sadanon

รู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์

รู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์

           รู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เรามาพูดถึงอาหารฟ้าสฟู้ดขวัญใจวัยรุ่น วัยทำงาน อย่างเบอร์เกอร์กันครับ หลายท่านอาจได้เห็นกระแสที่มีการนำเอาชีสจำนวนหลายๆแผ่นบรรจุในขนมปังเบอร์เกอร์ใช่หรือไม่ครับ ดูไปแล้วก็น่าทานเหมือนกัน หากแต่ชีสเบอร์เกอร์ขนาดนี้เนี่ย จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือไม่นะ? วันนี้เรามารู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์กันครับ มารู้จักชีสเบอร์เกอร์ที่กำลังเป็นไวรัลอยู่ในขณะนี้กันครับ              เรามาพูดถึงชีสกันก่อนครับ วัตถุดิบที่เป็นเชดด้าชีส 1 แผ่น🧀จะประกอบด้วย เกลือโซเดียม, คอเลสเตอรอล, วิตามิน, ไขมันอิ่มตัว, ไขมันไม่อิ่มตัว, น้ำตาล, กากไยอาหาร จะให้พลังงานอยู่ที่ 100-113 แคลอรี่ หากทานพร้อมกันทั้งหมด(ไม่รวมขนมปังเบอร์เกอร์อที่ประกบมา) จะให้พลังงานสูงถึง 2000-2260 แคลอรี่ ซึ่งเท่ากับหรือเรียกได้ว่ามากกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน นั่นก็หมายความว่าหากเราทานอาหารอื่นๆเพิ่มหรือรับพลังงานใดๆเพิ่มร่างกายก็จะรับพลังงานส่วนเกินมานั่นเอง❗ สิ่งที่พ่วงมากับชีสคือโซเดียมที่สูงถึง 3,000 มิลลิกรัม📈 ซึ่งในแต่ละวันร่างกายต้องการโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น นี่อาจเป็นสาเหตุของโรคไตเสื่อมได้ครับ สำหรับท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต ควรเลี่ยงครับ⚠️ ต่อมาคือไขมันอิ่มตัวที่ประเมินกันว่าสูงถึง 106 กรัม ซึ่งมากกว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ควรจะอยู่ที่ 13 กรัมต่อวัน นั่นหมายความว่าเราอาจได้รับไขมันอิ่มตัวเพิ่มขึ้น 8 เท่า การทานลักษณะนี้อาจนำไปสู่ โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันพอกตับ โรคอ้วน และโรคข้ออักเสบอีกหลายชนิดได้ครับ สำหรับท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ 🫀 ความดันโลหิต ภาวะน้ำหนักเกิน ควรเลี่ยงครับ⚠️ นอกจากนี้ท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับกรดไหลย้อนควรหลีกเลี่ยงครับ เนื่องจากกระเพาะจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูง จะก่อให้เกิดแรงดันในกระเพาะอาหารขึ้นสูง ซึ่งเช่นนั้นเองที่จะทำให้เกิดการดันกรดขึ้นมายังหลอดอาหารครับ เพราะอย่างนั้นเลี่ยงก่อนดีที่สุดครับ⚠️ ชีสอาจเป็นอาหารที่ดีได้หากทานในปริมาณที่พอดี เนื่องจากมีสารอาหารที่หลากหลาย ดังที่แอดมินเคยได้นำเสนอเกี่ยวกับชีสไปก่อนหน้านี้ สำหรับเมนูเบอร์เกอร์ชีสนั้นควรแบ่งทานย่อยๆหลายๆคนดีกว่าครับ 🤏  ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : รู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

รู้ ก่อน เลือก ทานชีสเบอร์เกอร์ Read More »

คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี

                 คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับหากเรามีเวลา 1 เดือนในการลดระดับคอเลสเตอรอล ในร่างกายเราจะทำอย่างไร? โดยทั่วไปแล้วระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดนั้นไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 🌡️หากเราตรวจแล้วพบว่าเกิน จะมีวิธีไหนลดไขมันไม่ดีเหล่านี้ได้บ้าง เพราะนี่คือ ไขมันตัวร้ายที่นำไปสู่ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด 🫀🩸 ได้ วันนี้แอดมินมี 5 วิธีดีๆและรวดเร็วในการลดระดับคอเลเตอรอลครับ คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี ข้อที่ 1 งดไขมันทรานส์ทุกชนิด🚫🍰 🍩ไขมันทรานส์เป็นไขมันที่สังเคราะห์ขึ้น เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะส่งผลทำให้คอเลสเตอรอลและไขมันในเลือดของเราสูงมากขึ้นๆ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของคนที่เวลาไปตรวจเลือดแล้วค่า LDL หรือว่าคอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกิดจากการที่เรากินไขมันทรานส์นั่นเอง ไขมันทรานส์มักอยู่ในอาหารที่มีส่วนผสมของเนยเทียม มาการีน ครีมเทียม กลุ่มขนมเบเกอรี่ต่างๆ บราวนี่ เค้ก คุกกี้ โดนัท เป็นต้นดังนั้นถ้าหากจะรับประทาน จำเป็นต้องเช็คดูก่อนครับว่า ขนมชนิดนั้นมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบหรือไม่ถ้ามี ก็พยายามหลีกเลี่ยงครับ นอกจากการงดทานครีมเทียมก็เช่นกันครับ ท่านที่ชื่นชอบดื่มเครื่องดื่มต่างๆที่ผสมครียมเทียมไม่ว่าจะเป็นกาแฟหรือว่าชา โดยเฉพาะในกาแฟแบบ 3 in 1 หรือว่ากาแฟกระป๋อง ต้องระมัดระวังครับ พยายามสังเกตข้างผลิตภัณฑ์ก่อนนะครับว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนั้นเนี่ยนะครับมีไขมันทรานส์อยู่หรือไม่ เพราะว่าถ้าหากเผลอลืมตัวทานเข้าไปมากๆแล้ว คอเลสเตอรอลพุ่งกระฉูดแน่นอนครับ ข้อที่ 2 ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน 🫗อันนี้เบสิคแต่หลายท่านเผลอครับ น้ำหวานไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม หรือแม้แต่น้ำผลไม้ต่างๆ เหล่านี้ให้พลังงานสูงมากครับ เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆ พลังงานที่ได้จากน้ำหวานเหล่านั้นก็เปลี่ยนรูปกลายเป็นไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันสะสมในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดของเรามีไขมันในเลือดสูงนั่นเอง ดังนั้นใช้การ “งด” แทนการ “ลด” เลยดีกว่าครับ หันมาดื่มน้ำแปล่าอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรขึ้นไป ก็จะช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย ลดความเสี่ยงในการสะสมของไขมันร้ายในร่างกายได้อีกด้วยครับ ข้อที่ 3 หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน🚫🥩 🍗เนื้อสัตว์ต่างๆ ในเมนูยอดฮิตไม่ว่าจะเป็นพวกขาหมู หมูกรอบ หนังไก่ที่มันๆกลุ่มนี้จะเป็นไขมันที่อิ่มตัวที่เมื่อเรารับประทานเข้าไปมากๆแล้วจะสะสมเป็นคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดของเราได้ ดังนั้นถ้าอยากลดแบบเร่งด่วนในเดือนแรก พยายามทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน หรือในแต่ละอาทิตย์ควรทานเนื้อปลาเพิ่มขึ้น 🐟เพราะว่าเนื้อปลาเป็นแหล่งของโปรตีนชั้นดี ย่อยง่ายไขมันต่ำ แล้วก็มีโอเมก้า 3 สูงอีกด้วยครับ ทานให้ได้อย่างน้อย 3-4 มื้อขึ้นไปจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเรื่องของคุณอย่างเร่งด่วนได้แน่นอนครับ ข้อที่ 4 รับประทานผักทุกมื้อ 🥗ในแต่ละมื้อแนะนำว่าให้รับประทานผักครับ โดยเฉพาะผักที่เป็นใบ เพราะว่าผักใบต่างๆนะครับไม่ว่าจะเป็น คะน้า ตำลึง ผักกาด ดอกแค เหล่านี้นั้นล้วนมีไฟเบอร์สูงมากซึ่งจะช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหารต่างๆได้ครับ ข้อที่ 5 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ🏊‍♂️🚴ข้อนี้สำคัญไม่แพ้การควบคุมอาหารเลยครับ ควรที่จะออกกำลังต่อเนื่อง ถ้าใครอยากที่จะลดไขมันหรือว่าคอเลสเตอรอลในเลือดอย่างเร่งด่วน ก็เริ่มจากการออกกำลังกายแบบง่ายๆเลย นั่นก็คือการเดินนั่นเองครับ วันละ 30 นาที หรือว่าจะยืนแกว่งแขน ปั่นจักรยาน หรือจะวิ่งก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกาย ปฏิบัติให้ได้ 30 นาทีขึ้น⌚ไปรับรองเลยว่าคอเลสเตอรอลในเลือดของคุณลดลงอย่างแน่นอนครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี กลับสู่หน้าหลักบทความ

คอเลสเตอรอลลดเร็วด้วย 5 วิธี Read More »

เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน

               เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้นั้น เหมาะกับท่านที่ชื่นชอบการรับประทานชีสครับ ขึ้นว่าชีส บางท่านอาจจะนึกถึงอาหารไขมันสูง จนอยากจะเลี่ยงหากอยากจะควบคุมน้ำหนัก แต่ทราบหรือไม่ว่า มีชีสหลายชนิดเลยที่จัดได้ว่าดีต่อสุขภาพ มีไขมันต่ำ ทั้งยังมีโปรตีนสูง โดยโปรตีนจะมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และชีสคุณภาพเหล่านั้น หากเราทานในปริมาณที่พอดี ก็ยังสามารถทานไปพร้อมกับการควบคุมน้ำหนักได้ วันนี้เรามาชมไปพร้อมกันครับว่ามีชีสชนิดใดบ้าง มาเลือกชีสเพื่อสุขภาพกันครับ มอสซาเรลลาชีส (Mozzarella cheese) : พลังงาน 70 แคลอรี่/ออนซ์ (ชีสสดที่ไม่ได้ผ่านการบ่ม ผลิตจากน้ำนมวัวและน้ำนมควายจุดเด่น & คุณประโยชน์ : มีความยืด เป็นที่นิยมรับประทานของสายชีส กลิ่นไม่แรง และ ให้พลังงานต่ำคอทเทจชีส (Cottage cheese) : พลังงาน 120 แคลอรี่/110 กรัม (ชีสสด)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : โปรตีนสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมด้วยวิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเส้นประสาทและเซลล์เม็ดเลือดให้แข็งแรง เหมาะกับคนชอบทานชีสและกำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ ก่อนเลือกซื้อให้ดูโภชนาการเพื่อเลือกสูตรไขมันต่ำริคอตต้าชีส (Ricotta cheese) : พลังงาน 35 แคลอรี่/ออนซ์ (ทำมาจากหางนมที่ได้จากนมวัว, แพะ, แกะ และควายในอิตาลี )จุดเด่น & คุณประโยชน์ : นี่เป็นอีกหนึ่งชีสทางเลือกของคนรักสุขภาพเพราะจะเป็นเวย์โปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย สามารถทานกับ สลัด พาสต้า ลาซัญญ่า หรือจะทานร่วมกับผลไม้รสหวานก็ได้ ทานได้สบายๆเพราะแคลต่ำมากๆชีสนมแพะ (Goat cheese) : พลังงาน 75 แคลอรี่/ออนซ์ (ได้จากนมแพะ)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : ชีสนมแพะมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา เหมาะกับคนที่แพ้นมวัวหรือคนที่ย่อยยาก ซึ่งไขมันที่อยู่ในชีสนมแพะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและไม่เกิดเป็นไขมันสะสม อีกด้วยเฟตาชีส (Feta cheese) : พลังงาน 75 แคลอรี่/ออนซ์ (ได้จากน้ำนมแกะและแพะ)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : ชีสเนื้อนุ่มจากประเทศกรีซ  มีรสชาติเค็ม มีงานวิจัยงานหนึ่งพบว่าในเฟตาชีสมีสาร CLA (Conjugated Linoleic Acid) กรดไขมันดีที่มีส่วนช่วยยับยั้งการสะสมไขมันใหม่ที่เข้าสู่ร่างกาย โดย เฟตาชีสที่ผลิตจากนมแพะจะมีสาร CLA สูงที่สุด ส่วนมากนิยมใส่ในเมนูสลัดต่างๆกามองแบร์ชีส (Camembert cheese) : พลังงาน 80 แคลอรี่/ออนซ์ (เป็นชีสที่ทำมาจากนมวัวในฝรั่งเศส )จุดเด่น & คุณประโยชน์ : มีผิวสัมผัสแข็ง แต่เนื้อชีสด้านในนั้นมีความนุ่ม มีรสชาติเค็มผสมเปรี้ยวแบบจางๆ กามองแบร์ เป็นชีสที่มีไขมันระดับปานกลาง อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A และ B ผู้คนมักทานคู่กับการดื่มไวน์แดงรสชาติจะลงตัวที่สุดพาเมซานชีส (Parmesan cheese) : พลังงาน 35 แคลอรี่/ออนซ์ (ทำมาจากนมวัว)จุดเด่น & คุณประโยชน์ : อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงและสำหรับคนที่แพ้น้ำตาลแลคโตสในนมวัวก็หายห่วงครับ ท่านสามารถกินพาร์เมซานชีสได้ เพราะน้ำตาลแลคโตสจะถูกกำจัดออกไประหว่างการหมักนั่นเอง นี่ถือชีสยอดนิยมที่มักจะพบในพิซซ่า พาสต้า สปาเกตตี้คาโบนารา ซีซาร์สลัด เป็นชีสที่ มีผู้แนะนำไว้ว่าหากลองใส่พาเมซานชีสลงในอาหารประมาณ 2 ช้อนชาจะช่วยให้อาหารจานนั้นอร่อยขึ้น เห็นอร่อยขนาดนี้ให้พลังงานเพียงแค่ 35 แคลอรี/ออนซ์ เท่านั้นเองชีสจัดเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีชนิดหนึ่ง ซึ่งหากวันไหนทานชีสเข้าไปแล้ว ร่างกายได้รับไขมันจากชีสแล้ว ก็ควรลดหรืองดไขมันจากอาหารชนิดอื่น ๆ ไป โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารประเภททอด เพียงเท่านี้การทานชีสก็ไม่ใช่อุปสรรคทางสุขภาพอีกต่อไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน กลับสู่หน้าหลักบทความ

เลือกชีสอย่างไรไม่อ้วน Read More »

กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์

           กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับท่านที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีคงทราบกันดีถึงคุณประโยชน์ของกล้วย ไม่ว่ากล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ สุดยอดผลไม้ที่ให้พลังงานได้ดีเยี่ยม อุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง✨ โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี ธาตุเหล็ก ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม โปรตีน คาร์โบไฮเดรต✨ อีกทั้งยังมีงานวิจัย🔍ที่สนับสนุนว่ากล้วยมีน้ำตาลจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส กลูโคส และ ฟรุคโทส ดังนั้น การรับประทานกล้วยเพียงวันละ 2 ลูก ก็สามารถเพิ่มพลังงานในร่างกายเท่ากับการออกกำลังกาย 90 นาทีกันเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้ท่านทราบหรือไม่ว่ากล้วยนั้นสามารถเริ่มทานได้ตั้งแต่ยังเป็นสีเขียวๆครับ ซึ่งกล้วยในความสุกแต่ละช่วงก็ให้คุณประโยชน์ที่น่าสนใจทีเดียว วันนี้ไปติดตามเรื่องนี้กันครับ กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ สีเขียวเข้ม 🟢 (กล้วยดิบ) : กล้วยดิบเปลือกเขียวๆนั้นมีสรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ให้ความฝาด เรียกว่า แทนนิน (Tannin) เป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ แต่นะครับ แต่….กล้วยดิบนั้นไม่สามารถนำมารับประทานได้ทันที จะต้องนำผลดิบไปบดเป็นผง แล้วนำมารับประทาน ครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถเพิ่มความอร่อยด้วยการผสมกับน้ำผึ้งก็ได้ครับ สีเขียวอ่อน 🟢🟡 (กล้วยห่าม) : กล้วยห่ามที่เปลือกมีสีเขียวอมเหลือง สามารถนำมารับประทานได้ทันที ซึ่งกล้วยห่ามจะมีโพแทสเซียมสูง ที่มีสรรพคุณช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้แก่ร่างกายและแก้โรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี แล้วยังช่วยเพิ่มกากใยที่ช่วยในการขับถ่าย และเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกันครับ สีเหลืองนวล 🟡 (กล้วยสุก) : กล้วยที่สุกเหลืองดีแล้วนั้น มีสารเพ็กติน (Pectin) ที่เป็นเส้นใย ช่วยเพิ่มกากอาหารหรือพรีไบโอติก (Prebiotic) ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดี ถือว่าเป็นยาระบายอ่อนๆอย่างดี ยิ่งกับคนที่มีอาการท้องผูกมากๆ ควรรับประทานวันละ 5 – 6 ลูก เพื่อให้ได้ผลดีกับระบบขับถ่ายครับ สีเหลืองเข้ม 🟤 (กล้วยงอม) : แม้ดูๆแล้วจะไม่ค่อยน่ารับประทาน แต่กลับมีประโยชน์มากทีเดียวครับ ทั้งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาร Tumor Necrosis Factor (TNF) ที่ช่วยป้องกันจากเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมาก คุณสามารถเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละ 1-2 ลูก ในแง่ของการบริโภค ก็มีข้อควรระวังในการทานกล้วยคู่กับอาหารอื่นๆ ดังนี้ ⚠️⚠️⚠️ – กล้วยหอมห้ามกินกับโยเกิร์ต การรับประทานพร้อมกันจะผลิตสารก่อมะเร็งได้ง่าย – กล้วยหอมห้ามกินกับมันฝรั่ง🚫🥔 ถ้ากินด้วยกันจะเกิดกระ และผื่นแดงที่ข้างจมูก (ผื่นปีกผีเสื้อ) – กล้วยหอมห้ามกินกับเผือก กินด้วยกันจะทำให้ท้องอืด – กล้วยหอมห้ามกินกับเนื้อวัว🚫🥩 กินด้วยกันจะทำให้ปวดท้อง – กล้วยหอมห้ามกินกับมันเทศ🚫🍠กินด้วยกันจะเกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ร่างกายไม่สบาย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

กล้วยต่างสี ต่างคุณประโยชน์ Read More »

ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา

             ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ภาวะโลหิตจางหรือว่าเลือดจางเป็นภาวะที่พบได้บ่อยครับ โดยปกติแล้วนั้นเม็ดเลือดแดงของเรามีหน้าที่ในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆตามร่างกายของเรา และหากปริมาณเม็ดเลือดแดงลดลง ก็จะมีภาวะโลหิตจาง ทำให้ร่างกายของเราได้รับออกซิเจนได้ไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้เรามีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่ดีต่อร่างกายแน่นอนครับ วันนี้แอดมินจะมาแนะนำ ผัก 3 อย่าง ที่เลือดจางจะไม่ถามหา ผักเหล่านี้จะช่วยบำรุงเลือดของคุณครับ มีผักอะไรบ้างติดตามไปพร้อมกันครับ ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา ผักบุ้ง 🌱🌱 ผักพื้นบ้านที่หลายท่านนิยมนำมาประกอบอาหาร ซึ่งหาง่ายมากๆ ราคาไม่แพง ผักบุ้งเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมาย โดยเฉพาะวิตามินเอที่สูงมากๆ ช่วยในการบำรุงสายตาป้องกันไม่ให้ตาฟางตอนกลางคืน👁️🌃แล้วก็ที่สำคัญก็คือมีธาตุเหล็กสูงครับ✨ รับประทานเข้าไปแล้วช่วยบำรุงเลือดของเราได้ 🩸 ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ดังนั้น ใครที่รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยอาจจะซีดหรือว่ามีภาวะโลหิตจาง หาผักบุ้งมารับประทานได้ครับ ผักคะน้า 🥬 ผักคะน้าเองก็อุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุต่างๆมากมายเช่นกันครับ ทั้งธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเม็ดเลือดของเราไม่ให้เม็ดเลือดแตกง่าย ป้องกันภาวะซีดหรือว่าโลหิตจางได้ นอกจากนี้ผักคะน้ายังมีกากใยอาหารหรือว่าไฟเบอร์ที่สูงมากๆครับ ดังนั้นใครที่มีภาวะท้องผูก ถ่ายไม่ออก🚽 ถ่ายไม่สุด สามารถที่จะหามารับประทานได้เลยครับ บร็อกโคลี่ 🥦 🥦 บร็อกโคลี่ก็เป็นอีกผักหนึ่งที่จะช่วยบำรุงเลือดของเราได้ครับ เพราะว่ามีแร่ธาตุสำคัญที่จะช่วยบำรุงเลือดของเรา ที่นอกจากธาตุเหล็กแล้วยังมีโฟลิค(วิตามินบี9) ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และช่วยให้เม็ดเลือดมีความแข็งแรงมากขึ้น แร่ธาตุ 2 ชนิดนี้จึงสำคัญมากๆในการบำรุงเม็ดเลือดของเราครับ ดังนั้นลองหามารับประทานได้เลยครับ รับรองเลยครับว่า เลือดของคุณก็จะดีขึ้นครับ           และแอดมินมีอีกเทคนิคเสริมครับ แนะนำว่าให้รับประทานผลไม้อะไรก็ตามที่มีรสเปรี้ยวควบคู่ไปด้วย เช่น มะนาว🍋 ส้ม🍊 องุ่น🍇 เพราะว่ากรดและวิตามินซีในผลไม้ จะช่วยในการเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากผักต่างๆที่เรารับประทานเข้าไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานผัก 3 อย่าง เลือดจางไม่ถามหา Read More »

หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว

            สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ อาหารเช้าเนี่ยเป็นมื้อสำคัญเลยนะครับ วันนี้แอดมินจะมาแชร์เกร็ดสาระเล็กๆจากคุณหมอ ว่ามีอะไรบ้างที่เราควรรับประทานในช่วงเช้าาหลังตื่นนอน เพื่อที่จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงมากขึ้นครับ มาดูกันว่า ทานสิ่งเหล่านี้แล้วอายุยืน มีอะไรบ้าง ? เมนูที่ 1 น้ำเปล่า🫗พื้นฐานเลยก็คือการดื่มน้ำเปล่านั่นเองเพราะว่าตลอดทั้งคืนที่เรานอนหลับ ร่างกายของเราจะขาดน้ำแน่นอนครับ ดังนั้นแนะนำว่าตื่นเช้ามากล้างหน้าแปรงฟันอะไรเสร็จแล้ว 🪥 🚿ควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อย 2 แก้ว เป็นการทำความสะอาดลำไส้ และกระตุ้นลำไส้โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการช่วยล้างสารพิษ สิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในร่างกายไปพร้อมกับของเสียที่ขับถ่ายในตอนเช้าเลยครับ เมนูที่ 2 นมจืดพร่องมันเนย 🥛ใครที่ชอบดื่มนมตอนเช้าก็ควรที่จะเลือกนมครับ และควรเลือกที่เป็นนมจืดครับ สูตรไม่มีน้ำตาล หากเป็นไขมัน 0% อันนี้ดีมากๆ ช่วยลดไขมันในเลือด ดีต่อการลดน้ำหนัก ลดการผลิตคอเลสเตอรอลของตับ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดสมอง 🩸 🧠 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆของโรคแทรกซ้อนอื่นๆและการเสียชีวิต เมนูที่ 3 ข้าวกล้อง🌾หากใครชอบรับประทานข้าวนะครับแนะนำให้เลือกเป็นข้าวกล้องครับ เนื่องข้าวกล้องมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำครับ จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดของเราไม่สูงแล้วก็ดีต่อสุขภาพด้วยครับ อุดมด้วยวิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร จำแนกเป็น วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ และ วิตามิน บี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก มีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง💪         อย่างไรก็ดีครับ 3 เมนูข้างต้นนับว่าเป็นเมนูตั้งต้นของมื้อ ผู้บริโภคสามารถเลือกรับประทานหรือเพิ่มเติมสารอาหารอื่นๆให้ครบ 5 หมู่ได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสม และที่สำคัญคือปฎิบัติอย่างเป็นสุขนิสัย มีวินัย เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนครับ   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว กลับสู่หน้าหลักบทความ

หมอแนะ กิน 3 เมนูนี้ ตอนเช้าช่วยให้อายุยืนยาว Read More »

หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

                 หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวานครับ ขยายความกันอีกสักครั้ง ว่าโรคเบาหวานนั้นเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากๆครับสำหรับคนไทย เหตุก็มาจากร่างกายของเราผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้น้อยลงหรือว่าไม่ผลิตเลยซึ่งตัวฮอร์โมนอินซูลินนั้นจะมีหน้าที่ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดครับ พอร่างกายไม่มีฮอร์โมนอินซูลินก็จึงทำให้น้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้นสูงขึ้น จนกลายเป็นโรคเบาหวานขึ้นมานั้นเอง อาหารการกินจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เริ่มจากข้าวก่อนเลยครับเนื่องจากข้าวถือเป็นหนึ่งในอาหารหลักที่คนไทยนิยมบริโภค จึงเป็นที่มาของสาระในวันนี้ครับ ว่ามีข้าวชนิดใดบ้างที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ติดตามไปพร้อมกันครับ ข้าวชนิดใดบ้างที่ไม่ก่อให้เกิดน้ำตาลในเลือดสููง ข้าวชนิดที่ 1 ข้าวกล้อง            ข้าวกล้องเป็นข้าวที่สีเปลือกออกเท่านั้น แต่ยังเหลือจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ จึงทำให้ข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ธาตุต่างๆมากมาย ดังนั้นรับประทานเข้าไปแล้วก็จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆเลยครับ และที่สำคัญ ข้าวกล้องนั้นมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำครับ จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ส่วนหลายคนที่สงสัยว่าถ้าค่าดัชนีน้ำตาลคืออะไร ค่าดัชนีน้ำตาลคือค่าที่เป็นตัวบ่งบอกครับว่าอาหารนั้นๆ เวลาเรารับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายของเราจะดูดซึมน้ำตาลได้เร็วขนาดไหน ซึ่งถ้ามีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำๆร่างกายก็จะดูดซึมช้าครับ ก็จะดีต่อคนที่เป็นเบาหวานนั่นเองครับ ข้าวชนิดที่ 2 ข้าวไรซ์เบอรี่         ข้าวไรซ์เบอรี่เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีวิตามินแร่ธาตุต่างๆมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเรา สำคัญคือมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเช่นกันครับ หากเทียบกับข้าวขาวแล้ว ข้าวไรซ์เบอรี่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขาวถึง 2 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นแนะนำสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ควรเลือกรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่ครับ เพื่อที่จะช่วยให้ลดระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ด้วยประโยชน์ของกากใยอาหารที่สูง ก็จะทำให้เราอิ่มท้องนาน ช่วยในการขับถ่ายได้ดีด้วยอีกด้วยครับ ข้าวชนิดที่ 3 ข้าวหอมมะลิผสมธัญพืช           สำหรับหลายคนที่ชอบทานข้าวนุ่มๆ อาจจะไม่ชอบทานข้าวกล้อง สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ข้าวหอมมะลิจะมีค่าดัชนีต่างๆที่สูง เพราะฉะนั้นครับคนที่เป็นเบาหวานก็อาจจะใช้วิธีทานข้าวหอมมะลิผสมกับพวกธัญพืชหรือถั่วต่างๆก็ได้ โดยอาจอยู่ในอัตราส่วน 1:1 ก็ได้ครับ นั่นจะทำให้ค่าดัชนีน้ำตาลของข้าวหอมมะลิที่มีอยู่เดิมลดลงได้ครึ่งหนึ่งนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด กลับสู่หน้าหลักบทความ

หมอแนะ ข้าว 3 ชนิด ช่วยลดน้ำตาลในเลือด Read More »

ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน?

              ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ในที่นี้มีท่านใดชอบทานผักเป็นชีวิตจิตใจบ้างครับ แล้วชอบทานผักสดหรือผักสุกกันครับ? พอขยายความจากข้อคำถามนี้ จึงเกิดคำถามสุดคลาสสิคในกลุ่มผู้บริโภคว่า ระหว่างผักสดที่พร้อมทานได้เลยหรือผัดสุกที่ต้องผ่านกระบวนการปรุงด้วยความร้อนนั้น ผักแบบใดให้คุณประโยชน์มากกว่ากัน วันนี้ไขคำตอบประเด็นนี้ไปพร้อมกันครับ คุณอยู่ทีมไหน ? ระหว่าง ทีมผักสด VS ทีมผักสุก ทีมผักสด ข้อดี : มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผักบางชนิดรับประทานสดจะมีสรรพคุณต้านโรค การรับประทานแบบสดๆ จะได้รับสรรพคุณเต็มที่ ข้อเสีย : หากรับประทานมากไปอาจทำให้ท้องอืดผักบางประเภทรับประทานสดอาจได้รับสารพิษบางอย่าง เช่น มันสำปะหลังที่มีสารประกอบไซยาไนด์ ไม่ ปรุงสุกอาจคลื่นไส้ได้ หากล้างไม่สะอาด สารเคมีระหว่างการปลูกมีอันตรายต่อสุขภาพ พืชผักใดบ้างที่อยู่ทีมผักสด หัวหอมใหญ่  : หัวหอมใหญ่ควรเลือกทานแบบดิบ เพราะหากทานแบบสุกสารอาหารในหัวหอม เช่น เอนไซม์ วิตามินบีและซี อาจถูกทำลายลงได้เมื่อโดนความร้อน การทานหัวหอมด้วยวิธีการหั่นและสไลด์บางจะได้รับสารอัลลิซิน ที่ช่วยป้องกันการอักเสบและช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้มากกว่าการทานแบบสุก นอกจากนี้ยังมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และเสริมสร้างโครงสร้างผิวหนังให้แข็งแรงอีกด้วย ส่วนท่านใดไม่คุ้นชินกับการทานหัวหอมแบบดิบ ก็สามารถเลือกทานแบบที่ผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยได้เช่นกัน พริก : พริกต่างๆ นั้น เราควรจะทานแบบดิบ เนื่องจากพริกอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทวิตามินซีสูง หากนำไปโดนความร้อนจะทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายไปได้ง่าย เทียบปริมาณวิตามินซีในพริก 100 กรัม พริกหวานดิบ จะมีวิตามินซี 70 มิลลิกรัม พริกหยวก จะมีวิตามินซี 50 มิลลิกรัม พริกขี้หนูดิบ จะมีวิจามันซี 40 มิลลิกรัม โดยวิตามินซีจะมีประโยชน์ในการสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้ดูยืดหยุ่น และสดใสมากขึ้น บรอกโคลี : ผักยอดนิยมอย่างบรอกโคลีนั้นมีวิตามินซีสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างสารซัลโฟราเฟนที่ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็ง แต่การเอาบรอกโคลีไปผ่านความร้อนนานๆ จะทำให้คุณค่าตรงนี้หายไปได้ จึงมีการแนะนำให้ทานบรอกโคลีแบบสดๆ หรือจะเอามาจี่หรือลวกผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างที่เราชอบทานจะเป็นผัดบรอกโคลีใส่กุ้ง โดยจะไม่เอาผักไปลวกก่อน หั่นบรอกโคลีเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำลงไปผัดให้พอร้อนก็เสิร์ฟได้ หรือจะเอาบรอกโคลีสดมาปั่นรวมกับแอปเปิลและสับปะรดก็จะกลายเป็นน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพที่ดื่มง่ายมากขึ้นอีกด้วยครับ กระเทียม  : กระเทียมที่เราคุ้นเคยกันดี ด้วยรสชาติเผ็ดร้อนกับกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ กระเทียมนั้นมีประโยชน์หลายอย่างมากทั้งช่วยลดความดันโลหิต กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลม ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ บรรเทาอาการปวดตามข้อและกระดูก ซึ่งการเอากระเทียมไปปรุงผ่านความร้อนจะทำให้เสียคุณค่าเหล่านี้ไป ยกตัวอย่างเมนูกระเทียมสด เช่น หมูมะนาวใส่กระเทียมเยอะๆ หรือทานกระเทียมคู่กับข้าวขาหมูก็ดีไม่น้อยเช่นกัน ทีมผักสุก ข้อดี : ช่วยลดพิษตามธรรมชาติของผักบางชนิด ลดปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้ ผักบางชนิดเมื่อโดนความร้อนคุณค่าทางอาหารจะเพิ่มขึ้น เช่น แครอทข้อเสีย : วิตามินและแร่ธาตุอาจสูญเสียไปจากการปรุงให้สุก เมื่อผ่านการปรุงแบบปิ้งย่าง มักมีสารก่อมะเร็งตามมาด้วยสรุปแล้วการรับประทานผักสุก หรือผักสดให้ได้คุณค่านั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของผักแต่ละชนิด พืชผักใดบ้างที่อยู่ทีมผักสุก แครอท : แครอทเป็นผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงมากในลำดับต้นๆ ของผักประเภทสีส้ม สีเหลือง การที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากเบต้าแคโรทีน อย่างเต็มที่ จึงควรรับประทานแครอทในรูปแบบ สุก โดยนำไปผ่านความร้อน ความร้อนจะส่งผลให้ผนังเซลล์ของแครอท ทำให้ ดูดซึมของร่างกายเป็นไปได้ดีมากขึ้น โดยแคร์รอตสุกจะมีเบต้าแคโรทีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 ซึ่งเบต้าแคโรทีน จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากการอักเสบในร่างกายได้ ถั่วงอก  : ถั่วงอกแบบสุกจะดีต่อร่างกายมากกว่า การทานถั่วงอกดิบ เพราะด้วยความดิบของถั่วงอกอาจเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของสารอาหารบางชนิดได้ นอกจากนี้ในถั่วงอกดิบอาจมีเชื้อจุลินทรีย์หรือสารฟอกขาวปนเปื้อน เมื่อทานเข้าไปอาจมีอาการ ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง เป็นต้น เห็ดชนิดต่าง ๆ  : เห็ดหลายชนิดมีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง อุดมไปด้วยวิตามินบี มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน การทานเห็ด มีข้อแนะนำให้ใช้ความร้อนไม่สูงและใช้เวลาไม่นาน จะทำให้เห็ดยังคงคุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกมากๆหรือผ่านความร้อนเป็นเวลานาน และไม่แนะนำให้ทานเห็ดแบบดิบ เพราะในเห็ดมีสารบางอย่างที่ยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหารได้ และเห็ดสดบางชนิดมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้นการปรุงเห็ดให้ผ่านความร้อนเล็กน้อยจะช่วยลดพิษลงได้ มะเขือเทศ : หลายท่านอาจสงสัยว่าเหตุใดถึงควรทานมะเขือเทศแบบสุก ทั้ง ๆ ที่ในยำ สลัด หรือเมนูใด ๆ ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบดิบก็ตาม นั่นก็เพราะว่าในมะเขือเทศมีไลโคปีนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ จึงแนะนำให้ทานมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ส่งผลให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่าการทานแบบดิบ ด้วยเหตุนี้การบริโภคมะเขือเทศแบบปรุงสุกจะทำให้สรรพคุณในการต้านมะเร็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผักตระกูลกะหล่ำ  : ผักตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ฯลฯ แม้จะสามารถทานได้ทั้งแบบสุกและดิบ หากแต่ถ้าทานแบบดิบ อาจส่งผลให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหารควรหลีกเลี่ยงการทานผักตระกูลกะหล่ำแบบดิบ โดยผักตระกูลกะหล่ำที่ปรุงสุกจะได้รับประโยชน์มาก จากใยอาหารที่มีอยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบช่วยป้องกันเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ ส่วนใครที่มีปัญหาการทำงานของต่อมไทรอยด์บกพร่อง ควรหลีกเลี่ยงผักตระกูลกะหล่ำ เนื่องจากมีสารที่ยับยั้งการดูดซึมไอโอดีนทำให้ต่อมไทรอยด์ผลิตโฮร์โมนได้น้อยลง โภชนาการนั้นเป็นสิ่งสำคัญและอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เราทาน การเลือกทานอย่างถูกต้องจะช่วยให้ได้รับโภชนาการอย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน ที่สำคัญคือ สุขอนามัย ควรล้างพืชผักไว้ในน้ำเกลือหรือน้ำด่างทับทิมประมาณ 5 -10 นาที หรือล้างด้วยการเปิดน้ำไหลผ่าน เพื่อกำจัดเอาเศษสกปรก แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ออกให้หมด ก่อนการนำมารับประทานครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผักสดหรือผักสุกดีกว่ากัน? Read More »

ประโยชน์ของวิตามินซี

ประโยชน์ของวิตามินซี          วิตามินซีนั้นเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก เนื่องจากเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการทำงานของระบบต่าง ๆถ้าหากร่างกายขาดวิตามินซี อาจทำให้ไม่แข็งแรงและเกิดโรคต่างๆตามมา ประโยชน์ที่สำคัญของวิตามินซีหลักๆนั้นมีดังนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์วิตามินซีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ซึ่งช่วยในการป้องกันการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร และวิตามินซียังช่วยเพิ่มฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของวิตามิน อีและ เบต้าแคโรทีนอีกด้วยบำรุงผิวพรรณวิตามินซี ช่วยการบำรุงผิวโดยการสร้างโปรตีน เสริมสร้างความแข็งแรงคอลลาเจน และอิลาสติน (Elastin) ซึ่งมีความสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวพรรณ ทำให้ผิวแข็งแรงไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย และกระชับเต่งตึงเสริมสร้างภูมิต้านทานภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนกองทัพสำคัญที่คอยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นเมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันของอ่อนแอ เชื้อโรคที่อยู่รอบตัวจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นวิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ออกฤทธิ์เป็นสาย Anti-Histamineสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ป้องกันและบรรเทาอาการต่างๆระบบหลอดเลือดแข็งแรงทำให้ผนังหลอดเลือดเล็กที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากหลอดเลือดไม่แข็งแรงได้ เช่น โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงวิตามินซี ยังมีประโยชน์ในอีกหายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ลดอันตรายจากโลหะ ควันและสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อมในทุกๆวัน รวมทั้งช่วยในการทำงานของต่อมหมวกไตดีขึ้น  การรับประทานวิตามินซีให้ได้ผลดีที่สุด การรับประทานวิตามินซีให้ได้ผลดีที่สุดควรจะแบ่งรับประทานหลายๆครั้งต่อวัน เช่น กินวิตามินซี ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือจนครบขนาดที่แนะนำ แทนการกินวิตามินซีโดสละ 1,000 มิลลิกรัม เพียงครั้งเดียว สาเหตุก็เพราะว่าวิตามินซีที่รับประทานไปจะเก็บในร่างกายได้ไม่นาน แล้วจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้วิตามินซีที่รับประทานไปไม่ถูกดูดซึมไปใช้ได้ทันทั้ง 1,000 มิลลิกรัม   *สามารถกินวิตามินซีคู่กับคอลลาเจน หรือกลูต้าไธโอน ได้หากหวังผลในเรื่องบำรุงผิว ชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ วิตามินซีสามารถทานคู่กับคอลลาเจน กลูต้าไธโอนได้มั้ย? สามารถกินวิตามินซีคู่กับคอลลาเจน หรือกลูต้าไธโอน ได้หากหวังผลในเรื่องบำรุงผิวให้เต่งตึง และต้องการชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ วิตามินซี รับประทานมากไปอันตรายไหม? วิตามิน C หากรับประทานมากเกินไป จะเกินความจำเป็นของร่างกาย ซึ่งในกรณีนี้ร่างกายจะขับส่วนเกินออกมาเอง แต่ถึงแม้ว่าร่างกายจะสามารถขับวิตามินซีออกไปได้เอง แต่หากรับประทานมากเกินจะเกิดการตกตะกอนที่ไตได้ ซึ่งอาจทำให้เกิด “นิ่วที่ไต” ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของคนเราต้องการวิตามินซีเพียงแค่ 10-15 มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหากรับประทานเกินความจำเป็นจะสังเกตุได้ว่าเมื่อเราปัสสาวะออกมาจะมีสีเหลืองเข้ม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ประโยชน์ของวิตามินซี กลับสู่หน้าหลักบทความ

ประโยชน์ของวิตามินซี Read More »

โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ?

           โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ?  CoQ10 หรือ โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) ถือเป็นสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี มีคุณสมบัติในการช่วยลดความอ่อนล้าของร่างกายได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้แก่ร่างกายบอกลาริ้วรอยแห่งวัย เหมาะกับวัยทำงานที่ต้องเผชิญความเหนื่อยล้าและความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในทกๆวัน โคเอ็นไซม์คิวเท็น มีประโยชน์อย่างไร         มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างพลังงานของเซลล์ โดยจะทำหน้าที่เป็นเป็นเอ็นไซม์หลักในกระบวนการที่เปลี่ยนอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงงาน พบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อและสมอง Co Q10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานให้ร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับ Co Q10 ลดลง ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย        CoQ10 มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการหัวใจล้มเหลว เนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ยับยั้งการอุดตันของโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยลดอาการปวดร้าวบริเวณหน้าอก ( Angina ) และอาการหัวใจเต้นแรง ช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น และช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจ จะว่าไปก็ไม่ได้แค่ดีต่อใจ สมอง ตับ ไต กล้ามเนื้อ ก็ยังได้รับประโยชน์จาก CoQ10     ประโยชน์ด้านอื่นๆของ CoQ10 ยังมีอีกมากมาย เช่น – ถูกใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมและการทำงานผิดของเซลล์สมอง ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ ไมเกรน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน-เป็นสาร Strong Anti – Oxidant ช่วยลดริ้วรอยและชะลอความเสื่อมของผิวหนัง– ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ จากภาวะกรดแลคติกในกล้ามเนื้อมากเกินปกติ– เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น– รักษาภาวะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม– ลดอาการแขนขาอ่อนแรงจากการรับประทานยากลุ่มสแตติ แล้วเราจะเลือกทาน โคเอ็นไซม์คิวเท็น ได้อย่างไรบ้าง          ถึงแม้ว่าร่างกายของคนเราเราสามารถผลิต CoQ10 ได้เอง แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุหลักให้การผลิต CoQ10 ในร่างกายทำงานได้น้อยลง การรับประทาน น้ำมันถั่วเหลือง ปลาทะเล เนื้อสัตว์ ถั่วลิสง และผักโขมซึ่งเป็นแหล่งของ CoQ10 ธรรมชาติ ปริมาณที่แนำนำคือ 20 – 30 มิลลิกรัมต่อวัน หรือบางท่านที่ต้องการเสริมการป้องกันโรคอาจต้องการมากถึง100 – 300 มิลลิกรัม ต่อวัน แต่ข้อจำกัดคืออาหารปรุงสุกอาจทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง เหลือราวๆ 3 – 5 มิลลิกรัมต่อวัน การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการได้รับคุณค่าทางอาหารจาก CoQ10 อย่างสมบูรณ์ วัยทำงานอย่างเราๆที่ต้องเผชิญความอ่อนเพลียจากงาน หรือทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือพออายุมากขึ้นก็มีความเสี่ยงต่อโรค ทางเลือกสุขภาพนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยในการบำรุงร่างกายและฟื้นฟูระบบที่กำลังนับถอยหลังให้กลับมาทำงานอย่างปกติเพื่อสุขภาวะที่ดีในระยะยาว เกร็ดความรู้ : เนื่องจากCoQ10 ละลายได้ดีในไขมัน จึงควรรับประทานพร้อมอาหาร เพื่อให้ดูดซึมได้ดี และควรรับประทานต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือนขึ้นไปจึงสามารถเห็นผลได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

โคเอ็นไซม์คิวเท็น คืออะไร ? Read More »