเหลือจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ จึงทำให้ข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุต่างๆมากมาย ดังนั้นรับประทานเข้าไปแล้วก็จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆเลยครับ และที่สำคัญ ข้าวกล้องนั้นมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำครับ จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ส่วนหลายคนที่สงสัยว่าถ้าค่าดัชนีน้ำตาลคืออะไร ค่าดัชนีน้ำตาลคือค่าที่เป็นตัวบ่งบอกครับว่าอาหารนั้นๆ เวลาเรารับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายของเราจะดูดซึมน้ำตาลได้เร็วขนาดไหน ซึ่งถ้ามีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำๆร่างกายก็จะดูดซึมช้าครับ ก็จะดีต่อคนที่เป็นเบาหวานนั่นเองครับ ข้าวชนิดที่ 2 ข้าวไรซ์เบอรี่         ข้าวไรซ์เบอรี่เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีวิตามินแร่ธาตุต่างๆมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเรา สำคัญคือมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเช่นกันครับ หากเทียบกับข้าวขาวแล้ว ข้าวไรซ์เบอรี่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขาวถึง 2 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นแนะนำสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ควรเลือกรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่ครับ เพื่อที่จะช่วยให้ลดระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ด้วยประโยชน์ของกากใยอาหารที่สูง ก็จะทำให้เราอิ่มท้องนาน ช่วยในการขับถ่ายได้ดีด้วยอีกด้วยครับ ข้าวชนิดที่ 3 ข้าวหอมมะลิผสมธัญพืช           สำหรับหลายคนที่ชอบทานข้าวนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบทานข้าวกล้อง สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ข้าวหอมมะลิจะมีค่าดัชนีต่างๆที่สูง เพราะฉะนั้นครับคนที่เป็นเบาหวานก็อาจจะใช้วิธีทานข้าวหอมมะลิผสมกับพวกธัญพืชหรือถั่วต่างๆก็ได้ โดยอาจอยู่ในอัตราส่วน 1:1 ก็ได้ครับ นั่นจะทำให้ค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวหอมมะลิที่มีอยู่เดิมลดลงได้ครึ่งหนึ่งนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด กลับสู่หน้าหลักบทความ

หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด Read More »

ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน?

              ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ในที่นี้มีท่านใดชอบทานผักเป็นชีวิตจิตใจบ้างครับ แล้วชอบทานผักสดหรือผักสุกกันครับ? พอขยายความจากข้อคำถามนี้ จึงเกิดคำถามสุดคลาสสิคในกลุ่มผู้บริโภคว่า ระหว่างผักสดที่พร้อมทานได้เลยหรือผัดสุกที่ต้องผ่านกระบวนการปรุงด้วยความร้อนนั้น ผักแบบใดให้คุณประโยชน์มากกว่ากัน วันนี้ไขคำตอบประเด็นนี้ไปพร้อมกันครับ คุณอยู่ทีมไหน ? ระหว่าง ทีมผักสด VS ทีมผักสุก ทีมผักสด ข้อดี : มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผักบางชนิดรับประทานสดจะมีสรรพคุณต้านโรค การรับประทานแบบสดๆ จะได้รับสรรพคุณเต็มที่ ข้อเสีย : หากรับประทานมากไปอาจทำให้ท้องอืดผักบางประเภทรับประทานสดอาจได้รับสารพิษบางอย่าง เช่น มันสำปะหลังที่มีสารประกอบไซยาไนด์ ไม่ ปรุงสุกอาจคลื่นไส้ได้ หากล้างไม่สะอาด สารเคมีระหว่างการปลูกมีอันตรายต่อสุขภาพ พืชผักใดบ้างที่อยู่ทีมผักสด หัวหอมใหญ่  : หัวหอมใหญ่ควรเลือกทานแบบดิบ เพราะหากทานแบบสุกสารอาหารในหัวหอม เช่น เอนไซม์ วิตามินบีและซี อาจถูกทำลายลงได้เมื่อโดนความร้อน การทานหัวหอมด้วยวิธีการหั่นและสไลด์บางจะได้รับสารอัลลิซิน ที่ช่วยป้องกันการอักเสบและช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้มากกว่าการทานแบบสุก นอกจากนี้ยังมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนังให้แข็งแรงอีกด้วย ส่วนท่านใดไม่คุ้นชินกับการทานหัวหอมแบบดิบ ก็สามารถเลือกทานแบบที่ผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยได้เช่นกัน พริก : พริกต่างๆ นั้น เราควรจะทานแบบดิบ เนื่องจากพริกอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทวิตามินซีสูง หากนำไปโดนความร้อนจะทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายไปได้ง่าย เทียบปริมาณวิตามินซีในพริก 100 กรัม พริกหวานดิบ จะมีวิตามินซี 70 มิลลิกรัม พริกหยวก จะมีวิตามินซี 50 มิลลิกรัม พริกขี้หนูดิบ จะมีวิจามันซี 40 มิลลิกรัม โดยวิตามินซีจะมีประโยชน์ในการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้ดูยืดหยุ่น และสดใสมากขึ้น บรอกโคลี : ผักยอดนิยมอย่างบรอกโคลีนั้นมีวิตามินซีสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างสารซัลโฟราเฟนที่ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง แต่การเอาบรอกโคลีไปผ่านความร้อนนานๆ จะทำให้คุณค่าตรงนี้หายไปได้ จึงมีการแนะนำให้ทานบรอกโคลีแบบสดๆ หรือจะเอามาจี่หรือลวกผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างที่เราชอบทานจะเป็นผัดบรอกโคลีใส่กุ้ง โดยจะไม่เอาผักไปลวกก่อน หั่นบรอกโคลีเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำลงไปผัดให้พอร้อนก็เสิร์ฟได้ หรือจะเอาบรอกโคลีสดมาปั่นรวมกับแอปเปิลและสับปะรดก็จะกลายเป็นน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพที่ดื่มง่ายมากขึ้นอีกด้วยครับ กระเทียม  : กระเทียมที่เราคุ้นเคยกันดี ด้วยรสชาติเผ็ดร้อนกับกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ กระเทียมนั้นมีประโยชน์หลายอย่างมากทั้งช่วยลดความดันโลหิต กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลม ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ บรรเทาอาการปวดตามข้อและกระดูก ซึ่งการเอากระเทียมไปปรุงผ่านความร้อนจะทำให้เสียคุณค่าเหล่านี้ไป ยกตัวอย่างเมนูกระเทียมสด เช่น หมูมะนาวใส่กระเทียมเยอะๆ หรือทานกระเทียมคู่กับข้าวขาหมูก็ดีไม่น้อยเช่นกัน ทีมผักสุก ข้อดี : ช่วยลดพิษตามธรรมชาติของผักบางชนิด ลดปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้ ผักบางชนิดเมื่อโดนความร้อนคุณค่าทางอาหารจะเพิ่มขึ้น เช่น แครอทข้อเสีย : วิตามินและแร่ธาตุอาจสูญเสียไปจากการปรุงให้สุก เมื่อผ่านการปรุงแบบปิ้งย่าง มักมีสารก่อมะเร็งตามมาด้วยสรุปแล้วการรับประทานผักสุก หรือผักสดให้ได้คุณค่านั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของผักแต่ละชนิด พืชผักใดบ้างที่อยู่ทีมผักสุก แครอท : แครอทเป็นผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงมากในลำดับต้นๆ ของผักประเภทสีส้ม สีเหลือง การที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากเบต้าแคโรทีน อย่างเต็มที่ จึงควรรับประทานแครอทในรูปแบบ สุก โดยนำไปผ่านความร้อน ความร้อนจะส่งผลให้ผนังเซลล์ของแครอท ทำให้ ดูดซึมของร่างกายเป็นไปได้ดีมากขึ้น โดยแคร์รอตสุกจะมีเบต้าแคโรทีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 ซึ่งเบต้าแคโรทีน จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากการอักเสบในร่างกายได้ ถั่วงอก  : ถั่วงอกแบบสุกจะดีต่อร่างกายมากกว่า การทานถั่วงอกดิบ เพราะด้วยความดิบของถั่วงอกอาจเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของสารอาหารบางชนิดได้ นอกจากนี้ในถั่วงอกดิบอาจมีเชื้อจุลินทรีย์หรือสารฟอกขาวปนเปื้อน เมื่อทานเข้าไปอาจมีอาการ ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง เป็นต้น เห็ดชนิดต่าง ๆ  : เห็ดหลายชนิดมีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง อุดมไปด้วยวิตามินบี มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน การทานเห็ด มีข้อแนะนำให้ใช้ความร้อนไม่สูงและใช้เวลาไม่นาน จะทำให้เห็ดยังคงคุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกมากๆหรือผ่านความร้อนเป็นเวลานาน และไม่แนะนำให้ทานเห็ดแบบดิบ เพราะในเห็ดมีสารบางอย่างที่ยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหารได้ และเห็ดสดบางชนิดมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้นการปรุงเห็ดให้ผ่านความร้อนเล็กน้อยจะช่วยลดพิษลงได้ มะเขือเทศ : หลายท่านอาจสงสัยว่าเหตุใดถึงควรทานมะเขือเทศแบบสุก ทั้ง ๆ ที่ในยำ สลัด หรือเมนูใด ๆ ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบดิบก็ตาม นั่นก็เพราะว่าในมะเขือเทศมีไลโคปีนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ จึงแนะนำให้ทานมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ส่งผลให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่าการทานแบบดิบ ด้วยเหตุนี้การบริโภคมะเขือเทศแบบปรุงสุกจะทำให้สรรพคุณในการต้านมะเร็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผักตระกูลกะหล่ำ  : ผักตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ฯลฯ แม้จะสามารถทานได้ทั้งแบบสุกและดิบ หากแต่ถ้าทานแบบดิบ อาจส่งผลให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหารควรหลีกเลี่ยงการทานผักตระกูลกะหล่ำแบบดิบ โดยผักตระกูลกะหล่ำที่ปรุงสุกจะได้รับประโยชน์มาก จากใยอาหารที่มีอยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบช่วยป้องกันเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ ส่วนใครที่มีปัญหาการทำงานของต่อมไทรอยด์บกพร่อง ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำ เนื่องจากมีสารที่ยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตโฮร์โมนได้น้อยลง โภชนาการนั้นเป็นสิ่งสำคัญและอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราทาน การเลือกทานอย่างถูกต้องจะช่วยให้ได้รับโภชนาการอย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน ที่สำคัญคือ สุขอนามัย ควรล้างพืชผักไว้ในน้ำเกลือหรือน้ำด่างทับทิมประมาณ 5 -10 นาที หรือล้างด้วยการเปิดน้ำไหลผ่าน เพื่อกำจัดเอาเศษสกปรก แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ออกให้หมด ก่อนการนำมารับประทานครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? Read More »

ประโยชน์ของวิตามินซี

ประโยชน์ของวิตามินซี          วิตามินซีนั้นเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เนื่องจากเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการทำงานของระบบต่าง ๆถ้าหากร่างกายขาดวิตามินซี อาจทำให้ไม่แข็งแรงและเกิดโรคต่างๆตามมา ประโยชน์ที่สำคัญของวิตามินซีหลักๆนั้นมีดังนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์วิตามินซีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ซึ่งช่วยในการป้องกันการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร และวิตามินซียังช่วยเพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของวิตามิน อีและ เบต้าแคโรทีนอีกด้วยบำรุงผิวพรรณวิตามินซี ช่วยการบำรุงผิวโดยการสร้างโปรตีน เสริมสร้างความแข็งแรงคอลลาเจน และอิลาสติน (Elastin) ซึ่งมีความสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวพรรณ ทำให้ผิวแข็งแรงไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย และกระชับเต่งตึงเสริมสร้างภูมิต้านทานภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนกองทัพสำคัญที่คอยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นเมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันของอ่อนแอ เชื้อโรคที่อยู่รอบตัวจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ออกฤทธิ์เป็นสาย Anti-Histamineสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆระบบหลอดเลือดแข็งแรงทำให้ผนังหลอดเลือดเล็กที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากหลอดเลือดไม่แข็งแรงได้ เช่น โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงวิตามินซี ยังมีประโยชน์ในอีกหายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ลดอันตรายจากโลหะ ควันและสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อมในทุกๆวัน รวมทั้งช่วยในการทำงานของต่อมหมวกไตดีขึ้น  การรับประทานวิตามินซีให้ได้ผลดีที่สุด การรับประทานวิตามินซีให้ได้ผลดีที่สุดควรจะแบ่งรับประทานหลายๆครั้งต่อวัน เช่น กินวิตามินซี ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือจนครบขนาดที่แนะนำ แทนการกินวิตามินซีโดสละ 1,000 มิลลิกรัม เพียงครั้งเดียว สาเหตุก็เพราะว่าวิตามินซีที่รับประทานไปจะเก็บในร่างกายได้ไม่นาน แล้วจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้วิตามินซีที่รับประทานไปไม่ถูกดูดซึมไปใช้ได้ทันทั้ง 1,000 มิลลิกรัม   *สามารถกินวิตามินซีคู่กับคอลลาเจน หรือกลูต้าไธโอน ได้หากหวังผลในเรื่องบำรุงผิว ชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ วิตามินซีสามารถทานคู่กับคอลลาเจน กลูต้าไธโอนได้มั้ย? สามารถกินวิตามินซีคู่กับคอลลาเจน หรือกลูต้าไธโอน ได้หากหวังผลในเรื่องบำรุงผิวให้เต่งตึง และต้องการชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ วิตามินซี รับประทานมากไปอันตรายไหม? วิตามิน C หากรับประทานมากเกินไป จะเกินความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งในกรณีนี้ร่างกายจะขับส่วนเกินออกมาเอง แต่ถึงแม้ว่าร่างกายจะสามารถขับวิตามินซีออกไปได้เอง แต่หากรับประทานมากเกินจะเกิดการตกตะกอนที่ไตได้ ซึ่งอาจทำให้เกิด “นิ่วที่ไต” ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของคนเราต้องการวิตามินซีเพียงแค่ 10-15 มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหากรับประทานเกินความจำเป็นจะสังเกตุได้ว่าเมื่อเราปัสสาวะออกมาจะมีสีเหลืองเข้ม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ประโยชน์ของวิตามินซี กลับสู่หน้าหลักบทความ

ประโยชน์ของวิตามินซี Read More »

โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ?

           โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ?  CoQ10 หรือ โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) ถือเป็นสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี มีคุณสมบัติในการช่วยลดความอ่อนล้าของร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้แก่ร่างกายบอกลาริ้วรอยแห่งวัย เหมาะกับวัยทำงานที่ต้องเผชิญความเหนื่อยล้าและความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในทกๆวัน โคเอ็นไซม์คิวเท็น มีประโยชน์อย่างไร         มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ โดยจะทำหน้าที่เป็นเป็นเอ็นไซม์หลักในกระบวนการที่เปลี่ยนอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงงาน พบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อและสมอง Co Q10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานให้ร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับ Co Q10 ลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย        CoQ10 มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการหัวใจล้มเหลว เนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ยับยั้งการอุดตันของโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยลดอาการปวดร้าวบริเวณหน้าอก ( Angina ) และอาการหัวใจเต้นแรง ช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น และช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจ จะว่าไปก็ไม่ได้แค่ดีต่อใจ สมอง ตับ ไต กล้ามเนื้อ ก็ยังได้รับประโยชน์จาก CoQ10     ประโยชน์ด้านอื่นๆของ CoQ10 ยังมีอีกมากมาย เช่น – ถูกใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมและการทำงานผิดของเซลล์สมอง ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ไมเกรน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน-เป็นสาร Strong Anti – Oxidant ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของผิวหนัง– ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ จากภาวะกรดแลคติกในกล้ามเนื้อมากเกินปกติ– เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น– รักษาภาวะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม– ลดอาการแขนขาอ่อนแรงจากการรับประทานยากลุ่มสแตติ แล้วเราจะเลือกทาน โคเอ็นไซม์คิวเท็น ได้อย่างไรบ้าง          ถึงแม้ว่าร่างกายของคนเราเราสามารถผลิต CoQ10 ได้เอง แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุหลักให้การผลิต CoQ10 ในร่างกายทำงานได้น้อยลง การรับประทาน น้ำมันถั่วเหลือง ปลาทะเล เนื้อสัตว์ ถั่วลิสง และผักโขมซึ่งเป็นแหล่งของ CoQ10 ธรรมชาติ ปริมาณที่แนำนำคือ 20 – 30 มิลลิกรัมต่อวัน หรือบางท่านที่ต้องการเสริมการป้องกันโรคอาจต้องการมากถึง100 – 300 มิลลิกรัม ต่อวัน แต่ข้อจำกัดคืออาหารปรุงสุกอาจทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง เหลือราวๆ 3 – 5 มิลลิกรัมต่อวัน การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการได้รับคุณค่าทางอาหารจาก CoQ10 อย่างสมบูรณ์ วัยทำงานอย่างเราๆที่ต้องเผชิญความอ่อนเพลียจากงาน หรือทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือพออายุมากขึ้นก็มีความเสี่ยงต่อโรค ทางเลือกสุขภาพนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยในการบำรุงร่างกายและฟื้นฟูระบบที่กำลังนับถอยหลังให้กลับมาทำงานอย่างปกติเพื่อสุขภาวะที่ดีในระยะยาว เกร็ดความรู้ : เนื่องจากCoQ10 ละลายได้ดีในไขมัน จึงควรรับประทานพร้อมอาหาร เพื่อให้ดูดซึมได้ดี และควรรับประทานต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือนขึ้นไปจึงสามารถเห็นผลได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ? Read More »

DHA กรดไขมันสารพัดประโยชน์

            DHA กรดไขมันสารพัดประโยชน์ ดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid) DHA คือ กรดไขมัน โอเมก้า-3 ชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายของคนเราสามารถผลิตสารดีเอชเอขึ้นมาเองได้ แต่จะผลิตได้ในปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงควรรับ DHA ผ่านการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน บทความวิจัยด้านสุขภาพระบุว่า ทารกที่ได้รับสารดีเอชเอไม่เพียงพอ อาจจะมีพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ การแสดงออก และการจดจำสิ่งต่างๆ น้อยกว่าทารกที่ได้รับสารดีเอชเอมากเพียงพอต่อพัฒนาการของสมอง จึงสามารถสรุปได้ว่า DHA มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อโภชนาการและสุขภาพของคนเรา เช่น ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล และไตรเอธิลกลีเซอรอล (Triethylglycerol) ในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน (lipoprotien) และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและหน้าที่ของเกล็ดเลือด บทความที่อ้างอิงถึงคุณสมบัติในการป้องกันอาการซึมเศร้า และลดความเครียด ของ กรดไขมัน DHA              งานวิจัยทางจิตเวชศาสตร์พบว่ากรดไขมันดีเอชเอ ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ ซึ่งกรดไขมันดีเอชเอถูกนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยซึมเศร้า และให้ผลในการรักษาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับกรดไขมันชนิดนี้ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีระดับของกรดไขมันดีเอชเอในร่างกายต่ำจะมีโอกาสในการเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าปกติ นักวิจัยญี่ปุ่นได้ค้นพบว่า โอเมก้า 3 นั้น ช่วยลดอาการซึมเศร้า และช่วยบรรเทาอาการเครียดได้ ในปี 1996 บทวิจัยตีพิมพ์โดย Journal of the AmericanMedical Association ได้ศึกษาและค้นพบว่า ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีโอกาสได้บริโภคปลามากกว่า มีอาการซึมเศร้า น้อยกว่าประชากรในประเทศที่บริโภคปลาน้อยกว่า น้ำมันปลา โอเมก้า 3 เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเลซิทิน ซึ้งหากขาดไป ทำให้เซลล์เยื่อบุอ่อนแอ ผนังหลอดเลือด เสียสมดุลภายใน แข็งกระด้าง เกิดการอักเสบ ตีบแข็ง ส่งผลต่อความเครียดตามมา หากขาดรุนแรง อาจก่อโรคซึมเศร้าได้ DHA ในน้ำมันปลา ยังเป็นสารสื่อประสาทสำคัญ บำรุงสมอง ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใส ไม่เครียด ยังมีงานวิจัยพบว่ากรดไขมัน “โอเมก้า3” ที่ขาดไปในวัยรุ่น ส่งผลให้เกิดซึมเศร้า อีกทั้งชี้แนะว่า โอเมก้า3 น่าจะเป็นยุทธศาสตร์หลักในการป้องกันภาวะซึมเศร้า ซึ่งก็ส่งผลให้เครียด นอนไม่หลับ งานวิจัยพบว่า โรคซึมเศร้ามีอุบัติการณ์มาก ในสังคมที่กินปลาน้อย สันนิษฐานว่า เนื่องจากประสาทสมอง ทำงานไม่ต่อเชื่อม เพราะเซลล์ขาดโอเมก้า3 การขาดซึ่ง DHA ทำให้เซลล์เมมเบรน กระด้าง ไม่ต่อเชื่อมสัญญาณ ทำให้จำไม่ได้ ในผู้ดื่มสุราประจำ หรือเป็นพิษสุราเรื้อรัง มีการขาดโอเมก้า3 ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้มาก พบว่า แม่ที่ได้รับไขมันทรานส์ ผ่านนมแม่สู่เด็ก พลอยให้เด็กได้รับไขมันเลวไปด้วย ทำให้ผนังเซลล์ไม่สมประกอบ นอกจากเกิดภาวะดื้ออินซูลินแล้ว ระบบประสาทสมองก็ไม่เจริญ เกิดทั้งโรคอ้วนและซึมเศร้า(บทความจาก https://www.mmc.co.th) ปริมาณความต้องการ DHA ในแต่ละช่วงวัย 1.เด็ก อายุต่ำกว่า 2 ปี รับประทานปริมาณ 10-12 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ส่วนเด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไปอาจรับประทานปริมาณไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน 2.หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร รับประทานอย่างน้อย 200 มิลลิกรัม หรือรับประทาน DHA ที่ผสมกับ EPA ในปริมาณ 300-900 มิลลิกรัม/วัน 3.ผู้ใหญ่รับประทานอย่างน้อย 250-500 มิลลิกรัม/วัน 4.ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำหรือการรับรู้ รับประทานปริมาณ 500–1,700 มิลลิกรัม/วัน อาจช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง รู้จัก DHA กันแล้วมาดูแหล่งของสารอาหาร DHA กันจ้า นมแม่ปลาแมคเคอเรลปลาทูน่าปลาแซลมอนไข่ไก่อาหารเสริมที่ได้มาจากจากการสกัด DHA เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆในการเลือกอาหารเสริม DHA 1.เลือกอาหารเสริม DHA ที่มี EPA ผสมอยู่ด้วย การทำงานร่วมกันของ กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 ทั้ง DHA และ EPA(Eicosapentaenoic) จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลดไขมันในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น 2.เลือกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต GMP โดย GMP จะครอบคลุมถึงโรงงานและกระบวนการผลิตที่ดีมีความปลอดภัยทุกขั้นตอนด้วย 3.เลือกที่ DHA / EPA มากกว่า 300 mg. ในหนึ่งวัน ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : DHA กรดไขมันสารพัดประโยชน์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

DHA กรดไขมันสารพัดประโยชน์ Read More »