sadanon

Yes Or No คุณแม่ลูกอ่อน

           สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips เดินทางมาถึง ep ที่30 กันแล้วนะครับ วันนี้อยู่กับเรื่องของคุณแม่ลูกอ่อนที่กำลังให้นมกับเจ้าตัวเล็กครับ โดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรกครับ เพราะคุณแม่ลูกอ่อนหลายคน อาจจะยังไม่คุ้นชินกับวิธีเลี้ยงลูกในช่วงแรก และอาจจะมีคำถามมากมายครับว่าสิ่งใดยังสามารถทำได้เหมือนช่วงก่อนมีลูก หรือสิ่งใดควรงดไปและระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการให้นำนมแก่ลูกและไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตน้ำนม จะมีข้อใดกันบ้างติดตามพร้อมกันวันนี้ครับ กับ Yes Or No คุณแม่ลูกอ่อน จ้า https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/12/Motherife-tips-ep-30-6-สิ่ง-ได้-หรือ-ไม่-สำหรับคุณแม่ลูกอ่อน.mp4 Yes Or No คุณแม่ลูกอ่อน 1.รับประทานยาคุมได้มั๊ย ? คำตอบคือ ได้ครับ         โดยยาคุมกำเนิดนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือชนิดฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม โดยใน EP ก่อนหน้าได้มีการให้ข้อมูลสำหรับคุณแม่ให้นมบุตรว่า ควรเลือกทานชนิด ฮอร์โมนเดี่ยวหรือ Progestin เนื่องจาก ไม่มีผลข้างเคียงต่อการให้นมบุตร แต่สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ต้องทราบก็คือ ยาคุณกำเนิดที่แนะนำกันนั้น ก็ต้องระวังเป็นอย่างมากในคุณแม่ที่มีภาวะเกี่ยวกับโรคตับ โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ และโรคลิ่มเลือดอุดตันแบบเฉียบพลัน นั่นก็หมายความว่าก่อนที่คุณแม่จะเลือกรับประทานยาใดๆสักชนิดในช่วงให้นมกับเด็กๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์และเข้าใจร่างกายของคุณแม่เองเป็นอันดับแรกนะครับ 2.รับประทานอาหารเสริมบำรุงได้มั๊ย ? คำตอบคือ ได้ครับ     วิตามินบำรุงต่างๆ หากมีมาตรฐานและการรับรองความปผลอดภัยสำหรับคุณแม่ให้นมบุตรก็สามารถทานได้ครับ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารเสริมกลุ่ม น้ำมันตับปลา แคลเซียมเม็ดพวกนี้ครับ ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการอุดตันของท่อน้ำนม (ซึ่งจริงๆมาจากหลายสาเหตุนะครับ ) ซึ่งหากพบความผิดปกติบริเวณเต้านม เช่น เต้านมบวมแดง คลำพบก้อนในเต้านม รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสถูกเต้านม หรือ รู้สึกร้อนบริเวณเต้านม นี่อาจเป็นสัญญาณของท่อน้ำนมอุดตันแล้วก็เป็นได้ครับ และย้ำอีกครั้งครับว่า ก่อนที่คุณแม่จะเลือกทานยา หรืออาหารเสริมใดๆ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆเลยทีเดียวครับ เพราะแทนที่คุณแม่จะทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงฟื้นฟูร่างกายแต่อาจได้รับผลกระทบต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัวได้ครับ 3.รับประทานโปรตีนได้มั๊ย ? คำตอบคือทานได้ตามปกติ แต่….ต้องสังเกตอาการของลูกด้วยครับ           คุณแม่สามารถรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ ได้ตามปกติ แต่จะต้องสังเกตอาการของลูกด้วยว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นหรือไม่ ในบางเคสที่พบได้บ่อยๆคือคุณแม่บริโภคแหล่งโปรตีนที่เป็นอาหารทะเลครับ ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ครับ และน้ำนมที่ออกมานั้นจะมีสารอาหารประเภทโปรตีนที่คุณแม่ทานเข้าไป ซึ่งส่งผ่านไปยังเจ้าตัวเล็กได้ครับ หากคุณแม่พบความผิดปกติเกิดขึ้นกับทารกหรือกับตนเอง ควรหยุดรับประทานก่อนนะครับ และควรพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุของอาการแพ้ต่อไปครับ 4.ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกระเทียมในช่วงให้นมใช่หรือไม่ ? คำตอบคือ ควรเลี่ยงครับ        เพราะการรับประทานกระเทียมนั้น อาจจะส่งผลทำให้น้ำนมมีกลิ่นของกระเทียมออกมา อาจทำให้ลูกของคุณแม่เกิดอาการขยาดกลิ่นนั้นได้ ดังนั้น หากจำเป็นต้องรับประทานผักผลไม้ในช่วงนี้ ควรหลีกเลี่ยงกระเทียมหรือผักผลไม้ที่มีกลิ่นแรงหรือกลิ่นฉุน เช่น เครื่องเทศต่างๆ เป็นต้นคร้าบ 5.กินยาลดความอ้วนในช่วงให้นมบุตรได้รึเปล่า ? คำตอบคือ ควรเลี่ยงครับ          ความกังวลหลังคลอดเกี่ยวกับน้ำหนักตัวเป็นสิ่งที่คุณแม่หลายท่านพบเจอครับ และหาวิธีจัดการ แต่สิ่งที่คุณแม่จำเป็นต้องทราบคือ เจ้ายาลดความอ้วนในปัจจุบัน มักจะมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ซึ่งจะส่งผลกระทบในการกดภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกาย ทำให้ปริมาณน้ำนมอาจจะลดลงได้ ดังนั้น คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักด้วยวิธีกินยาลดความอ้วน และปรับกันที่ต้นเหตุอย่างการหันมาลดการกินแป้ง ลดไขมัน โดยกินผักผลไม้พลังงานต่ำ เป็นหลักแทนจะดีกว่าครับ 6.ทาครีมได้มั๊ย คำตอบคือทาได้ครับ แต่ยกเว้น บริเวณหน้าอกในช่วงให้นม      เนื่องจากกลิ่นและสารบำรุงของครีมต่างๆ อาจจะสัมผัสโดนตัวของลูกขณะให้นม แล้วเกิดเป็นอาการแพ้ได้ครับ หรือกลิ่นนี่ของครีมนี่แหละครับที่อาจไปรบกวนประสาทสัมผัสของลูกได้            และ 6 ข้อนี้เป็นข้อควรทราบเบื่องต้นที่ช่วยให้คุณแม่ป้องกันภาวะอันไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองและลูกน้อยได้ครับ จะสังเกตว่าบางข้อแม้คุณแม่จะสามารถทำได้ปรกติแต่ก็มีผลข้างเคียงและข้อควรระวังอยู่บ้างครับ เพราะช่วงให้นมบุตรนั้นเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษยังไงล่ะครับ คุณแม่อาจจะต้องใช้พลังมากสักหน่อย และ Motherife เชื่อครับ ว่าหากคุณแม่เข้าใจภาวะของตนเองเป็นอย่างดีก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆครับ Motherife ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกท่านที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรนะครับ ติดตามสาระใน ep ถัดไปเร็วๆนี้ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : Yes or No คุณแม่ลูกอ่อน กลับสู่หน้าหลักบทความ

Yes Or No คุณแม่ลูกอ่อน Read More »

พุงหย่อนคล้อยหลังคลอด ทำอย่างไร?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับกลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันเช่นเคยครับ สาระในวันนี้ว่าด้วยเรื่องของปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับว่าที่คุณแม่หลายท่านครับ นั่นคือ ปัญหาน้ำหนักไม่ยอมลด พุงหย่อนคล้อยหลังคลอด วันนี้เรามาทำความเข้าใจภาวะเหล่านี้และทราบวิธีรับมืออย่างเหมาะสมกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.24-น้ำหนักไม่ลด-หลังคลอด-ทำอย่างไร.mp4 พุงหย่อนคล้อยหลังคลอด ทำอย่างไร? ทำไมตอนตั้งครรภ์น้ำหนักตัวแม่ถึงเพิ่มขึ้น?           ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์กันครับ   โดยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ส่วนใหญ่นั้นจะมาจาก น้ำหนักของลูกในท้อง รกในครรภ์ น้ำคร่ำ ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นในร่างกายเพื่อใช้หล่อเลี้ยงลูกในครรภ์ มดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยน้ำหนักตัวและโครงสร้างร่างกายของคุณแม่ยังสามารถช่วยให้คำนวณน้ำหนักของลูกน้อยในครรภ์ได้อีกด้วย โดยเฉลี่ยแล้วนั้นน้ำหนักจะขึ้นอยู่ประมาณที่ 11-16 กก. อยู่ที่ลูกและน้ำหนักของรกอีกเล็กน้อยที่ราวๆ 3-4 กก. เท่านั้น ที่เหลือคือไขมัน และ การบวมน้ำ จากการตั้งครรภ์ครับ โดยไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมของการตามใจปากแต่อย่างใดครับ และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเจ้าตัวเล็กลืมตาดูโลก น้ำหนักจะยังอยู่กับคุณแม่อีกร่วม 10 กก. แต่ในคุณแม่บางคนอาจมีน้ำหนักค้างอยู่ที่ราวๆ 13-15 กก. นั่นเพราะอาจเป็นกลไกการเตรียมพร้อมร่างกายหลังคลอด ซึ่งไขมันที่สะสมระหว่างการตั้งครรภ์ก็คือ “พลังงานที่ถูกสะสม” ไว้ เตรียมการเพื่อใช้สำหรับการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บาดแผลที่เกิดจากการคลอด และที่สำคัญก็คือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั่นเองครับโดยกลไกที่กล่าวไปข้างต้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติครับ เพราะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่อย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่จะทำให้ไขมันมาพอกตามร่างกายมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น แก้ม หน้าอก เต้านม หน้าท้อง สะโพก ต้นขา จึงทำให้คุณแม่อาจจะดูเจ้าเนื้อขึ้นมา และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ผลิตออกมาในช่วงตั้งครรภ์ยังทำให้เกิดการบวมน้ำได้ และยังสะสมอยู่ต่อเนื่องหลังคลอดครับ ซึ่งก็ ปรกติครับ ปัจจัยหลักที่ทำให้คุณแม่ไม่สามาถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายๆนั้นมี 2 ปัจจัยดังนี้ 1.กินเข้ามากกว่าเผาผลาญออก คุณแม่บางท่านอาจกินแบบทบต้นทบดอกเพื่อชดเชยช่วงเวลาระหว่างตั้งครรภ์ที่ต้องควบคุมชนิดอาหาร ปัจจัยนี้เองครับที่ทำให้มีการสะสมพลังงานมากขึ้น รวมถึงการที่ไม่ได้มีการบริหารร่างกายเพื่อเผาผลาญเลย รวมถึงการที่ คุณแม่นั้นเลิกให้นมเร็วเกินไป ยิ่งเลิกเร็วน้ำหนักจะยิ่งพุ่งง่าย นั่นเพราะการให้นมแม่คือวิธีการลดน้ำหนักชั้นดีเลย เนื่องจากร่างกายจะเสียพลังงานไปจากร่างกายอย่างน้อย 500-800 แคลอรี/วัน จากการให้นมนี่แหละครับ อย่างนั้นแล้วส่งต่อคุณประโยชน์จากน้ำนมให้กับเจ้าตัวเล็กยาวนานอีกนิดประกอบการออกกำลังกายเบาๆอีกหน่อย หุ่นเฟิร์มก็จะกลับมาครับ 2.การอดหลับอดนอน ปัจจัยข้อนี้ก็หลีกเลี่ยงได้ยากเหมือนกันครับในหลายๆบ้าน ซึ่งต้องเลี้ยงลูก หรือนาฬิกาชีวิตพัง ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่ไปกระตุ้นความหิวมีมากขึ้นกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่อยากกินอาหารเพิ่มขึ้นและเผาผลาญไม่ทันจนเกิดการสะสมของพลังงานส่วนเกินนั่นเองครับ โดยคุณแม่สามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับการไม่หลับไม่นอนของงลูก เพื่อลดปัจจัยเสียงที่ต้องนอนดึกจากการเลี้ยงลูกได้ใน Motherife EP.4 ครับ ดังนั้นหากไม่อยากเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนหลังมีลูก ควรมีการการควบคุมแคลอรี่ นอนให้พอพัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วิธีลดพุงและความอ้วนหลังคลอด 1.ให้นมลูกต่อเนื่อง 4-6 เดือน นั่นเปรียบเสมือนการใช้พลังงานและดึงไขมันส่วนเกินต่างๆ ตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา มาช่วยผลิตน้ำนม ส่งผลให้น้ำหนักของคุณแม่ลดลงได้เร็วขึ้น 2.ดื่มน้ำสะอาดราวๆ 2-3 ลิตรต่อวัน เพราะร่างกายมักจะขาดน้ำในช่วงที่ให้นมลูก การดื่มน้ำจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆครับ และการดื่มน้ำยังช่วยให้ไม่รู้สึกหิวบ่อยอีกด้วย 3.ออกกำลังกายเบาๆ ในช่วง 3 เดือนแรก โดยใช้การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องแต่ไม่หนัก และหลังจาก 3 เดือนไปแล้วควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ยกเวท เพิ่มกำลังแขนและขา และเพิ่มความเฟิร์ม ซึ่งวิธีการออกำลังกายที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดที่แนะนำคือ Cardio เพราะจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ได้ไวมากขึ้น 4.ทานโปรตีนดี เช่น ปลาเนื้อขาว ปลาแซลมอน ไข่ เนื้อไก่ เนื้อวัวไขมันน้อย เมล็ดธัญพืช เมล็ดถั่ว ควินัว เป็นต้น  เพราะกลุ่มโปรตีนที่ดีจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร จึงทำให้น้ำหนักลดได้ไวขึ้น 5.ต้องระวังการลดความอ้วนด้วยวิธีลดน้ำหนักที่เร็วเกินไป เช่น การจำกัดแคลอรีแบบ Intermittent Fasting หรือ if เพราะอาจส่งผล ให้คุณแม่ขาดอาหาร และส่งผลต่อคุณภาพการรับสารอาหารของทารกด้วยครับ 6.ปรึกษาคุณหมอ ส่วนนี้นั้นก็เพื่อตรวจสมดุลฮอร์โมน หลังคลอด 3 เดือนนั่นเองครับ        โดยสรุปครับ หากร่างกายของคุณแม่เข้าสู่สมดุลใหม่หลังคลอด แผลต่างๆ ค่อยๆ ซ่อมแซมตัวเองไป ฝีเย็บแห้ง มดลูกเข้าอู่ น้ำนมเริ่มไหลออกมาดี และร่างกายเริ่มขับน้ำส่วนเกินที่เกิดขึ้นตอนท้องออกไป ประกอบกับการพักผ่อนที่เพียงพอและการทานอย่างมีวินัย น้ำหนักของคุณแม่ก็จะค่อยๆ ลดลง จนกลับสู่ภาวะปกติได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : พุงหย่อนคล้อยหลังคลอด ทำอย่างไร? กลับสู่หน้าหลักบทความ

พุงหย่อนคล้อยหลังคลอด ทำอย่างไร? Read More »

ลูกกินข้าวยาก ทำอย่างไรดี?

ลูกกินข้าวยาก ทำอย่างไรดี?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆ สำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ เรื่องของลูกไม่ค่อยกินข้าวหรือ ลูกกินข้าวยาก เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ชวนให้หลายๆบ้านหนักใจ และน่ากังวลไม่น้อย เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่กลัวลูกจะตัวเล็กกว่าเพื่อน ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จนส่งผลต่อการเจริญเติบโตตามวัย และอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง ปัญหาเหล่านี้รับมืออย่างไรได้บ้าง วันนี้เรามาแชร์วิธีส่งเสริมการรับประทานอาหารของเด็กๆกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.23-แชร์วิธีรับมือ-เมื่อลูกกินข้าวยาก.mp4 ลูกกินข้าวยากทำอย่างไร ? 1.ทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา การกินอาหารพร้อมครอบครัว โดยธรรมชาติของเด็ก มักชอบเลียนแบบพ่อแม่ ข้อดีตรงนี้เองที่จะเป็นโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ทานอาหารเป็นแบบอย่าง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ลูกอยากอาหารมากขึ้น แถมยังสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นภายในครอบครัวอีกด้วยคร้าบ2.ให้ลูกมีส่วนร่วม การให้ลูกได้มีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆในการทำอาหาร เช่น ให้ลูกลองจับ ช่วยหยิบอาหาร ทำให้เด็กได้สัมผัสกลิ่น รสชาติ และเห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของอาหารก่อนและหลังปรุง ทำให้ลูกอยากรับประทานอาหารที่ตนเองมีส่วนร่วมในการทำมากขึ้นนั่นเองครับ และรวมไปถึงการให้เค้าได้เลือก จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำลวดลายการ์ตูนที่เค้าโปรดปราน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหารนั่นเองคร้าบ3.ต้องสม่ำเสมอในการฝึก ยกตัวอย่างครับ บางวันให้เค้ากินเอง บางวันแม่ป้อนให้ บางวันดุ บางวันใจดี ดังนั้นควรทำความเข้าใจกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆด้วยเช่นกันครับ เช่น หากคุณยายป้อนข้าวให้แต่คุณแม่ให้ลูกกินเองทำให้เด็กๆเกิดความสับสนได้ พฤติกรรมใหม่ที่คาดหวังว่าเค้าจะกินได้เองจึงอาจเกิดขึ้นช้าไปด้วยครับ4.จับเวลาในการกิน เวลาที่ดีที่สุดในการกินอาหาร คือไม่เกิน 30 นาที ถ้าหมดเวลากินข้าวแล้วลูกยังไม่ยอมกินหรือกินได้น้อย ให้เก็บอาหารทันทีและไม่ให้กินขนมก่อนถึงมื้อต่อไป เป็นเป็นการกระตุ้นใหได้รับมื้ออาหารตามกลไกของร่างกายเด็กเองครับ5.ทำอาหารต้องครีเอท: คุณแม่ลองสังเกตดูครับว่า เจ้าตัวเล็กนั้นชอบอาหารประเภทไหน ชอบทานเส้นๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว สปาเกต ตี้ หรือ ข้าวคลุกผักและเนื้อสัตว์ หรือเต้าหู้ ส่วนประกอบอื่นๆคุณแม่สามารถครีเอท ด้วยการใช้พิมพ์กดแครอทเป็นรูปสัตว์ หุงข้าวแบบใส่สีผสมอาหารธรรมชาติช่วยเพิ่มความน่ากินยิ่งขึ้นครับ อีกเรื่องสำคัญคือ ขนาดชิ้นอาหาร เช่นหมู ผัก ลูกชิ้น ไส้กรอก ควรจะทำให้ชิ้นเล็กลงทานง่าย เพื่อที่ลูกจะไม่คายออกมาเมื่อเค้ารู้สึกอึดอัดเวลาเคี้ยวยากๆ นั่นเองคร้าบ 6.จูงใจด้วยปฏิสัมพันธ์ เด็กๆส่วนใหญ่นั้นมักจะชอบฟังนิทาน และเชื่ออย่างจริงใจในสิ่งที่เราเล่าเสมอค่ะ เราจึงสามารถจูงใจลูกด้วยการเล่านิทานสนุกที่แฝงคำสอนให้รู้จักกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ และมีพฤติกรรมการกินที่ดีได้ด้วย ในอีกทางหนึ่งการให้ลูกดูการ์ตูนประกอบอาจเป็นวิธีจูงใจเด็กๆได้มากก็จริงครับ แต่เค้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อมากกว่า จนลืมที่จะสนใจการทานข้าว ในระยะยาวเด็กอาจจะติดเงื่อนไขว่าจะต้องเปิดการ์ตูนไปตลอดเวลากินข้าว เช่นนั้นแล้วเรามาสร้างสุขนิสัยการรับประทานที่ดีจากปฏิสัมพันธ์กับผู้ป้อน เพื่อให้เค้าโฟกัสกับการกินได้ดีขึ้นยิ่งขึ้นดีกว่าคร้าบ 7.ไม่บังคับลูกให้เริ่มกินอาหารที่ไม่คุ้นเคย อาหารที่เด็กๆไม่คุ้นเคย หรือมีกลิ่นฉุน เช่น ผักที่มีกลิ่นมีเสี้ยนมาก ผลไม้ที่กลิ่นแรง หรือเนื้อสัตว์ที่กลิ่นคาว เนื้อเหนียว สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีในการกินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้คุณพ่อคุณแม่จะเชื่อว่าอาหารเหล่านั้นจะมีโภชนาการที่ดีเยี่ยม หากแต่สิ่งสำคัญคือเราต้องการให้ลูกรักที่ทาน ในระยะแรกอาจจะต้องพิถีพิถันในการปรุงเพื่อลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ จนเค้าค่อยๆชินคร้าบ 8.ลองให้ลูกกินอาหารที่ได้รับสารอาหารทดแทนกัน ข้อนี้ตัวอย่างเช่น หากลูกไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวยาก ก็อาจจะให้ลองกินเต้าหู้เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีน ในระหว่างนั้นคุณแม่ลองทำเมนูเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวง่ายขึ้น เพื่อให้ลูกลองกินใหม่ในมื้อต่อไป หรือถ้าลูกกินผักได้น้อย อาจจะให้ลูกกินผลไม้หรือน้ำผลไม้แทน เพื่อให้ร่างกายยังได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เบต้ากลูแคน ฯลฯ        เรื่องของโภชนาการนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเด็กๆครับ แต่นอกเหนือจากการฝึกนิสัยการรับประทานอาหารแล้ว คุณพ่ออาจต้องสังเกตสุขภาพของลูกๆอยู่ตลอดครับ ว่าการที่เค้าแหวะอาหาร มีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยหรือเปล่า เช่นปวดฟัน ปวดท้อง เบื่ออาหารเนื่องจากภาวะของโรค หากเป็นเช่นนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยต่อไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ลูกกินข้าวยาก ทำอย่างไรดี? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกกินข้าวยาก ทำอย่างไรดี? Read More »

ผื่นแพ้หลังคลอด รับมืออย่างไร?

ผื่นแพ้หลังคลอด รับมืออย่างไร?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านคร้าบ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ ปัญหาสุขภาพที่จะมาพูดถึงกันในวันนี้นั้นก็คือ อาการผื่นแพ้ต่างๆ ที่อาจเป็น ผื่นแพ้หลังคลอด ที่มักสร้างความรำคาญใจแก่คุณแม่หลายๆท่านไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ครับ แล้วผื่นเหล่านี้มาจากไหน จะติดสู่ลูกมั๊ย เป็นนานรึเปล่า วันนี้มาไขคำตอบกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.22-เป็นผื่นแพ้ระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอดรับมืออย่างไร.mp4 ผื่นแพ้หลังคลอด รับมืออย่างไร? มารู้จักกลไกการขึ้นของผื่นแพ้กันครับ                 ย้อนไปช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนในร่างกายคุณแม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น รวมถึงฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญอย่าง HCG ที่จะช่วยกระตุ้นให้รังไข่ให้สร้างฮอร์โมนตัวอื่น ๆ ซึ่งการที่ระดับฮอร์โมนต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เอง จึงทำให้คุณแม่บางคนเกิดอาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก และนอกจากอาการแพ้แท้แล้วยังอาจมาพร้อมกับ อาการผื่นแพ้ ผื่นแดง หรือผื่นคล้ายสิวเกิดขึ้นตามร่างกายได้ โดยที่คุณแม่บางท่านอาจจะมีอาการตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ หรือกระทั้งเป็นในช่วงหลังคลอด เนื่องจากเมื่อคลอดลูกแล้วระดับฮอร์โมนที่เคยสูงในช่วงตั้งครรภ์จะลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันแล้วเกิดเป็นอาการแพ้นั่นเองครับ ทำไม่บางคนแพ้บางคนไม่แพ้ ผื่นหลังคลอด ?           เนื่องจากคุณแม่แต่ละคนมีการตอบสนองต่อระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงต่างกัน จึงจะเห็นได้ว่า คุณแม่ท้องบางคนไม่มีอาการแพ้ท้องเลย ในขณะที่บางคนแพ้ท้องหนักมาก เช่นเดียวกันกับ ในช่วงหลังคลอด คุณแม่บางท่านจะมีผื่นแพ้หลังคลอด ในขณะที่คุณแม่อีกหลายท่านไม่มีอาการใดๆเลย ซึ่งในรายที่แพ้ ก็จะปรากฏได้ทั้ง ผื่นแพ้ สิวฝ้า ผื่นกุหลาบ ผื่นคันตามตัว หรือบางคนระดับฮอร์โมนมีผลต่อระดับความดันโลหิตด้วย คุณแม่มีผื่นแพ้ฮอร์โมนเข้าใกล้ลูกได้ไหม ? ในส่วนของผื่นอันเกิดจากควาผิดปกติจากภูมิคุ้มกันนั้น คุณแม่อาจไม่ต้องกังวลที่จะติดต่อสู่ลูกน้อยครับ แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ เมื่อคุณหมออาจพิจารณาให้ยากินแก้แพ้เพื่อรักษาผื่น ยาบางชนิดอาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งหากคุณแม่ตัดสินใจทานยาแก้แพ้ คุณแม่ก็จะไม่สามารถให้นมลูกได้ เพราะสเตียรอยด์จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและอาจทำให้ลูกได้รับยาผ่านทางน้ำนมได้ อีกรณีที่ต้องระวังคือการใช้แก้แพ้ชนิดทาผิว ซึ่งก็อาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์เช่นกัน หากเผลอสัมผัสกับผิวลูกที่บอบบางมาก อาจก่อให้เกิดอาการผิวไหม้ได้ครับ อาการผื่นหลังคลอดเหล่านี้เป็นนานรึเปล่า โดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด ฮอร์โมนจึงกลับสู่สภาพปกติครับ โดยคุณหมอได้แนะ วิธีบรรเทาอาการผื่นแพ้หลังคลอด ไว้ดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำที่ร้อนจัด เพราะน้ำร้อนจะไปชะล้างไขมัน ทำให้ผิวหนังแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ง่าย2.ควรทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำเพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น3.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หากเป็นไปได้อาจดื่มน้ำผลไม้หรือเสริมวิตามินในอาหารร่วมด้วยอาทิเช่น วิตามินซี ซึ่งมีส่วนจะช่วยให้มีสารต้านอนุมูลอิสระและทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นอีกด้วยครับ รู้หรือไม่ลูกน้อยก็เป็นผื่นแพ้ฮอร์โมนได้ รู้หรือไม่ลูกน้อยก็เป็นผื่นแพ้ฮอร์โมนได้ กรณีของเด็กนั้น สามารถเกิดอาการผื่นแพ้หลังคลอดได้เช่นกันได้เช่นกัน โดยมักพบในทารกเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาจเพราะทารกเพศหญิงมีลักษณะของฮอร์โมนคล้ายคุณแม่มากกว่าทารกเพศชาย ทารกเพศหญิงจึงเกิดอาการแพ้ฮอร์โมนได้น้อยกว่า อาการแพ้นี้เกิดจากตอนที่อยู่ในครรภ์ทารกได้รับฮอร์โมนต่างๆ จากคุณแม่อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อคลอดออกมาแล้ว ฮอร์โมนที่เคยได้รับลดระดับลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทารกบางคนตอบสนองต่อการลดระดับของฮอร์โมนอย่างรวดเร็วโดยมีอาการผื่นแพ้ขึ้นมา ซึ่งผื่นนี้อาจจะเป็นผื่นแดง ผดผื่น หรืออาจเป็นตุ่มแดงคล้ายสิวก็ได้ครับ นอกจากอาการข้างต้นแล้วหรือมีอาการผิดปกติที่รุนแรงการพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผื่นแพ้หลังคลอด รับมืออย่างไร? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผื่นแพ้หลังคลอด รับมืออย่างไร? Read More »

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รับมืออย่างไร?

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รับมืออย่างไร?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้จัดได้ว่าเป็นสาระที่มีความสำคัญกับผู้ที่กำลังจะเป็นคุณแม่มากๆเลยครับ เพราะเป็นเรื่องราวของ ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งเป็นอาการป่วยนะครับไม่ใช่เรื่องของอุปนิสัยของคุณแม่แต่อย่างใด ซึ่งหากไม่สามารถรับมือได้ทันก็อาจทวีความรุนแรงจนส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณแม่รวมไปถึงลูกน้อยได้ครับ ว่าแล้วก็ไปทำความเข้าใจเรื่องของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดกันครับ โดยผู้เชี่ยวชาญได้จำแนกการป่วยซึมเศร้าหลังคลอดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ครับ โดยผู้เชี่ยวชาญได้จำแนกการป่วยซึมเศร้าหลังคลอดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.29-รับมือภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอย่างไรไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า.mp41. ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด (postpartum blues หรือ baby blues)2. โรคซึมเศร้าหลังคลอด (postpartum depression) และ3. โรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis) 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ 1.ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด (postpartum blues หรือ baby blues)             ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เกิดจากการที่ยังปรับตัวหลังคลอดไม่ค่อยได้ มีความกังวลเรื่องลูก โดยทั่วไปมักมีอาการอยู่ในช่วงสัปดาห์แรก และสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือ อาการซึมเศร้าหลังคลอด หรือ อารมณ์เศร้าหลังคลอด (Postpartum blues, Maternity blues) เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดของคุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอด คือประมาณ 50-70%โดยคุณแม่จะมีอาการซึมเศร้าเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ฮอร์โมนที่ลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนตรวจไม่พบในกระแสเลือด เชื่อว่าอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ อารมณ์เศร้าของแต่ละคนจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่มักจะปรากฏให้เห็นในช่วง 2-5 วันแรกหลังคลอด (ภาวะซึมเศร้ามักจะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด หลังจากนั้นอาจจะพบได้บ้างประปราย บางทีอาจจะพบหลังคลอดไปแล้วหลาย ๆ เดือนก็ได้ ซึ่งสาเหตุก็เนื่องมาจากสภาพแวดล้อม คนรอบข้าง และปัญหาต่าง ๆ ที่คุณแม่ยังแก้ไม่ตก) และจะเป็นอยู่นานประมาณ 7-10 วัน แต่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่พบว่าคุณแม่จะมีอารมณ์เศร้าหลังคลอดใหม่ ๆ โดยคุณแม่อาจจะรู้สึกสับสนแปรปรวน มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล จิตใจอ่อนไหว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารแต่ไม่ถึงกับกินอะไรไม่ได้เลย มีอาการเศร้า เหงา และอาจถึงกับร้องไห้ออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีมากขึ้นหากคุณแม่ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกน้อยเพียงลำพังในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ คุณแม่จะมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างกับลูกน้อย แต่ไม่นานต่อมากลับพบว่าตนเองรู้สึกเศร้าสร้อย สับสน และเป็นห่วงเป็นกังวลเรื่องการทำหน้าที่แม่ เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่ได้บ้าง หรือกลัวว่าจะเลี้ยงได้ไม่ดีบ้าง คุณแม่ควรใจเย็น ๆ ให้เวลากับตนเองสักนิด เพราะการเป็นแม่ที่ดีนั้นต้องอดทนเรียนรู้ และต้องอาศัยทั้งเวลาและความตั้งใจ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเนรมิตให้เป็นยอดคุณแม่ได้ในทันที การที่คุณแม่และคุณพ่อได้เรียนรู้ว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดนั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง พยายามทำความเข้าใจ และหาทางแก้ปัญหาหรือเตรียมการไว้ตั้งแต่ก่อนคลอด พอหลังคลอดแล้วคุณแม่ก็จะเอาชนะมันได้ ทำให้คุณแม่มีกำลังใจ มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส และสนุกสนานกับการเลี้ยงดูลูกน้อยแนวทางการรักษา : สำหรับกลุ่มภาวะซึมเศร้าหลังคลอดจะมุ่งเน้นไปที่การดูแลในเรื่องของการปรับสภาพจิตใจเป็นหลัก ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพราะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสภาพจิตใจด้วย เช่นการให้เวลาคุณแม่ได้พักผ่อน ไม่ปล่อยให้คุณแม่เลี้ยงลูกตามลำพังเป็นเวลานานๆ การทานอาหารที่มีเซโรโทนินหรือสารสื่อประสาทลดความเครียด การได้รับกำลังใจจากบุคคลรอบข้างด้วยการรับฟังอย่างตั้งใจไม่ตัดสิน 2. โรคซึมเศร้าหลังคลอด (postpartum depression)         เป็นอาการต่อเนื่องจากภาวะซึมเศร้าในข้อแรกนั่นเอง พบได้ประมาณ 10-15% ของคุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาการโดยรวมจะเหมือนกับกลุ่มแรกทั้งหมด แต่จะมีระดับความรุนแรงมากขึ้นมาอยู่ในระดับปานกลาง เริ่มตั้งแต่ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ไม่ลุกจากเตียง ร้องไห้จนเลี้ยงลูกไม่ได้ เครียด กังวล เบื่อหน่าย แต่กลุ่มนี้นั้นจะยังไม่ถึงกับหลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริงครับ บางครั้งอาจผุดภาพอยากทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายลูกแต่ยังสามารถรับมือไม่ลงมือทำร้ายลูกได้ครับ สำหรับระยะอาการนี้มีตั้งแต่ 2 สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือนเลยทีเดียวครับ และจะต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่สามารถหายเองได้ และที่สำคัญครับ คุณแม่จำเป็นต้องมีคนเข้ามาช่วยเลี้ยงลูก เพื่อลดความตึงเครียดจากการที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพังที่อาจพัฒนาไปสู่การเป็น “โรคจิตหลังคลอด”ได้ครับ เพราะอย่างนั้นแล้วการมีใครสักคนมาช่วยเป็นคู่คิดร่วมตัดสินใจก็สามารถช่วยคุณแม่ได้มากครับ  และเจ้าโรคซึมเศร้าหลังคลอดนี้เป็นโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนครับ แล้วอาการของโรคจะหายไปได้ในไม่ช้า แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จะซับซ้อนและต้องดูแลรักษานานขึ้นและยากขึ้นนั่นเองครับ 3. โรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis) มักจะเกิดในช่วงหลังคลอด 1-4 วัน ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัดว่าภาวะโรคจิตหลังคลอดเกิดจากอะไร แต่มีแนวโน้มว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนครั้งใหญ่หลังคลอดอาจเป็นตัวกระตุ้น  โดยผู้ป่วยมักมีอาการฉุนเฉียว ร้องไห้ง่าย คึกคัก คล้ายอาการของโรคไบโพลาร์ หูแว่ว ประสาทหลอน บางครั้งก็ได้ยินเสียงสั่งให้ฆ่าลูก ซึ่งแสดงได้ถึงการไม่ได้อยู่กับโลกของความเป็นจริงครับ คนไข้กลุ่มนี้จะมีอาการหวาดกลัวมาก นอนไม่ได้ น้ำหนักลดลงมาก ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะไม่สามารถหายเองได้ อีกทั้งยังมีความอันตรายต่อตัวเองและลูก โดยหากจะเข้าข่ายอาการกลุ่มโรคจิตหลังคลอด จะต้องผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วครับ ไม่ใช่ใครก็เป็นกันได้ง่ายๆ ซึ่งคุณหมอจะดูจาก มีประวัติโรคทางจิตเวช มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวช มีประวัติการใช้ยาเสพติด การแสดงสัญญาณบ่งชี้การฆ่าตัวตายหรือทำร้ายลูก ซึ่งแนวทางการรักษานอกจากจิตบำบัดแล้ว คนไข้จะได้รับการรักษาโดยจะใช้ยาลดอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์มั่นคงขึ้น และลดอาการโรคจิตลง หากผู้ป่วยยังไม่ตอบสนองต่อการรักษาก็อาจใช้การรักษาวิธีอื่น ๆ ต่อไปครับ ดูแลอย่างไร ? หากคุณแม่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด 1.พูดคุยกับคุณแม่คนอื่นๆ เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆ 2.เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับลูกในบทบาทคุณแม่ครั้งแรก 3.ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับคุณแม่เท่ากับที่มีให้กับทารก 4.สามี ที่คอยสนับสนุน ให้กำลังใจ และไม่ตำหนิ 5.มีเวลาส่วนตัวให้กับตนเอง ได้ทบทวนวิธีการจัดการอารมณ์ 6.และมีเวลาส่วนตัว อย่างน้อยวันละ 1 – 2 ชม. 7.พักผ่อนอย่างน้อยกลางคืน 8 ชั่วโมง และกลางวันอีก 1 ชั่วโมง 8.หาเวลาออกกำลังกาย หรือ กิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย 9.บันทึกภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นช่วงหลังคลอดเป็นระยะ 10.หากคุณแม่มีอาการเศร้า หดหู่ ติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รับมืออย่างไร? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รับมืออย่างไร? Read More »

ผมร่วงหลังคลอด รับมืออย่างไร?

ผมร่วงหลังคลอด รับมืออย่างไร?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องของหนึ่งในปัญหาที่มักสร้างความกังวัลใจให้แกคุณแม่หลังคลอด นั่นก็คือ ผมร่วงหลังคลอด โดยวันนี้เรามาทำความเข้าใจและรับมือกับภาวะนี้ไปพร้อมๆกันครับ เพื่อให้คุณแม่นั้นกลับมามั่นใจในสุขภาพของตัวเองอย่างเต็มร้อยอีกครั้งครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.21-ผมร่วงหลังคลอดปัญหากวนใจที่รับมือได้.mp4 ผมร่วงหลังคลอด รับมืออย่างไร? อาการผมร่วงหลังคลอด เกิดจากอะไร ? อาการผมร่วงหลังคลอดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกาย การขาดสารอาหารจากการตั้งครรภ์ และอาจจะมีภาวะความเครียดร่วมด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมของคนเรานั้น สามารถร่วงเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว โดยในระหว่างที่ตั้งครรภ์ร่างกายคุณแม่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น ทำให้ผมร่วงลดลง แต่หลังจากที่คลอดแล้ว ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะลดลงด้วย ผมที่เคยหยุดร่วงไป ก็กลับสู่การร่วงโรยเช่นเดิม ดังนั้นที่ผมร่วงเยอะๆ หลังคลอดนั้น ก็เป็นเพราะผมหยุดร่วงไปนานตลอดการตั้งครรภ์ พอคลอดแล้วจึงอาจรู้สึกว่าผมร่วงมากกว่าปกตินั่นเอง อาการผมร่วงแบบนี้ เป็นอันตรายหรือไม่ ? โดยอาการผมร่วงหลังคลอดที่สามารถพบได้ประมาณ 40-50% ของคุณแม่หลังคลอดนั้น ถือว่าเป็นภาวะที่ไม่อันตรายครับเนื่องจากโดยปกติแล้ว ผมที่ร่วงของคุณแม่หลังคลอดเป็นเพียงผมส่วนน้อยราวๆ 5-15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และอาการนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน โดยส่วนใหญ่อาการผมร่วงจะเริ่มแสดงอาการหลังคลอดบุตรประมาณ 2-3 เดือน และเมื่อ เข้าสู่ เดือนที่ 3-6 ผมจะค่อยๆหยุดร่วง จนกระทั่ง ผมยาวเต็มที่ในระยะ 12 – 18 เดือนหลังคลอดครับ 3.พลังงานและการคุมน้ำหนัก วิธีการดูแลเส้นผมและหนังศรีษะสำหรับคุณแม่ ? 1.เริ่มจากการหวีผมอย่างเบามือ เนื่องจากการหวีที่แรงเกินไปจะทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายขึ้น และไม่ควรหวีผมบ่อยเกินไป เพราะการหวีผมบ่อยๆ จะทำให้เส้นผมที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วเปราะขาดได้ง่ายกว่าเดิม2.ต้องระวังการใช้ความร้อนกับเส้นผม เช่น การเป่าผมด้วยไดร์ การหนีบหรือดัดผมด้วยความร้อน เพราะจะทำให้เส้นผมบางลงยิ่งกว่าเดิม ควรปล่อยผมให้แห้งตามธรรมชาติหรือใช้ผ้าช่วยซับให้แห้งเร็วขึ้นแทน3.หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นการย้อมสีผม การใช้เจล หรือมูสแต่งผม รวมถึงงดใช้ครีมนวดผมที่เข้มข้นเกินไปครับ4. เสริมโภชนการบำรุงเส้นผม ไม่ว่าจะเป็น ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ ปลา ผักใบเขียว หรืออาหารที่ให้สารอาหารในกลุ่มวิตามิน วิตามินเอ บี ซี ดี อี โปรตีน ธาตุเหล็กและสังกะสี ซึ่งสารอาหารและวิตามินเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่เป็นส่วนช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ขาดหลุดร่วงง่าย อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสร้างเส้นผมใหม่ ส่งผลให้ผมดูหนาแน่น ไม่แลดูบางจนเห็นหนังศีรษะคร้าบ5.สำหรับคุณแม่บางท่าน อาจใช้วิธีตัดผมให้สั้นลง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมัดผม เพราะการมัดนั้น เหมือนเป็นการดึงผมให้ตึงขึ้น ยิ่งโคนผมที่อ่อนแออยู่แล้ว ก็จะทำให้ผมร่วงง่ายขึ้นกว่าเดิมนั่นเองครับ         สำหรับเคสที่นอกเหนือจากอาการข้างต้น หากคุณแม่พบว่าตนเองมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ หรือเป็นเฉพาะบางส่วนของศีรษะ หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังคลอดครบ 1 ปี แล้ว ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาการผมที่ร่วงหลังคลอดนั้น จะเกิดขึ้นทั่วบริเวณศีรษะครับ หากพบว่าร่วงเป็นหย่อมๆ หรือมีอาการร่วงรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาการผมร่วงหลังคลอดได้             โดยสรุปครับ อาการผมร่วงหลังคลอด “เกิดจากการที่ฮอร์โมนเพศหญิงลดลงหลังคลอดแบบทันที ” ประกอบกับปัจจัยด้าน “ความเครียด” และ “โภชนาการอาหาร” ครับ โดยปรกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย และสามารถฟื้นฟูได้ภายใน 1 ปีนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผมร่วงหลังคลอด รับมืออย่างไร? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผมร่วงหลังคลอด รับมืออย่างไร? Read More »

คนท้อง ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรให้ถูกต้อง

คนท้อง ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรให้ถูกต้อง

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับกลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เป็นประโยชน์สำหรับว่าที่คุณแม่ทุกท่านครับ ในหัวข้อ คนท้อง ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรให้ถูกต้อง ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายที่ มดลูกของคุณแม่จะขยาย ทำให้หน้าท้องยื่นออกมา ไหล่ห่อ หลังแอ่น ขาดสมดุลตามธรรมชาติ ทำให้คุณแม่มีอาการปวดหลัง ไหล่ ขา และเท้า หากคุณแม่ปล่อยทิ้งไว้อาจมีอาการมากขึ้น วันนนี้ Motherife ยินดีมากๆครับ ที่จะได้แบ่งปันสาระดีๆในการ ยืน เดิน นั่ง นอนอย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาวะที่ดีของคุณแม่ครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.28-คนท้อง-ยืน-เดิน-นั่ง-นอน-อย่างไรให้ถูกต้อง.mp4 อริยาบถในชีวิตประจำวันที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ท่านั่งคนท้อง ท่านั่งที่เหมาะสมสำหรับคนท้องคือ ท่านั่งหลังตรง ไหล่และสะโพกชิดเก้าอี้ วางแขนบนตัก หรือที่วางแขน เท้าวางบนพื้นได้พอดี หากมีโอกาสลองนั่งยกเท้าพาดบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ให้ปลายเท้าสูงระดับลำตัว เพื่อช่วยให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจได้สะดวก ช่วยลดอาการเท้าบวมในระยะใกล้คลอดได้ดี คุณแม่ท้องควรหลีกเลี่ยงการนั่งท่าใดท่าหนึ่งนานๆ การนั่งพับเพียบ นั่งชันเข่า หรือนั่งยองๆ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เท้าเย็น เกิดเส้นเลือดขอด และเป็นตะคริวได้ง่าย คุณแม่ท้องควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีระดับความสูงพอดี ไม่สูงเกินไป หรือเตี้ยเกินไป หากเก้าอี้สูงเกินไปจะทำให้เท้าคุณแม่ลอยเหนือพื้น ควรหาเก้าอี้เตี้ยๆ มาวางเท้า แต่หากเก้าอี้ที่คุณแม่นั่งเตี้ยเกินไป ขาก็จะพับลงไปมาก ควรหาเบาะแน่นๆ มารองนั่งจะช่วยให้คุณแม่สบายขึ้น นอกจากการนั่งแล้ว การลุกเดินก็จะช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต โดยท่าลุกขึ้นจากเก้าอี้สำหรับคนท้อง ควรเลื่อนเก้าอี้ออกเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือช่วยพยุงตัวและลุกขึ้นช้าๆครับ ท่ายืนคนท้อง สำหรับท่ายืน คุณแม่ควรยืนตัวตรง เท้าแยกจากกันเล็กน้อย ทิ้งน้ำหนักที่กลางเท้าและส้นเท้า ปล่อยไหล่ตามสบาย ท่ายืนคนท้องที่ถูกต้องจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคง สำหรับท่าอื่นๆด้วย เช่น ท่ายืน ท่านั่ง ท่านอน ที่ถูกต้องต่อไป หากคุณแม่ยังไม่มั่นใจว่ายืนถูกท่าหรือไม่ ให้ลองยืนหันหลังชนผนังหรือพิงกำแพง ให้ส้นเท้าทั้งสองข้างห่างจากผนังประมาณ2-3 นิ้ว พิงศีรษะ ไหล่ สะโพกให้ชิดผนัง แขนห้อยข้างตัว แล้วพยายามกดทุกๆ ส่วนให้แนบติดกับผนัง รวมถึงกดส่วนโค้งที่คอและหลังที่แอ่นให้ราบชิดผนังด้วย นิ่งสักครู่ แล้วค่อยยกแขนทั้งสองข้างเหยียดขึ้นไปแตะผนังไว้ให้ต้นแขนชิดใบหู สักครู่ก็ลดลงมาที่ระดับไหล่ช้าๆ แล้วค่อยๆ ลดลงสู่ข้างลำตัวตามเดิม ทำซ้ำหลายๆ ครั้งจะช่วยยืดกล้ามเนื้ออก ลดอาการปวดหลังได้ และยังทำให้คุณแม่มีบุคลิกภาพที่ดูดี สง่างามอีกด้วย และสำหรับคุณแม่ที่ต้องยืนทำงานเป็นเวลานานๆ ย่อมอาการปวดเมื่อย เนื่องจากเลือดไหลกลับจากน่อง และเท้าช้าลง ทำให้เท้าบวม เป็นตะคริว และเส้นเลือดขอด ควรขยับตัวเปลี่ยนท่าบ่อยๆ ลองก้าวขาไปข้างหน้า หรือแยกขาเล็กน้อย โยกตัวไปมาเพื่อถ่ายน้ำหนักตัวสลับกัน หรืออาจยืนเขย่งเท้าบ้าง ยืนบนส้นเท้าบ้าง ทำบ่อยๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณขาและน่องแข็งแรง เลือดไหลเวียนสะดวก เป็นตะคริวน้อยลง เส้นเลือดขอดน้อยลง ท่าเดินคนท้อง ท่าเดินที่เหมาะสมของคนท้อง ขณะออกเดินให้ยืดหน้าท้องขึ้น ไหล่ตรง เพื่อดึงกระดูกหน้าอกและไหล่ให้ขยายออก แล้วค่อยก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า การเดินขึ้นบันได ควรวางเท้าให้เต็มขั้นบันได้ ใช้กล้ามเนื้อขายกตัวในขณะที่ตัวตั้งตรง ไม่เอนไปข้างหน้า คุณแม่ท้องควรเก็บรองเท้าส้นสูงคู่โปรดเอาไว้ก่อน แล้วหารองเท้าส้นเตี้ยเก๋ๆ มาสวมใส่แทน เพื่อการก้าวเดินที่มั่นคง ปลอดภัย ไม่หกล้มง่ายซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ และควรเลือกรองเท้าที่นุ่มสบาย สามารถรองรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้ ท่านอนคนท้อง คุณแม่ท้องมักจะประสบปัญหาการนอน นอนท่าไหนก็ไม่สบาย อึดอัด ปวดหลัง ยิ่งจะนอนคว่ำก็กลัวจะทับลูกในท้อง แล้วท่าไหนล่ะที่สบายสำหรับแม่ท้องและปลอดภัยต่อลูกน้อยด้วย ท่านอนที่ดีที่สุดคือท่าที่นอนแล้วสบายที่สุด คุณแม่ท้องแรกหลายท่านกังวลว่า คนท้องนอนคว่ำได้รึเปล่า โดยท่านอนคว่ำเป็นท่าที่แม่ท้องมักจะหลีกเลี่ยง เนื่องจากกลัวทับลูกในท้อง ซึ่งที่จริงแล้วคุณแม่ตั้งท้องสามารถนอนคว่ำได้ โดยวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณแม่สบายขึ้นเมื่อนอนคว่ำคือ ใช้หมอนรองบริเวณต้นขา และคอ ศีรษะตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง ท่านอนที่คุณแม่ตั้งท้องควรหลีกเลี่ยงคือท่านอนหงาย เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ท่านอนหงายทำให้น้ำหนักของมดลูกกดลงบนเส้นเลือดใหญ่ในช่องท้อง โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดไม่สบาย ความดันโลหิตต่ำ อาจมีอาการหน้ามืด จะเป็นลม จึงควรหลีกเลี่ยงท่านี้ แต่หากคุณแม่นอนแล้วสบายก็สามารถนอนท่านี้ได้ อาจเพิ่มหมอนหนุนศีรษะ และควรหาหมอนมารองปลายเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้หน้าท้องหย่อนตัวและหลังราบกับพื้น ช่วยลดอาการปวดหลัง และเลือดที่คั่งตามเท้าสามารถไหลกลับสู่หัวใจได้สะดวกขึ้น ช่วยลดอาการเท้าบวมในช่วงใกล้คลอดได้ แล้วการนอนตะแคงล่ะ? ท่านอนตะแคงเป็นท่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่นอนสบายที่สุด น้ำหนักของท้องส่วนหนึ่งตกลงที่พื้น ทำให้ไม่มีแรงกดบนเส้นเลือดใหญ่ในช่องท้อง ป้องกันเลือดคั่งบริเวณขาส่วนล่างได้ดี หากใช้หมอนรองไว้ระหว่างขาทั้งสองข้างบริเวณใต้เข่า หรือนอนกอดหมอนข้างจะช่วยให้คุณแม่นอนสบายและนอนได้นาน ท่านอนตะแคงซ้ายจะลดแรงกดดันเส้นเลือดใหญ่ได้ดีกว่าท่านอนตะแคงขวา สิ่งที่ต้องระวังในการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ เมื่อรีดผ้า : คุณแม่ควรปรับโต๊ะรีดผ้าให้อยู่ในระดับสูงพอดีที่จะไม่ต้องก้มตัว เพื่อป้องกันการปวดหลัง หากต้องทำงานหนัก หรือใช้แรงงาน : หากหลีกเลี่ยงได้ควรเปลี่ยนไปทำงานที่เบาลง ควรเลี่ยงงานกะดึก ลดโอที เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น หากทำงานที่ใช้สายตามาก : ควรหยุดพัก 15 นาทีทุก 2 ชั่วโมงเพื่อพักผ่อนสายตาและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หากต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี เอ็กซเรย์ หรือสารกัมมันตภาพรังสี : ควรงดทำงานจนกว่าจะคลอดเพราะอาจเป็นอันตรายต่อลูกในท้อง หากต้องยกของ : ควรเลี่ยงการก้มโค้งตัวลงไปหยิบของจากพื้น ควรย่อเข่าลงไปหยิบของ โดยที่หลัง ไหล่ และลำตัวยังตรงอยู่จะปลอดภัยกว่า แต่หากจำเป็นต้องหิ้วควรเฉลี่ยน้ำหนักใช้มือทั้งสองข้างช่วยหิ้ว ไม่ควรหิ้วของหนักๆ ด้วยมือเดียว เพราะจะทำให้ตัวเอียง และปวดหลัง            นอกจากนั้นแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันเลยอีกเรื่องหนึ่งเลย คือการสัมผัสจากคุณแม่ ซึ่งจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของลูกในครรภ์ได้เป็นอย่างดี โดยจากการศึกษาการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์พบว่า จะขยับแขน หัว หรือปาก เมื่อคุณแม่สัมผัสบริเวณท้อง เพื่อให้คุณแม่รับรู้สัญญาณเชิงบวกด้วนสุขภาพ และเชื่อว่าจะสร้างกำลังใจให้คุณแม่ได้มากทีเดียวครับ ติดตามสาระดีๆได้ที่ช่องทางนี้ หรือช่องทาง www.worldmedsolution.com กลับสู่หน้าหลักบทความ

คนท้อง ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างไรให้ถูกต้อง Read More »

เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ

เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับกลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับวันนี้ Motherife จะชวนให้คุณพ่อคุณมามาลองสังเกตกันดูครับว่า เด็กๆนั้นเริ่มมีสิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมเลียนแบบหรือยัง เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ เป็นเรื่องที่ควรได้รับการสังเกตและใส่ใจไม่แพ้พฤติกรรมด้านอื่นๆเลยครับ เพราะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันกับนิสัยและความคิดรวมถึงการใช้ชีวิตของเด็กเมื่อเค้าโตขึ้น หากไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้ครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.27-เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ.mp4 เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ พฤติกรรมการเลียนแบบเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เด็กในช่วงอายุ 2 – 6 ปี จะเรียนรู้การสร้างบุคลิกของตนโดยเริ่มจากการเลียนแบบพฤติกรรมคนรอบข้าง คุณพ่อคุณแม่ ผู้ใหญ่  เพื่อนหรือคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงออก วิธีการพูด และการกระทำโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือสิ่งใดไม่เหมาะสมเพราะเด็กยังขาดความสามารถในแยกแยะ เข้าใจธรรมชาติของการเลียนแบบของเด็กๆ            พฤติกรรมการเลียนแบบเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ โดยทำการเลียนแบบทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีปะปนกันเป็นไปตามสถานเหตุการณ์ที่เด็กพบเจอ ซึ่งเด็กในวัยตั้งแต่ 2 – 6 ปี นั้นมีความสามารถจดจำพฤติกรรมต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีพฤติกรรมไม่ดี ควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมให้เด็กพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น พฤติกรรมบางอย่างหากเด็กพบเห็นเป็นประจำจะบ่มเพาะจนกลายเป็นนิสัย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขี้นมา พฤติกรรมเลียนแบบที่น่ากังวล พฤติกรรมก้าวร้าว :  พฤติกรรมนี้มักเลียนแบบมาจากครอบครัวที่มีความรุนแรงทั้งการทะเลาะ หรือการดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่อกัน หากเด็กเห็นจะเกิดการซึมซับและมองว่าวิธีดังกล่าวสามารถใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้  พฤติกรรมการสนใจสื่อที่มีความรุนแรง :  เมื่อเด็กมีอายุน้อย และเข้าถึงสื่อออนไลน์เร็วเกินไป โดยผู้ปกครองต้องการเพียงให้เด็กอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้นึกถึงผลที่ตามมา ทำให้เด็กรับสื่อที่มีความรุนแรงมากเกินไปและแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งไหนไม่ควรทำ รวมถึงความใจร้อนไม่สามารถรอคอยเวลาได้ พฤติกรรมการลักขโมย : เด็กเลียนแบบผู้ปกครองหรือคนในบ้านที่หยิบสิ่งของผู้อื่นมาใช้แล้วไม่คืน การกระทำเช่นนี้มีผลให้เด็กมองว่าเป็นเรื่องปกติด้วยเช่นกัน พฤติกรรมการโกหก : เกิดจากการล้อเลียนหรือหยอกล้อ แกล้งคนรอบตัวไม่ใช่แค่คนในครอบครัวแต่รวมถึงสังคมเพื่อนด้วย หากไม่มีการอธิบายให้เด็กฟังว่าทำไมถึงโกหก เด็กจะเข้าใจว่าการพูดโกหกไม่ใช่สิ่งที่ผิด และอาจติดเป็นนิสัยได้  พฤติกรรมการใช้สิ่งเสพติด : หากเด็กได้เห็นพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ใช้สารเสพติด หรือสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถส่งต่อพฤติกรรมมาสู่เด็กได้ทำให้เด็กเลียนแบบและส่งผลเสียทำให้ติดสารเสพติดในเวลาต่อมา การรับมือพฤติกรรมการเลียนแบบ การสั่งสอนอย่างมีคุณภาพจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเขาตั้งแต่เด็กครับ เช่น แสดงความรักต่อกันให้เด็กเห็น เมื่อเด็กทำตามเป็นประจำจนเป็นนิสัย เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะแสดงความรักต่อคนรอบข้างโดยเป็นการแสดงออกมาแบบธรรมชาติ หรือการเคารพความคิดเห็นต่างของผู้คนอื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็กทราบว่าถึงแม้เราจะมีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเราต่างเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกันก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อในครอบครัวเคารพและรับฟังความคิดเห็นกัน พฤติกรรมจะถูกปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้ว่าทุก ๆ สังคมจะมีความเห็นต่างอยู่เสมอ สำคัญอยู่ที่ต้องเรียนรู้ เข้าใจ ยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล แนวทางการรับมือพฤติกรรมการเลียนแบบในแบบต่างๆ ลูกพูดหรือจำคำหยาบมาใช้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะตกใจ เมื่อจู่ๆ ลูกวัยอนุบาลเผลอพูดคำสบถ หรือคำหยาบออกมา ไม่ว่าจะรู้ความหมายหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: อธิบายว่าทำไมลูกถึงไม่ควรใช้คำพูดเหล่านั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้ยินว่าลูกพูดคำหยาบ ไม่จำเป็นต้องดุหรือทำให้ลูกตกใจ แต่ให้ย่อตัวลงในระดับสายตาของลูก อธิบายว่าทำไมลูกถึงไม่ควรใช้คำพูดเหล่านั้น และหากเป็นคำที่ลูกเคยได้ยินจากคุณพ่อคุณแม่ ก็อย่าลืมยอมรับผิด และบอกลูกว่าคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถแสดงตัวอย่างที่ดีได้ด้วยการกล่าวขอโทษ และบอกว่าจะพยายามแก้ไขและปรับปรุงตัวเองเช่นกัน ลูกเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ร้องกรี๊ดเมื่อไม่พอใจ กระทืบเท้า ต่อยกำแพง หรือตะโกนเสียงดังๆ เพื่อแสดงความโกรธ หรือใช้สีหน้าล้อเลียนและยั่วยุ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ: ปรับความเข้าใจและสอนให้ลูกสะท้อนความคิด หากพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูก มาจากคุณพ่อคุณแม่โดยตรง ขอให้คุณพ่อคุณแม่มีสติในการแสดงออกต่อหน้าลูกมากขึ้น และสัญญากับลูกว่าครอบครัวเราจะไม่มีใครทำเช่นนั้นอีก อีกวิธีหนึ่ง คือ สอนลูกสะท้อนความคิด ด้วยการเปลี่ยนคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ เช่น เมื่อโกรธ แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะตะคอกใส่ลูกว่า จะบ้าตายอยู่แล้ว! ให้ตั้งสติแล้วสะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาด้วยคำพูดที่นุ่มนวล เช่น ตอนนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดมากแล้ว อาจจะต้องขอเวลาไปอยู่คนเดียวก่อน เพื่อแนะนำและเป็นตัวอย่างให้ลูกพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา แทนการแสดงออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่น่ารักนั่นเองครับ ลูกเลียนแบบในลักษณะโตเกินวัย พฤติกรรมเลียนแบบบุคคลรอบข้างที่ไม่สมวัยเช่น การทาลิปสติก การใส่ส้นสูง การแต่งกายที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากห้ามไม่ให้ลูกเลียนแบบคนอื่น เพราะบางพฤติกรรมก็สามารถค่อยหายไปได้ตามธรรมชาติ แต่ควรควรชวนลูกพูดคุยถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกอยากเดินตามรอยรุ่นพี่คนนั้น รวมถึง พูดให้ลูกมั่นใจว่า คนเราสามารถชอบอะไรเหมือนกันได้ แต่ก็อย่าลืมว่าอาจจะมีอาจจะมีสิ่งที่ลูกอยากทำในแบบของตัวเองด้วยเช่นกัน และเมื่อลูกพร้อมที่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะสนับสนุนลูกด้วยความเต็มใจ พฤติกรรมการเลียนแบบศิลปินคนดังต่างๆ อาจแสดงให้เห็นถึงความสนใจในตัวเด็กเอง ในเรื่องของพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ ที่อาจส่งผลดีมากกว่าผลเสีย แต่ส่วนมากคุณพ่อคุณแม่มักเป็นกังวลเรื่องของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนดังเหล่านั้น ป้องกันและแก้ไขได้โดยการพยายามชี้แจงเด็กทีละน้อยให้เด็กซึมซับมากที่สุด และรู้จักแยกแยะพฤติกรรมด้านบวกด้านลบในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องพยายามใกล้ชิดเด็กให้มากๆ ทุกช่วงวัย โดยในแต่ละช่วงวัยก็จะมีการแสดงออกถึงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันออกไป หากเป็นเด็กเล็กที่ต้องการความรักความอบอุ่น พ่อแม่ก็ควรให้ในส่วนนี้มากๆ แต่ถ้าหากเด็กเริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ในระดับหนึ่ง การแสดงออกถึงความใกล้ชิดก็จะเปลี่ยนเป็นการพูดคุยแทนเป็นโอกาสที่ดีที่จะพูดคุยรับฟังปัญหาและให้คำปรึกากับเค้าและสั่งสอนไปในตัว โดยควรรับฟังเด็กๆด้วยความจริงใจ ไม่ควรกังวลมากเกินไปจนเผลอซักไซร้หรือควบคุมเด็กมากนักจนเด็กรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจที่จะเปิดใจคุยกับพ่อแม่ในเรื่องต่างๆ จนนำไปส่ความไม่ไว้วางใจผู้ปกครองจนเป็นปัญหาสัมพันธภาพขึ้นมาครับ  ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ กลับสู่หน้าหลักบทความ

เมื่อลูกเริ่มเลียนแบบ Read More »

ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก ผิดปกติรึเปล่า?

ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก ผิดปกติรึเปล่า?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Mothrife Tips กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เรามาคลี่คลายข้อสงสัยจากคุณแม่กันครับว่าทำไมระหว่างที่ลูกนอนหรือลูกเข้าเต้าอยู่ ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก แม้ว่าห้องจะไม่ได้ร้อนอะไร วันนี้มาไขคำตอบไปเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.20-คุณแม่สงสัยลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมากผิดปกติรึเปล่า.mp4 ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก ผิดปกติรึเปล่า? ไขคำตอบเรื่อง ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก โดยสาเหตุที่เบบี๋มักจะมีเหงื่ออกบริเวณศรีษะนั้น เกิดจาก กลไกการระบายความร้อนออกจากร่างกาย ของเด็กๆครับ เนื่องจากเด็กๆนั้นต้องการพลังงานสูงมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบกับน้ำหนัก โดยพลังงานจากสารอาหารต่างๆจะถูกนำมาใช้เพื่อการสร้างเนื้อเยื่อ สร้างเซลล์สมอง สร้างเซลล์กล้ามเนื้อ และ อวัยวะต่างๆ ด้วยการนี้เบบี๋จึงต้องการใช้พลังงานสูงมากๆ ขยายความอีกนิดนึงครับ โดยกล้ามเนื้อหัวใจในเด็กทารกนั้นเป็นเซลล์กล้ามเนื้อชนิดที่ล้าง่าย จึงต้องการพลังงานสูง ก็จะสังเกตได้ว่าชีพจรของทารกนั้นจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กแรกเกิดชีพจรจะเต้น 140 ครั้งต่อนาที และลดลงปรับอัตราการเต้นลง เมื่อเค้าเติบโตขึ้น จนเป็น 60-80 ครั้งต่อนาทีแบบผู้ใหญ่เราครับ ด้วยกลไกทั้งหมดเหล่านี้จึงสรุปได้ว่าความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญพลังงานก็ที่มีมาก ร่างกายก็จะการระบายความร้อนออกมในรูปของเหงื่อมากนั่นเองครับ ดังนั้นการที่เห็นว่าทารกนอนดูดนมเฉยๆ ทำไมถึงมีเหงื่อเยอะจัง จึง “ไม่ผิดปกติ” ครับ แต่..ก็มีบางกรณี ที่อาจมีความผิดปกติของร่างกายที่เกิดจากโรคและพันธุกรรม เช่น โรคหัวใจ ,โรคระบบต่อมไร้ท่อ หรือ ในทารกบางรายจะมีภาวะที่เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมากปฐมภูมิ ซึ่งเกิดจากสาเหตุอะไรไม่แน่ชัด แต่ร่างกายมีระดับการทำงานของต่อมเหงื่อมากกว่าปกติ ทั้งๆที่จำนวนต่อมเหงื่อมีเท่ากัน มักจะเกิดบริเวณ ฝ่ามือ หากโตขึ้นยังมีอาการมาก คุณหมออาจใช้วิธีการผ่าตัด แก้ไข ครับ โดยที่กล่าวมานี้จะพบเป็นส่วนน้อยนะครับ หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกน้อยนั้นมีเหงือออกมา นอกเหนือจากบริเวณศรีษะ สามารถขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยงชาญเพื่อหาสาเหตุหรือสัญญาณโรคได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก ผิดปกติรึเปล่า? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกมีเหงื่อออกที่ศรีษะมาก ผิดปกติรึเปล่า? Read More »

จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการ

จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการ

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกันกับสาระสุขภาพดีๆ กับ Motherife Tips เช่นเคยครับ หัวข้อในวันนี้น่าสนใจทีเดียวครับเพราะเป็น จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองของเด็กๆสามารถนำไปประยุกต์เพื่อเป็นแนวทางในการสื่อสารกับลูก เพื่อการเติบโตอย่างมั่นใจรู้จักและเข้าใจตนเอง พัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตได้อย่างแน่นอนครับ จะมีข้อใดบ้างนั้นติดตามไปพร้อมๆกันคร้าบบบบ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.19-เติบโตอย่างมั่นใจด้วยปรัชญาการเลี้ยงลูก-10-ประการ.mp4 จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการ จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการที่สามารถประยุกต์ใช้อย่างได้ผล 1. ให้ความอบอุ่นปลอดภัยระหว่างกัน สิ่งสำคัญคือความรักความอบอุ่น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขครับ ความเอาใจใส่ที่เพียงพอให้กับลูก เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย โดยการรับฟังลูกและยอมเปิดใจในความชอบหรือความคิดเห็นของลูก โดยไม่ตัดสินหรือตั้งอยู่บนความคาดหวังหรืออคติของเอง สิ่งที่ได้รับนั้นก็คือ จะทำให้ลูก ไว้วางใจเรามากขึ้นได้นั้นเองครับ 2. ค้นหาจุดแข็งจุดอ่อนของลูกให้ได้ คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มสังเกตได้ว่าลูกของคุณพ่อคุณแม่นั้น เริ่มจะแสดงความสนจที่หลากหลายและมีกิจกรรมไม่น้อยที่เค้าแสดงความถนัดออกมา และบางกิจกรรมที่เค้าอาจทำแปปแล้วก็ล้มเลิกไป และสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เด็กๆยังคงสนุกกับการเรียนรู้คือ เค้ารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เมื่อคุณพ่อคุณแม่คอยซัพพอร์ต หรือ คอยโน้มน้าวลูกเมื่อในยามรู้สึกผิดหวังหรือล้มเหลว การสังเกตและบันทึกสิ่งที่เป็นจุดอ่อนจุดแข็งของลูก จะช่วยให้การจัดวางกิจกรรมที่เค้าชอบทำนั้น ยาวนานมีประสิทธิภาพ และอีกทางหนึ่งคือเค้าจะไม่ด้อยค่าความล้มเหลว และรู้จักตนเองมากยิ่งขึ้น 3. การพูดคุยสื่อสารกันระหว่างพ่อแม่และลูก แน่นอนว่าการพูดคุยกันเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัย และบรรเทาหรือคลี่คลายปัญหาภายในใจได้ แถมยังทำให้ลูกเปิดใจกับเราได้มากขึ้น โดยระหว่างการสื่อสารนั้น ท่าทีที่ดูตั้งใจฟัง มีการสบตา และพยักหน้าระหว่างฟังลูก คือสิ่งที่สำคัญมากๆ อีกทั้งการพูดกระตุ้นเช่น “เป็นอย่างไรต่อ หรือ ลูกคิดอย่างไรกับสิ่งนี้” ก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ลูกเผยความในใจ ท้ายบทสนทนาหากมีเรื่องที่ลูกอาจเข้าใจผิดหรือปฏิบัติผิดไปสามารถให้คำแนะนำ และวิจารณ์ด้วยเหตุผลโดยไม่ใช่อคติ และติดสิน โดยใช้คำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้เขาหาทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเองเสียก่อน 4. การควบคุมอารมณ์ อารมณ์ด้านลบเป็นเหมือนเชื้อร้ายที่ส่งผลต่อผู้รับรู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน คุณพ่อคุณแม่เองก็อาจมีช่วงเวลาที่ไม่ดีได้ จนเผลอส่งต่ออารมณ์ที่รุนแรงสู่ลูกๆ คำกล่าวที่ว่า ลูกคือเงาสะท้อนของตัวเราจึงไม่ไกลนัก การแสวงหาเทคนิคเพื่อหยุดยั้งอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว หงุดหงิด เช่นนับ 1-10 ในใจ หรือเดินอออกไปเพื่อสงบสติอารมณ์ เป็นการให้เวลาตัวเองได้ทบทวนภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อนในความเป็นผู้ใหญ่ หากสามารถควบคุมอารมณ์ได้ผู้ปกครองเองก็สามารถเข้าใจความเป็นเด็กได้ และสามารถสอนให้เค้าตระหนักถึงผลของการแสดงอารมณ์ได้นั่นเองครับ 5. ตั้งกติกาในบ้าน ในยุคที่เด็กอาจจะเข้าใจความหมายของคำว่า มาตรฐาน การตั้งกติกาภายในบ้านกับลูกจึงต้องมมีมาตรฐานไปด้วย การตั้งกติกาจึงเป็นการตกลงกันกับสมาชิกในบ้านทุกคน ไม่ให้เกิดความสับสน คุณพ่อพูดอย่างหรือคุณแม่พูดอีกอย่าง เพื่อลดช่องว่างความห่างเหินภายในครอบครัว และสร้างพื้รฐานการเคารพกติกาทางสังให้กับลูกได้อย่างเห็นภาพครับ 6. อย่าเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบลูกของเรากับลูกของคนอื่น สร้างบาดแผลทางใจไม่น้อย แม้แต่ในจิตใจของผู้เป็นพ่อแม่บางท่านก็อาจเคยผ่านสถานการของการเปรียบเทียบมาแล้วเช่นกัน หลักคิดคืออย่ามองลูกของเราว่าเขาด้อยหรือไม่ดีไปกว่าใคร สิ่งที่เราสามารถบอกกับลูกได้นั่นก็คือ “ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกันแม้จะมีอะไรเหมือนๆกันก็ตามครับ” เพื่อให้เค้าไม่ด้อยค่าในสิ่งที่เค้ากำลังพยายาม และพัฒนาตนเองในทิศทางที่เหมาะสมต่อไปครับ 7. มีทางเลือกที่มากกว่าเสมอ เด็ก ๆ จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ที่เค้าจะสามารถแสดงความคิดเห็หรือกำหนดทางเลือกให้กับตนเองได้ และ ตัวอย่างเช่น “กลับไปถึงบ้านแล้ว จะอาบน้ำก่อนหรือทำการบ้านก่อนค่ะ หรือมีสิ่งที่อยากทำนอกจากนี้มั๊ย” โดยตัวเลือกจะไม่จำกัดอยู่ที่ A หรือ B เพื่อให้ลูกสามารถเลือกช้อยส์อื่นอย่าง C D ในแบบของเค้าเข้ามา เมื่อมีตัวเลือกมากๆคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถฝึกให้เค้าจัดลำดับความสำคัญในกิจวัตรของตนเองได้อย่างเป็นอัตโนมัติมากขึ้นนั่นเองคร้าบ 8. ให้ลูกเรียนรู้ความความผิดพลาดและความผิดหวัง ความผิดพลาดและความผิดหวังมีภาพสะท้อนเป็นความเสียใจของลูก แต่จะดีไม่น้อยหากเค้าสามารถเข้าใจได้ถึงสภาวะนั้นและยอมรับว่าทุกสิ่งสามารถสำเร็จและล้มเหลวได้ เช่นลูกโป่งแตกซ่อมไม่ได้แต่เราสามารถเก็บออมเงินซื้อมาใหม่ได้ หรือน้ำเป็นเป็นน้ำแข็งได้และละลายกลับเป็นน้ำได้ ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้เค้าเข้าใจวัตรถจักของการมีอยู่ และการย้อนกลับ ว่าสิ่งใดเริ่มต้นใหม่ได้และสิ่งใดสิ้นสุดเพื่อให้เค้าสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้ในอนาคตอีกด้วยครับ 9. ความกลัวสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างสำหรับลูก ลูกสามารถจะเติบโตไปได้อีกหลายแบบโดยที่พ่อแม่อาจไม่รู้ตัว ถ้าความกลัวสร้างระเบียบวินัยให้ลูก คุณพ่อคุณแม่อาจจะพอใจ แต่ก็อาจทิ้งร่องรอยบาดแผลทางจิตใจไว้ให้เด็ก ๆ ขณะที่บางทีความกลัวอาจส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ การสื่อสารสาร หรือฝังลึกเป็นบุคลิกภาพ การให้เค้ารู้จักความเมตตา การแบ่งปันและการเห็นอกเห็นใจจะสร้างผลลัพธ์ทางบวกต่อจิตใจมากกว่าครับ 10. สอนให้ลูกแสดงออกความรู้สึกออกมาอย่างที่เขารู้สึก ไม่จำเป็นต้องเขินอาย คุณพ่อคุณแม่อาจรับมือกับการผันแปรทางอารมณ์ของลูกได้ลำบากโดยเฉพาะกับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อาจไม่มีประสบการณืในการดูแลเด็กๆ การปลอบประโลมด้วยคำว่า “อย่าร้องเลยลูก” หรือ “หยุดร้องนะลูก” เพื่อหยุดพฤติกรรมจึงถูกนำมาใช้ แต่ในอีกวิธีหนึ่ง การปล่อยให้เขาได้มีโอกาสแสดงความรู้สึกของเขาออกมาทำให้เค้ารับรู้สภาวะของตนเองได้ชัดเจน ว่าเค้ากำลังรู้สึกอะไร และนิยามอารมเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องเมื่อเค้าโตขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเก็บงำเพื่อหลบหลีกการตำหนิติเตียนจากผู้อื่น ให้เค้าค่อยๆปรับตัวและจัดการสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ถูกจุดเหมือนการแยกผ้าเข้าสู่ลิ้นชักต่างๆ ของตู้เสื้อผ้านั่นเอง            และนี่คือ 10 วิธีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้กับลูกๆครับ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีเทคนิคการเลี้ยงลูกดีๆ สามารถแชร์เทคนิคดีๆเหล่านั้นแก่สมาชิคทุกท่านได้ครบนับเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีมากๆครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการ กลับสู่หน้าหลักบทความ

จิตวิทยาการเลี้ยงลูก 10 ประการ Read More »