sadanon

ดูแลตัวเอง หลังการฉายรังสีอย่างไร ?

ดูแลตัวเอง หลังการฉายรังสีอย่างไร ? หลายท่านทราบเป็นอย่างดีหรือได้ข้อมูลมาบ้างว่า การฉายรังสีเป็นหนึ่งในวิธีการรักษามะเร็ง โดยรังสีจะทำให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ (DNA) ของเซลล์เนื้องอกโดยตรงทำให้เกิดการตายและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและสรีระวิทยาของเซลล์เนื้องอกนั้นปัจจุบันแม้เทคโนโลยีการฉายรังสีจะพัฒนาไปไกล ทำให้การรักษาแม่นยำมากขึ้น ควบคุมโรคได้มากขึ้น ลดผลข้างเคียงให้น้อยลงไปมาก แต่ก็ยังคงพบผลข้างเคียงอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ แตกต่างกันไปตามแต่ตำแหน่งของโรค บริเวณที่ฉายรังสี และอวัยวะข้างเคียง ซึ่งอาการที่พบบ่อยๆ เช่น ผิวหนังแดงคล้ำหรือแห้งคัน อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปากแห้ง การรับรสผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น เราสามารถปฏิบัติได้ด้วย 12 วิธีต่อไปนี้ หลังการฉายรังสี 1. ปล่อยให้ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสีถูกอากาศมากที่สุด แต่ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด หรือการสัมผัสบริเวณที่ฉายรังสีโดยตรงกับความร้อนหรือความเย็น ควรสวมหมวกหลวมๆ หรือกางร่ม 2. สามารถให้น้ำไหลผ่านได้ แต่ควรใช้ผ้านุ่มๆ ซับให้แห้ง . 3. ห้ามใช้เครื่องสำอางใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ น้ำหอม แป้ง ครีมบำรุงต่างๆ ฯลฯ ทาบริเวณที่ฉายรังสี 4. รักษาความสะอาดของร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน เนื่องจากผู้ป่วยจะมีภูมิต้านทานของร่างกายต่ำ . 5. ใส่ใจในเรื่อง ‘ขับถ่าย’ เป็นพิเศษ ถ้ามีอาการท้องผูกหรือท้องเสียให้แจ้งแพทย์ที่ดูแล เพื่อรับคำแนะนำและทำการรักษา 6. หากิจกรรมผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล และพักผ่อนให้เพียงพอ หรืออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง 7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รสไม่จัด วิตามินสูง โปรตีนสูงย่อยง่าย เช่น โปรตีนจากสัตว์ ปลา นม ไข่ ตับสัตว์ ธัญพืชและถั่วต่างๆ รวมถึงผัก ผลไม้ เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง 8. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร น้ำจะช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นและระบายความร้อนออกจากร่างกาย 9. ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสมของสภาพของร่างกาย จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น 10. งดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 11. หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก ผิวหนังอักเสบ ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับคำแนะนำและทำการรักษา 12. หลีกเลี่ยงแหล่งที่มีผู้คนอยู่กันอย่างหนาแน่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ดูแลตัวเอง หลังการฉายรังสีอย่างไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ดูแลตัวเอง หลังการฉายรังสีอย่างไร ? Read More »

ชาสมุนไพร เทรนด์ใหม่ผู้ใส่ใจสุขภาพ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันเช่นเคยครับ สาระวันนี้เรามาพูดถึงเครื่องดื่มที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นที่นิยมและน่าสนใจสำหรับสายสุขภาพอย่าง ชาสมุนไพร กันครับ แน่นอนว่าเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยนิยมบริโภคมาอย่างยาวนาน นอกจากจะช่วยดับกระหายแล้ว ยังส่งผลดีต่อร่างกายในหลายด้าน เนื่องจากชาสมุนไพรแต่ละชนิดมีสารประกอบที่มีคุณประโยชน์บางชนิดโภชนาการสำคัญที่อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้นได้ครับ ชาสมุนไพร คืออะไร ดีอย่างไร ? ชาสมุนไพร คือเครื่องดื่มที่ทำจากสมุนไพร ผลไม้ เมล็ดพืช หรือรากพืชแล้วนำมาชงในน้ำร้อน (นวัตรกรรมใหม่ๆมีสูตรที่ชงในน้ำอุณหภูมิปรกติหรือน้ำเย็นได้) บางชนิดมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าชาที่ผลิตจากจากใบชา โดยเฉพาะอย่างชาเขียวหรือชาดำ แต่ข้อดีคือปราศจากคาเฟอีน น้ำตาล และแคลอรี อีกทั้งยังมีรสชาติที่หลากหลายให้เลือกดื่มด้วยเหมาะกับผู้บริโภคที่่หลากหลายมากกว่า ตัวอย่างชา สมุนไพรและคุณประโยชน์ที่น่าสนใจ ชาหัวปลี : บำรุงเลือดป้องกันโลหิตจาง ขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด  ช่วยบำรุงน้ำนมเพิ่มสารอาหาร ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบในร่างกาย ช่วยต้านอาการซึมเศร้า รักษาโรคกะเพาะ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชาหล่อฮังก๊วย :  มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดปริมาณการบริโภคน้ำตาล ชาชะเอมเทศ : ใช้ขับเลือดเสียบำรุงหัวใจใช้ชุ่มชื่น แก้กำเดาแก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ เป็นยาระบายอ่อนๆ ชาขิง : ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ บรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยมีงานวิจัยบางชิ้นเผยถึงประสิทธิภาพในการบรรเทาปวดประจำเดือนของขิงว่ามีความใกล้เคียงกับยาแก้ปวดประจำเดือน อย่างยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยาเมเฟนามิค แอซิด (Mefenamic Acid) ชาใบเตย : สำหรับสรรพคุณของชาใบเตย ได้แก่บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ ชาใบเตย ทำจากใบเตยหอม อบแห้ง บดเป็นผง มี สีเขียวใบเตย มีกลิ่นหอมชื่นใจใบเตยมีคุณสมบัติหลักๆ ขับปัสสาวะ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ชาคาร์โมมายด์ : ขึ้นชื่อเรื่องคุณประโยชน์ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย บรรเทาความวิตกกังวล และลดปัญหาด้านการนอนหลับ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้คุณแม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดบุตรและมีปัญหาในการนอนจำนวนหนึ่งดื่มชาคาโมมายล์ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ผลพบว่ากลุ่มคุณแม่มีคุณภาพการนอนดีขึ้นและอาการของภาวะซึมเศร้าก็ลดลงด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ชาสมุนไพรชนิดนี้อาจช่วยยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการท้องเสียได้ด้วย ข้อควรระวังในการบริโภคชา สมุนไพรชนิดต่าง ๆ ดังนี้ ห้ามดื่มชา สมุนไพรหากผู้บริโภคแพ้สมุนไพรดังกล่าว ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำในขณะดื่มชาโสมเกาหลี เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำผิดปกติ สารประกอบของคาโมมายล์อย่างคูมาริน (Coumarin) อาจส่งผลให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ แต่มักพบในคนที่รับประทานสมุนไพรชนิดนี้ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน ส่วนผสมของชาสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลต่อสตรีมีครรภ์จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ไม่สบายท้อง มีเลือดประจำเดือน การแท้งบุตร ทารกพิการแต่กำเนิด คลอดก่อนกำหนด เป็นต้น ชาสมุนไพรบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคหรืออาหารเสริมที่กำลังรับประทานอยู่ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการดื่มชาสมุนไพรชนิดใดก็ตาม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กระตุ้นพัฒนาการ ผ่าน 5 คำถามก่อนลูกนอน กลับสู่หน้าหลักบทความ

ชาสมุนไพร เทรนด์ใหม่ผู้ใส่ใจสุขภาพ Read More »

การนอนอย่างมีประสิทธิภาพ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับหัวข้อในวันนี้ว่าด้วยเรื่องของการนอนหลับครับ ซึ่งไม่ใช่การนอนทั่วไปแต่เป็น การนอนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดและจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเราหลับอย่างเพียงพอจะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า ช่วยให้ใบหน้าแลดูสดใส ไม่หมองคล้ำ และช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ความจำ หรือระบบภูมิคุ้มกันนั่นเองครับ การนอนมีวงจรอย่างไร ? สิ่งที่ต้องทราบ คือ “ร่างกายของเราทุกคนต้องนอนหลับพักผ่อนตามตารางของนาฬิกาชีวิต”  โดย 2 กฏสำคัญหลักๆ ชั่วโมงการนอน แต่ละวัยนั้นต้องการเวลาในการการนอนไม่เท่ากัน ชั่วโมงการนอนของเด็ก 11 – 13 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ 7 – 8 ชั่วโมง คุณภาพการหลับ การหลับอย่างมีคุณภาพ คือ ครบวงจรทุกระยะการหลับ ทั้งหลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ให้ครบทุกระยะเพราะมีความสัมพันธ์กัน Non-REM Sleep <<< วงจรการหลับ >>> REM Sleep (Rapid Eye Movement Sleep) คือช่วงของการหลับตื้นไปจนถึงหลับลึก โดยเกิดขึ้นทันทีหลังจากเราหลับ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นช่วงเริ่มต้นของการนอนหลับ มักเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 5–10 นาที ในระยะนี้ สมอง การหายใจ และอัตราการเต้นของหัวใจจะทำงานช้าลง และเป็นระยะที่สามารถตื่นได้ง่าย บางคนอาจมีอาการนอนกระตุกหรือรู้สึกเหมือนกำลังจะตกจากที่สูงแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาในระยะนี้ได้ ระยะที่ 2 เป็นช่วงกลางก่อนจะไปสู่ระยะหลับลึก มักกินระยะเวลานานที่สุด ระยะนี้อุณหภูมิของร่างกายจะลดลง อัตราการเต้นหัวใจ คลื่นสมอง และการหายใจจะช้าลง ดวงตาเริ่มหยุดเคลื่อนไหว ระยะที่ 3 เป็นระยะหลับลึก ใช้เวลายาวนานในวงจรแรกและสั้นลงเรื่อย ๆ ในระยะนี้คลื่นสมองจะมีความถี่ต่ำและช้ามาก ดวงตาไม่มีการขยับ ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งรบกวนภายนอกได้น้อย ทำให้ตื่นยาก หากถูกปลุกให้ตื่นในระยะนี้จะทำให้รู้สึกง่วงและอ่อนเพลียกว่าระยะอื่น ซึ่งการนอนหลับในระยะที่ 3 จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูเนื้อเยื่อ กระดูก กล้ามเนื้อ และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน วงจรการนอนหลับในคนปกติทั่วไป มักใช้เวลาตั้งแต่ 30 วินาที – 7 นาที เป็นสภาพที่แม้จะได้รับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็จะตื่น จากนั้นเข้าสู่การหลับระยะต่าง ๆ โดยเฉลี่ยแล้ว ในหนึ่งคืนจะเกิดวงจรการนอนอยู่ที่ 4–5 รอบ หากนอนหลับได้ครบรอบของวงจรการนอน จะทำให้เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นและไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ในทางกลับกันหากตื่นขึ้นมาระหว่างที่ยังไม่ครบรอบวงจรการนอน จะทำให้รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียมาก โดยเฉพาะการตื่นขึ้นมาในระยะหลับลึกหรือระยะที่ 3 REM Sleep จะเกิดต่อจากระยะที่ 3 ของวงจร Non-REM Sleep เป็นช่วงที่การทำงานสมองจะตื่นตัวขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น หายใจเร็วขึ้น และดวงตามีการเคลื่อนไหวแม้ว่าจะหลับตาอยู่ นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่เรามักจะฝันได้ง่าย จึงเรียกระยะนี้ว่าระยะหลับฝัน REM Sleep มักเริ่มหลังจากเรานอนหลับไปประมาณ 90 นาที ในวงจรรอบแรกมักใช้เวลาประมาณ 10 นาที และกินเวลานานขึ้นในวงจรรอบถัดไป โดยระยะหลับฝันรอบสุดท้ายอาจใช้เวลานานถึง 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ การนอนหลับในระยะหลับฝันอาจมีส่วนช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และความคิดสร้างสรรค์ เทคนิคการนอนหลับให้มีคุณภาพทำอย่างไร ? 1,ไม่งีบหลับตอนบ่ายหรือตอนเย็น เพราะจะทำให้นอนหลับยากตอนกลางคืน หากต้องการงีบหลับควรงีบก่อนเที่ยงและงีบเป็นช่วงสั้น ๆ 2.หลับและตื่นให้เป็นเวลาแม้ในวันหยุด เพื่อให้เกิดความเคยชิน ซึ่งจะช่วยให้นาฬิกาชีวิตมีวงจรการทำงานที่เป็นระบบมากขึ้น 3.ออกกำลังกายเป็นประจำ และออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งให้ร่างกายได้รับแสงแดดในระหว่างวันบ้าง ซึ่งจะส่งผลต่อดีต่อนาฬิกาชีวิตที่ควบคุมการนอนหลับ 4.งดดื่มน้ำมากก่อนเข้านอน เพราะอาจทำให้ปวดปัสสาวะและตื่นกลางดึก รวมทั้งหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 5.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึก โดยเฉพาะการรับประทานในปริมาณมาก หรือรับประทานอาหารที่มีรสจัด 6.จัดห้องนอนให้มีอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะสม ไม่ควรให้มีเสียงหรือแสงรบกวน รวมถึงควรเลือกที่นอนและหมอนที่รองรับสรีระพอดีและนุ่มสบาย 7.หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ ใช้แล็ปท็อปหรือมือถือก่อนเข้านอนอย่างน้อย 30 นาที เนื่องจากแสงสีฟ้าจากหน้าจอทำให้ร่างกายเข้าใจว่ายังไม่ถึงเวลาเข้านอน จึงไม่หลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยในการนอนหลับ ทำให้เรานอนหลับยาก 8.ผ่อนคลายความเครียดก่อนเข้านอน เช่น อาบน้ำอุ่น ทำสมาธิ และฝึกการหายใจ ซึ่งอาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น 9.หากนอนไม่หลับภายหลังเข้านอน 20–30 นาที  ให้ลุกไปทำกิจกรรมอื่นก่อนในช่วงสั้น ๆ เช่น ฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือเพื่อผ่อนคลาย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : การนอนอย่างมีประสิทธิภาพ กลับสู่หน้าหลักบทความ

การนอนอย่างมีประสิทธิภาพ Read More »

สุขภาพดีขึ้น ด้วยการปรับเข็มนาฬิกาชีวิต

       สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed สำกรับวันนี้ว่าด้วยเรื่องของสุขภาพและ “นาฬิกาชีวิต” โดยระบบนาฬิกาชีวิตภายในร่างกายจะถูกควบคุมด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีชื่อว่า นิวเคลียสซูพราไคแอสมาติก (Suprachiasmatic Nucleus: SCN) ที่อยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมการทำงานของยีนเวลา (Clock Genes) สัญญาณที่ถูกส่งออกมาจากกลุ่มเซลล์นี้มีชื่อว่าสัญญาณเอสซีเอ็น อันเกิดจากตอบสนองต่อสัญญาณของแสงหรือความมืด ที่ส่งต่อมาจากระบบประสาทของดวงตา สัญญาณแสงถูกส่งเข้ามา กลุ่มเซลล์นี้ก็แปรสัญญาณที่ได้รับเป็นสัญญาณดังกล่าว และส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมองที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ อาทิ ระบบฮอร์โมน ระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย และระบบการทำงานของร่างกายอื่น ๆ ดังนั้น นาฬิกาชีวิตจึงมีความเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายและสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับปัญหาสุขภาพได้ เช่น หากคนเรานอนหลับผิดเวลา ก็จะทำให้ร่างกายของเราผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับได้นั่นเอง วันนี้ worldmed จึงมีวิธีการง่ายๆมานำเสนอเพื่อให้ทุกท่านได้เริ่มปรับนาฬิกาชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีโดยรวมกันครับ ในหัวข้อ สุขภาพดีขึ้น ด้วยการปรับเข็มนาฬิกาชีวิต คร้าบ เทคนิคที่ 1 รับแสงแดด      แสงแดดมีประโยชน์ต่อทุกชีวิตบนโลก งานวิจัยบอกว่า เราควรรับแสงแดดอ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้นาฬิกาประจำตัวเดินเป็นปกติ นอกจากนี้แล้วแสงแดดยังทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งช่วยให้จิตใจสดชื่น กระปรี้กระเปร่าไปทั้งวันอีกด้วย เทคนิคที่ 2 เลื่อนมื้อเย็นให้เร็วขึ้น        ใครที่ชอบรับประทานอาหารเย็นช่วงหัวค่ำไปแล้ว หยุดเลยนะ!! ลองเปลี่ยนมารับประทานให้เสร็จก่อน 18.30 น.  จะช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารได้หยุดพักเมื่อเข้านอน ร่างกายจะทำงานได้ราบรื่นเป็นปกติ และยังช่วยลดปัญหาน้ำหนักเกินเป็นของแถมได้อีกหนึ่งต่อ เทคนิคที่ 3 นอนและตื่นเป็นเวลา         ไม่ว่าใครจะเป็นคุณหนูนอนแต่หัวค่ำ หรือเป็นค้างคาวที่ไม่ยอมหลับยอมนอน ขอให้เริ่มเปลี่ยนตัวเอง พยายามตื่นเป็นเวลาทุกเช้า ไม่ว่าเมื่อคืนจะนอนหลับตอนกี่ทุ่มกี่ยามก็ตาม เพราะการชดเชยเวลาอดหลับอดนอนด้วยการนอนตื่นสาย ไม่ได้ทำให้การตื่นขึ้นมาในวันรุ่งสดใสอย่างที่คิด ที่สำคัญ พยายามเข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันด้วย ติดตามสาระสุขภาพดีๆ ได้ที่ช่องทางนี้หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สุขภาพดีขึ้น ด้วยการปรับเข็มนาฬิกาชีวิต กลับสู่หน้าหลักบทความ

สุขภาพดีขึ้น ด้วยการปรับเข็มนาฬิกาชีวิต Read More »

เลิกบุหรี่ ด้วยวิถีสมุนไพร

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed เป็นประจำทุกวันเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เป็นเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจมากๆสำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่หรือกำลังอยู่ในช่วงหักดิบบุหรี่ครับ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมครับ บางท่านยังคงมีอาการอยากบุหรี่อยู่เสมอ วันนี้แอดมินขอเสนอตัวช่วย เลิกบุหรี่ ด้วยวิถีสมุนไพร นั่นก็คือพืช ผล สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆครับจะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันครับ และนี่คือตัวช่วยในการเลิกบุหรี่แบบธรรมชาติ 1.มะนาว  : ผลไม้เปรี้ยวจัด มีวิตามินซีสูง เปลือกมีรสเผื่อน ขม ซึ่งวิตามินซีในมะนาวจะช่วยเปลี่ยนรสชาติ ของบุหรี่ให้เฝื่อน ทำให้ไม่อยากสูบบุหรี่และลดอาการอยากนิโคตินได้ อีกทั้งยังช่วยขจัดคราบบุหรี่ได้อีกด้วย วิธีทาน : หั่นมะนาวติดเปลือกเป็นชิ้นเล็ก ๆ  ขนาดพอดีคำเมื่อมีความรู้สึกอยากบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อย ๆ ดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคียวเปลือกอย่างช้า ๆ 3-5 นาที 2.กานพลู : มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ การอมดอกกานพลูจะทำให้รู้สึกชาปากบ้างเล็กน้อย และน้ำมันหอมระเหยของกานพลูยังช่วยทำให้ประสาทสลบ นอนหลับสบาย ช่วยระงับและดับกลิ่นปากอีกด้วย วิธีทาน : ใช้ดอกตูมประมาณ 3 ดอก อมไว้ในปากจะช่วยลดและระงับกลิ่นปากลงได้ และทำให้ปากชาแก้ความอยาก และช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น 3.มะขามป้อม : มีรสเปรี้ยวและฝาด มีวิตามินซีและแทนนินสูง ซึ่งน้ำคั้นจากผลมะขามป้อม 100 กรัม จะมีวิตามินสูงถึง 600-1,000 มิลลิกรัม ด้วยรสฝาดของมะขามป้อมมีฤทธิ์ทำให้รสของบุหรี่เปลี่ยนไปและรู้สึกไม่อยากบุหรี่ วิธีทาน : กินผลมะขามป้อมสด เคี้ยวและอมหรือตากแห้ง แล้วนำมาชงดื่ม 4.ใบโปร่งฟ้า : หรือชื่ออื่น ส่องฟ้า หวกหม่อนต้น หัสคุณดง ลอดฟ้า มีสารคาร์บาโซลที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง สามารถ ลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ และช่วยในการอดบุหรี่ เพราะใบมีรสชาติหวานปะแล่ม ๆ เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนไป ทำให้รู้สึกพะอืดพะอม  อยากจะอาเจียน และไม่อยากสูบบุหรี่อีก วิธีทาน : นำใบโปร่งฟ้าสด 1-2 ใบ เคี้ยวเวลาเกิดอาการอยากสูบบุหรี่ 5.รางจืด : ใช้สำหรับล้างพิษในร่างกายจากการได้รับสารเคมี ซึ่งสารสกัดน้ำจากใบรางจืดจะช่วยล้างสารพิษ  นิโคตินในตับ โดยสามารถใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็นใบ ราก หรือเถา (สรรพคุณที่ดีที่สุดของรางจืดจะอยู่ที่ราก) วิธีทาน : เลือกใบรางจืดที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป โขลกให้แหลกผสมน้ำซาวข้าว (เพราะน้ำซาวข้าวจะช่วยให้ฤทธิ์ยาแล่นเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็ว) คั้นเอาแต่น้ำดื่ม ซึ่งจะมีความเข้มข้นสูง หรือ ใช้ใบสด 4-5 ใบ ฉีก และชงในน้ำร้อนดื่ม มีข้อควรระวัง การกินรางจืดนั้น ไม่ควรกินติดต่อกันนานเกิน 7 วัน เพราะมีผลต่อตับ และควรดื่มน้ำมะพร้าว เพื่อช่วยรักษาวิตามินในร่างกาย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เลิกบุหรี่ ด้วยวิถีสมุนไพร กลับสู่หน้าหลักบทความ

เลิกบุหรี่ ด้วยวิถีสมุนไพร Read More »

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ฮีโร่หรือวายร้ายสำหรับสุขภาพ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระวันนี้เป็นเรื่องของความหวานที่เกี่ยวกับความรักครับ แต่รักในที่นี้คือรักสุขภาพนะครับ อย่างที่ทุกท่านทราบว่าหากเราทานหวานโดยมีน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ท้ายที่สุดจะแปรสภาพและเก็บสะสมในร่างกาย หากทานนานวันเข้าก็อาจก่อให้เกิดโรคเช่น เบาหวาน โรคอ้วนได้ ขณะที่ผู้ผลิตหันมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลในการผลิตสินค้าบริโภค ไม่ว่าด้วยเหตุผลด้านพานิชย์หรือเพื่อสุขภาพ ทั้งยังได้รับการเชื่อมั่นว่ามีความปลอดภัยและเสี่ยงโรคอ้วนน้อยกว่าการบริโภคน้ำตาลทราย แต่ไม่นานมานี้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ให้ข้อมูล สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นแท้จริงแล้วก็มีโทษต่อสุขภาพไม่ต่างจากน้ำตาลเลยทีเดียว สรุปแล้ว สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ฮีโร่หรือวายร้าย สำหรับสุขภาพ กันแน่ ติดตามเรื่องนี้ไปพร้อมกันครับ จำแนกสารให้ความหวานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย 1.แอสปาแตม : หวานกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่า นิยมอย่างมากในเครื่องดื่มน้ำอัดลมและคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานมีงานวิจัยเชื่อมโยงแอสปาร์เทมเข้ากับอาการปวดไมเกรนในผู้ใช้บางราย และความเป็นสารเคมีเมื่อบริโภคไปนานๆอาจให้ผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ 2.ซูคราโลส : หวานมากกว่าน้ำตาลประมาณ 600 เท่า ซูคราโลสนิยมนำมาใช้ให้ความหวานกับขนม ชา กาแฟ  ที่โฆษณาว่าดื่มเพื่อลดความอ้วนเพื่อสุขภาพ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือกระบวนการผลิตซูคราโลสนั้น ทำโดยการเพิ่มคลอรีนเข้าไปในโมเลกุลน้ำตาล  ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้กระเพาะของเราไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ด้วยในบางราย 3.หญ้าหวาน หรือ Stevia  : หวานมากกว่าน้ำตาล 250 – 300 เท่า  มีพลังงานน้อยมาก โดยหญ้าหวานน่าจะเป็นสารทดแทนความหวานที่ปลอดภัยกว่าชนิดอื่น และยังไม่มีรายงานข้อแทรกซ้อนจากการใช้ และได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยได้รับอนุญาตให้นำสารสกัด stevioside มาขึ้นทะเบียนเป็นสารหวานแทนน้ำตาลได้ โดยสรุป กลุ่มคนที่จำเป็นต้องใช้สารให้ความหวานโดยตรงก็คือกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล แต่สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เป็นทางเลือกด้านสุขภาพมากกว่าเป็นทางออกของสุขภาพเพราะการมีสุขภาพที่ดีนั้นต้องยั่งยืนและมีผลกระทบน้อยที่สุด บางทีการเลือกทานผลไม้บางชนิด ควบคู่กับการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้ร่างกายคุ้นชินกับการมีสุขภาวะที่ดีแถมยั่งยืนอีกด้วยครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ฮีโร่หรือวายร้ายสำหรับสุขภาพ กลับสู่หน้าหลักบทความ

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ฮีโร่หรือวายร้ายสำหรับสุขภาพ Read More »

วิธีทำให้ฟันขาว ด้วยธรรมชาติ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เป็นเรื่องของสุขภาพฟันครับ อะไรคือตัวชี้วัดว่าคุณมีสุขภาพฟันที่ดี ฟันไม่ผุ ไม่มีคราบหินปูน ไม่มีอาการเสียวฟัน หรือพื้นฐานเลยคือมีฟันที่ขาวสะอาด เป็นการสร้าง สุขลักษณะและเสริมบุคลิกภาพไปพร้อมๆกันครับ แต่วันนี้แอดมินไม่ได้จะกล่าวถึงเทคเทคนิคทางทันตกรรมแต่อย่างใดนะครับ เพราะนี่คือ วิธีทำให้ฟันขาว ด้วยธรรมชาติ ครับ ฟันขาวด้วยวิถีธรรมชาติ เพียงทำตามเทคนิคเหล่านี้ 1.เกลือ “เกลือมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรคเเละยังช่วยป้องกันการเกิดคราบหินปูนในช่องปากได้อีกด้วย” วิธีการฟอกฟันขาวด้วยเกลือ: เทเกลือลงบนยาสีฟันเล็กน้อยขณะแปรงฟัน หรือนำน้ำเกลือมากลั้วปาก ประมาณ 1-2 นาทีหลังแปรงฟันเสร็จ 2.ผงฟู (เบกกิ้งโซดา หรือโซเดียมไบคาบอร์เนต) ผงฟูเป็นส่วนประกอบในยาสีฟัน ผงฟูจัดว่าเป็นสารฟอกฟันขาวที่ดี ช่วยปรับค่าความเป็นกรดในช่องปากและช่วยกำจัดคราบต่างๆบนผิวฟันได้ มีฤทธิ์กัดกร่อนน้อยวิธีฟอกฟันขาวด้วยผงฟู: ยาสีฟันที่ผสมผงฟูแปรงฟัน หรือผสมผงฟูกับเกลือเล็กน้อย แปรงฟันประมาณ 2-3 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด 3.มะนาว น้ำมะนาวมีความเป็นกรด สามารถฟอกฟันให้ขาวขึ้นได้ แต่อาจทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันกร่อนและผุได้ คุณหมอจึงไม่ค่อยแนะนำให้ใช้มะนาวฟอกฟัน (ไม่ควรขัดฟันด้วยมะนาวเกินอาทิตย์ละ 2 ครั้ง)วิธีฟอกฟันขาวด้วยน้ำมะนาว: ถูฟันด้วยน้ำมะนาวหรือเปลือกมะนาว ถ้าใช้น้ำมะนาว ให้ผสมกับน้ำเปล่าในสัดส่วนที่เท่ากันก่อนใช้ 4.กิ่งข่อย ข่อยถือเป็นยาตำรับแผนไทยที่มีสรรพคุณป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ภายในช่องปาก ป้องกันโรคเหงือกอักเสบและฟันผุ ทำให้ลมหายใจสดชื่นวิธีฟอกฟันขาวด้วยกิ่งข่อย: นำกิ่งข่อยเล็กๆ ขนาด 5-6 นิ้ว ล้างน้ำให้สะอาดแล้วเคี้ยวปลายให้แตกนิ่ม นำมาถูฟันให้ทั่ว เนื้อไม้ข่อยช่วยฟอกฟันให้ขาวและยังทำให้เหงือกมีสุขภาพดีแข็งแรง แถมยางที่เปลือกของข่อยจะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับฟันอีกด้วย 5.เปลือกกล้วย การใช้เปลือกกล้วยขัดฟัน ก็เป็นวิธีทำให้ฟันขาวได้  เช่นกัน เพราะในเปลือกกล้วยมีสารที่ช่วยให้ฟันขาวหลายชนิด เช่น โพแทสเซียมและแคลเซียมวิธีใช้เปลือกกล้วยฟอกฟันขาว : เพียงแค่ถูฟันด้วยเปลือกกล้วยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที ทิ้งไว้ 15 นาที  แล้วแปรงฟันตามปกติข้อเเนะนำคือ ควรขัดฟันอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรขัดฟันแรงเกินไปนัก เพราะอาจจะทำให้เคลือบฟันเกิดความเสียหายได้  อย่างไรก็ตามครับ สุขภาพช่องปากควรได้รับการดูแลอย่างครอบคลุม ควรมีการขูดหินปูน ทุกๆ 6 เดือนหรืออย่างน้อย ปีละครั้ง  รวมถึงการแปรงลิ้น  แปรงเหงือก กระพุ้งแก้ม ในช่วงที่แปรงฟัน  และหลีกเลี่ยงการบริโภค น้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดสูบบุหรี่ เพียงเท่านี้สุขภาพฟันและช่องปากก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : วิธีทำให้ฟันขาว ด้วยธรรมชาติ กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีทำให้ฟันขาว ด้วยธรรมชาติ Read More »

เตือน ภูมิแพ้แมลงสาบ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ช่วงก่อนหน้านี้แอดมินเคยได้นำเสนอสาระเกี่ยวกับสัตว์มีพิษไปแล้ว สำหรับวันนี้มีสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่นับได้ว่าเป็นพาหะของโรคไม่แพ้สัตวมีพิษแถม อวัยวะของมันอย่าง เปลือกแข็งหุ้มตัว ปีก หนวด ไข่ ขา น้ำลาย อุจจาระ และเศษโปรตีนจากร่างกายของมัน มีสารก่อภูมิแพ้หากไปสัมผัสเข้าสู่ร่างกาย ใช่ครับเจ้าตัวที่ว่านี้คือ แมลงสาบ มันจะสร้างภัยคุกคามทางสุขภาพให้เราขนาดไหน ติดตามพร้อมกันวันนี้ครับ ในหัวข้อ เตือน ภูมิแพ้แมลงสาบ  เตือน ภูมิแพ้แมลงสาบ สายพันธุ์แมลงสาบในไทย และ 2 จาก 4 สายพันธุ์ที่มักจะเป็นสาเหตุของภูมิแพ้ 1.สายพันธุ์อเมริกัน  (American cockroach) เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ลำตัวมีขนาดใหญ่ ตัวยาว 35-40 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาล สายพันธุ์นี้สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว คือ หากเราเห็นแมลงสาบ 1 ตัวในบ้าน เท่ากับว่ายังมีแมลงสาบอีกประมาณ 10 – 800 ตัวอยู่ในรัง 2.สายพันธุ์เยอรมัน  (German cockroach) เป็นสายพันธุ์ที่พบได้รองลงมา ยาวประมาณ 12-16 มิลลิเมตร มีสีเหลืองอมน้ำตาล วิธีการปล่อยสารก่อภูมิแพ้ของแมลงสาบ แมลงสาบจะปล่อยสารก่อภูมิแพ้ออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น ลำตัว ขา ปีก และหนวด หรืออาจปล่อยออกมาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น น้ำลาย มูก หรือไข่ หากมนุษย์สัมผัสหรือสูดดมสารดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็อาจทำให้เป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดได้ อาการที่พบบ่อย คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือ โรคแพ้อากาศ (Allergic rhinitis) และโรคหืด  (asthma) ซึ่งมักมีอาการเกิดขึ้นได้ตลอดปี ร่วมกับมีอาการเล็กน้อย เช่น คันที่ผิวหนัง คอ ตา และจมูก ซึ่งหากเกิดอาการในกลุ่มเด็กจะมีความรุนแรงมากกว่า อาจทำให้เกิดโรคหอบหืดจนถึงขั้นหายใจไม่ออกได้ สำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้จะมีสัณญาณ อย่างเช่น คัดจมูกเรื้อรัง คันจมูก คันตา ไอไม่หยุด หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจเป็นเสียงหวีด แน่นหน้าอก เป็นผื่น และหากปรากฏอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์อาจทดสอบอาการแพ้ทางผิวหนังด้วยการหยดสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวและทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นแพทย์จะสังเกตปฏิกิริยาอาการแพ้ เช่น ผิวหนังบวม แดง หรือเป็นตุ่มคัน เพื่อวางแผนรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป โดยผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ หรือยาแก้แพ้อื่น ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความไวต่อสารก่ออาการแพ้จากแมลงสาบ แล้วเราจะสามารถจัดการกับแมลงสาบอย่างไรได้บ้าง ? 1.รักษาความสะอาดบริเวณพื้น  อ่างล้างจาน เตาปรุงอาหาร โต๊ะและตู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะในห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร โดยอาจใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือไม้ถูพื้นชุบผงซักฟอกช่วยทำความสะอาดบ้าน2.เก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด โดยห่ออาหารไว้ในขวดโหลหรือกล่องให้เรียบร้อย ไม่วางภาชนะที่มีอาหารทิ้งไว้โดยไม่มีฝาปิดหรือที่ครอบ3.ซ่อมหรือปิดรอยแตกร้าวตามผนังและพื้น ซ่อมท่อน้ำที่แตกหรือรั่วเพื่อไม่ให้เกิดความชื้นโดยเฉพาะบริเวณใต้อ่างล้างจาน4.ใช้กับดักแมลงสาบ ลักษณะจะเป็นถาดกาวคล้ายกับกาวดักหนู หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ให้นำเศษอาหารมาวางล่อไว้ตรงกลางกับดัก และเมื่อแมลงสาบมากินอาหารก็จะติดกาวจนขยับไม่ได้ หรืออาจเทน้ำหวานใส่ขวดน้ำในปริมาณพอสมควรแล้วทาน้ำมันไว้บริเวณปากขวดและคอขวดด้านใน ซึ่งเมื่อแมลงสาบลงไปกินน้ำหวานก็จะกลับขึ้นมาไม่ได้เพราะลื่นน้ำมัน โดยวิธีเหล่านี้เป็นการทำกับดักที่ง่ายและสามารถนำกับดักพร้อมแมลงสาบไปทิ้งได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาทำความสะอาด หากยังมีประชากรแมลงสาบเยอะอยู่ควรปรึกษาบริษัทกำจัดแมลงเพื่อกำจัดเป็นวงกว้าง         แมลงสาบเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภูมิแพ้ทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และข้อมูลจากการศึกษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราช พบว่า มีสาเหตุมาจากแมลงสาบ 44 – 60 % ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทั้งหมด ถือว่าเยอะเลยทีเดียวครับ เพราะอย่างนั้น การเริ่มต้นจากการรักษาความสะอาดให้บ้านปลอดจากฝุ่น ความชื้น และแมลงสาบ จึงเป็นก้าวแรกของสุขภาวะที่ดีขึ้นครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เตือน ภูมิแพ้แมลงสาบ กลับสู่หน้าหลักบทความ

เตือน ภูมิแพ้แมลงสาบ Read More »

เช็คก่อนเวฟ “5 อาหารไม่ควรเวฟ”

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมบริโภคของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปกว่ายุคก่อน อุตสาหกรรมอาหารเฟื่องฟูและมีการแปรรูปอาหารให้สามารถรับประทานได้สะดวกยิ่งขึ้น อาทิเช่น อาหารแปรรูปที่สามารถอุ่นร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ แต่ไม่ใช่อาหารทุกอย่างที่จะสามารถอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟแล้วสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย พร้อมแล้วเรามา เช็คก่อนเวฟ “5 อาหารไม่ควรเวฟ” ไปพร้อมๆกันครับ เช็คก่อนเวฟ “5 อาหารไม่ควรเวฟ” อาหารที่ไม่ควรอุ่นด้วยไมโครเวฟ มีอะไรบ้าง เพราะเหตุใดจึงไม่ควรเวฟ ? ไข่ : การต้มไข่ โดยการใส่ไข่ทั้งฟองเข้าไปในไมโครเวฟนั้นไม่ควรทำ เพราะรังสีความร้อนจะส่งไปยังอาหารโดยตรง และทำให้ไข่ร้อนจัดจนระเบิด อีกทั้งยังให้รสชาติไม่ดีเท่าที่ควรด้วย นมแม่ : นมแม่ที่ถูกแช่ไว้ในช่องฟรีซ ไม่ควรนำนมออกมาละลายด้วยการใส่ในไมโครเวฟเด็ดขาด เนื่องจากการอุ่นนมในไมโครเวฟไม่สามารถทำให้นมร้อนได้อย่างทั่วถึงหรือสม่ำเสมอ ซึ่งอาจทำให้มีเชื้อโรคเจริญเติบโตในจุดที่ความร้อนกระจายไปไม่ถึง อย่างเชื้อโรคอีโคไลที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากการที่สารต้านทานเชื้อโรคในนมแม่ถูกทำลายโดยความร้อนสูง จนเป็นอันตรายกับลูกน้อยได้ เนื้อสัตว์แช่แข็ง : เพราะการนำเนื้อสัตว์แช่แข็งไปละลายน้ำแข็งด้วยไมโครเวฟ อาจยังมีบางส่วนที่ความร้อนกระจายไปไม่ทั่วถึง ซึ่งอาจทำให้มีเชื้อโรคเจริญเติบโตหรือปนเปื้อนมาได้ ทั้งนี้ หากต้องการนำเนื้อสัตว์มาปรุงอาหาร ควรเปลี่ยนมาแช่ในช่องแช่เย็นปกติก่อน 1 คืน แล้วค่อยนำไปปรุงอาหารจะดีกว่า ผักสดต่างๆ : ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าการใช้ความร้อนในการปรุงอาหารประเภทผัก นึ่ง หุง ต้ม ผัด หรือทอด ต่างก็ทำให้สูญเสียสารอาหารในผักทั้งสิ้น ทั้งนี้อัตราการสูญเสียก็แล้วแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป และจากผลการวิจัย การนำผักบล็อคโคลี่ไปใช้กับไมโครเวฟ ทำให้สูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักถึง 97% เลยทีเดียว ผลไม้ : ผลไม้บางชนิดไม่ทนทานต่อความร้อนของไมโครเวฟ เช่น องุ่น หรือผลไม้เปลือกหนาต่างๆ หากนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟละก็ อาจเกิดระเบิดของผลไม้ได้ เท่านั้นยังไม่พอ หาผลไม้เหล่านั้นแห้งลงแล้วมันจะเริ่มปล่อยพลาสมาออกมาจำนวนมากและทำให้ไมโครเวฟไหม้ ในผลไม้ที่แช่แข็ง มีผลการวิจัยระบุว่าเมื่อนำเอาผลไม้แช่แข็งไปใช้กับไมโครเวฟ จะทำให้น้ำตาลที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในผลไม้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสารก่อมะเร็ง เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปนี้ 1.ตัดแต่งวัตถุดิบที่จะทำอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือเลาะกระดูกออกจากชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ก่อนที่จะนำไปอุ่นในไมโครเวฟ. 2.จัดเรียงอาหารในถาดให้เป็นระเบียบก่อนนำไปอุ่นในไมโครเวฟ เพื่อให้ความร้อนกระจายได้อย่างทั่วถึง. 3.หากจำเป็นต้องอุ่นอาหารชิ้นใหญ่ ควรลดระดับความร้อนของไมโครเวฟลงครึ่งหนึ่งและเพิ่มเวลาในการอุ่นอาหารแทน. 4.สำหรับอาหารที่มีลักษณะแห้ง ควรเติมน้ำหรือของเหลว เช่น น้ำซุปหรือน้ำเกรวี่ เพื่อช่วยกระจายความร้อน.      ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เช็คก่อนเวฟ “5 อาหารไม่ควรเวฟ” กลับสู่หน้าหลักบทความ

เช็คก่อนเวฟ “5 อาหารไม่ควรเวฟ” Read More »

กระตุ้นพัฒนาการ ผ่าน 5 คำถามก่อนลูกนอน

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้ว่ากันถึงเรื่องของการกระตุ้นพัฒนาการด้านการการสื่อสารและกระบวนการคิดของลูกกันครับ ผ่านการตั้งคำถามครับ ซึ่งการ กระตุ้นพัฒนาการ ผ่าน 5 คำถามก่อนลูกนอน ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสื่อสาร หรือการได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเท่านั้นครับ คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเข้าใจพัฒนานาการทางความคิดและพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กๆได้มากขึ้น โดยใช้เวลาช่วงก่อนเข้านอนของเค้านี่แหละครับ พร้อมแล้วไปสำรวจโลกของลูกๆกันได้เลยคร้าบ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/12/Motherife-tips-EP.31-กระตุ้นพัฒนาการ-ผ่าน-5-คำถามก่อนลูกนอน.mp4 1.หากหนูสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ 1 ตัวหนูอยากจะเป็นตัวอะไรมากที่สุดคะ ? คำถามนี้จะช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก  เพราะในวัยเด็กจินตนาการเป็นเรื่องสำคัญ ที่ช่วยหล่อหลอมให้ชีวิตมีความสุข ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การใช้จินตนาการก็ถือเป็นการบริหารสมองอย่างหนึ่ง ดังนั้นในบางครั้งพ่อแม่อาจจะลองตั้งคำถามที่ดูเกินจริงดูบ้าง เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวา ให้ลูกเกิดความคิดสร้างสรรค์ครับ 2.วันนี้เรื่องอะไรที่หนูมีความสุขที่สุดและเรื่องอะไรที่หนูไม่มีความสุขบ้างคะ ? คำถามนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของลูกมากขึ้น ช่วยให้ลูกจัดการและรับมือกับความรู้สึกของเขาได้ ซึ่งบางครั้งลูกอาจจะตอบในสิ่งที่คุณไม่คาดคิด แต่นั่นจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักลูกมากขึ้น ได้เห็นถึงวิธีการคิดและวิธีการที่เขาเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด ซึ่งจะช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่ชอบเรียนรู้และรู้จักแก้ปัญหา นอกจากนี้การที่ลูกได้เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจออกมาก่อนนอนนั้น จะทำให้เขาไม่ต้องเก็บไปคิดมากในวันพรุ่งนี้ และคุณอาจช่วยลูกแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงทีครับ 3.ถ้าหนูเป็นคุณครูแล้วเจอเด็กดื้อไม่ฟังไม่ตั้งใจเรียนหนูจะทำอย่างไรคะ ? คำถามลักษณะนี้มุ่งหวังให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่นั้น รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และสะท้อนประสบการณ์ที่เด็กๆพบเจอมาไม่ว่ากับที่โรงเรียน หรือแม้แต่สะท้อนสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ได้สอนเค้าไป แต่จุดโฟกัสสำคัญที่จะช่วยให้เค้าพัฒนาชุดความคิดได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้นนั่นก็คือ การไม่ตัดสินผู้อื่นโดยปราศจาคเหตุผลรองรับ ฝึกให้เค้าเป็นผู้ที่เปิดใจรับฟัง ในขณะเดียวกัน ขณะที่ลูกกำลังอธิบายสิ่งต่างๆ คุณพ่อคุณพ่อกับคุณแม่ ก็ควรแสดงออกให้เค้าเห็นว่า คุณพ่อคุณแม่กำลังรับฟังเค้าอยู่ หรือพูดกับเค้าว่า “พ่อกำลังฟังหนูอยู่นะครับ”  “แม่กำลังฟังหนูอยู่นะคะ” เพื่อให้เค้าเริ่มต้นเป็นผู้ฟังที่ดี ก่อนที่เค้าจะเริ่มจัดการกับปัญหาต่างๆที่พบเจอตรงหน้า นั่นเอง 4.ถามลูกว่ามีงานบ้านอะไรบ้างที่ลูกช่วยแม่ทำได้ ลองมานับดูกันนะคะ ? คำถามนี้จะช่วยให้ลูกตระหนักรู้ว่า หน้าที่ของตัวเองคืออะไร ทำให้เขามีความรับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครัว ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าการตำหนิลูกแบบทันที และเพื่อให้พฤติกรรมความรับผิดชอบของลูกแสดงผลเร็วขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงการช่วยเหลือกันทำงานบ้านให้ลูกเห็นเป็นประจำ ซึ่งโดยวัยของเค้าแล้ว เด็กๆจะมีพฤติกรรมเลียนแบบอยู่ โดยข้อนี้นี่เองแหละครับที่จะเป็นโอกาสทองให้เด็กๆได้โชว์ความเป็นผู้สุดยอดผู้ช่วยประจำบ้าน และหากเด็กๆช่วยคุณพ่อคุณแม่แล้ว ไม่ว่าจะเล็กๆน้อย คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมแสดงออกให้เค้ารู้นะครับว่าเค้าทำได้ดีแค่ไหน และให้กำลังใจเค้าครับ ชื่นชมบ้างและค่อยๆท้าทายงานที่ใหญ่ขึ้นเมื่อเค้าโตขึ้นครับ 5.ถ้าแม่โกรธแล้วหนูจะทำยังไงให้แม่หายโกรธคะ ? คำถามนี้จะทำให้ลูกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งถ้าเป็นเด็กเล็กๆอาจจะยังไม่สามารถอธิบายขั้นตอนการแก้ปัญหาแบบยาวๆได้ หรือเข้าใจความซับซ้อนของอารมณ์โกรธได้ โดยก่อนที่เด็กๆจะตอบคำถามนี้ได้นั้น จะต้องผ่านประสบการณ์การแก้ปัญหาการจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ก่อน โดยคุณแม่อาจถามเด็กๆว่าเวลาหนู่โกรธหนูจะทำอย่างไร หรือเวลาหนู่ไม่ชอบหนูทำอย่างไร และให้มองกลับกันครับว่า ถ้าลูกเป็นฝ่ายเผลอทำให้คนอื่นๆโกรธหรือเสียใจ เราจะพูดหรือปฏิบัติกับคนๆนั้นอย่างไร  และก็เป็นอีกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถประยุกต์เรื่องของการไม่ตัดสินผู้อื่นโดยปราศจากเหตุผลให้กับลูกได้ครับ เพราะในชีวิตจริงเวลาที่คนเราโกรธ คนที่มีสติและสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ก่อน ก็จะมีพื้นที่ให้อีกฝ่ายปรับความเข้าใจและพันาสัมพันธภาพให้ดีขึ้นได้ครับ หรือ ถ้าอีกฝ่ายมีอคติก็จะช่วยให้ลูกสามารถเข้าใจและสามารถวางตัวได้อย่างเหมาะสมนั่นเองครับ    โดยสรุปครับ คำถามเหล่านี้อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกรู้จักสื่อสาร และรู้ว่าเขาสามารถแบ่งปันเรื่องราวให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้ทุกเรื่อง เพราะพ่อคุณแม่พร้อมที่จะรับฟังเขาเสมอ การที่พ่อคุณแม่สอนให้ลูกแบ่งปันเรื่องราวตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจพ่อคุณแม่มากขึ้นเมื่อเจอเรื่องราวต่างๆ ตอนที่เขาโตขึ้น เขาก็พร้อมจะแบ่งปันเรื่องราวให้พ่อคุณแม่ฟัง เป็นการสร้างพลังที่แข็งแกร่งให้กับครอบครัวได้อย่างมั่นคงนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กระตุ้นพัฒนาการ ผ่าน 5 คำถามก่อนลูกนอน กลับสู่หน้าหลักบทความ

กระตุ้นพัฒนาการ ผ่าน 5 คำถามก่อนลูกนอน Read More »