sadanon

เยลลี่วิตามินซี เหตุใดจึงได้รับความนิยม ?

            เยลลี่วิตามินซี เหตุใดจึงได้รับความนิยม ? คำถามนี้อาจจะมีคำตอบหลายทิศทางเพราะบางท่านก็อาจจะชอบทานอาหารเสริมในรูปแบบอื่นๆมากกว่า แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาหารเสริมเยลลี่วิตามิน ซี หรือแม้แต่เยลลี่ที่มีสารอาหารอื่นๆมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน นั่นก็เพราะตอบโจทย์ในด้านของความสะดวก พกพางาย ทานง่าย ในด้านรูปลักษณ์ก็มีการออกแบบได้อย่างสร้างสรรค์น่ารับประทาน แถมเยลลี่เองก็ได้รับการพัฒนาให้สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการให้ครบถ้วนในหนึ่งเดียวได้ดียิ่งขึ้น เรียกว่าเด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี ส่วนเรื่องคุณภาพและราคาก็มีตัวเลือกให้เลือกหลายแบรนด์ อีกด้วย ความลับของ เยลลี่ วิตามิน ที่เป็นมากกว่าขนมขบเคี้ยว          หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ชอบความหวานอร่อย เคี้ยวหนึบ ของเยลลี่ แล้วมักถูกเตือนว่ากินแล้วไม่ดี ไม่เห็นมีประโยชน์ สบายใจได้ครับ อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปเพราะเยลลี่ที่ได้มาตรฐานที่เราบริโภคกันนั้นมีคุณประโยชน์สุดอัศจรรย์แฝงอยู่ดังนี้ 1.ช่วยเพิ่มคุณภาพในการนอนหลับ มีการศึกษาความสัมพันธ์ของไกลซีนกับคุณภาพการนอนหลับ ด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานไกลซีนปริมาณ 3 กรัมก่อนนอน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการนอนหลับที่ดีขึ้น เช่น ลดระยะเวลาในการผล็อยหลับ ช่วยให้นอนหลับสนิทขึ้น ลดอาการง่วงนอนในเวลากลางวัน ช่วยให้สมองผ่อนคลาย บรรเทาอาการจากโรคนอนไม่หลับ และลดอุณหภูมิในร่างกายลงซึ่งมีผลต่อการนอนหลับที่ดีขึ้น 2.ช่วยควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เจลาตินอาจเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้ป่วยที่ต้องควบคุมจำนวนแคลอรีและสารอาหาร อย่างผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยโรคอ้วน เนื่องจากเจลาตินมีแคลอรีที่ต่ำและมีโปรตีนสูง ช่วยให้อิ่มนาน ทั้งยังช่วยลดความอยากอาหารได้อีกด้วยจากการศึกษาที่ให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจากโรคอ้วนรับประทานเจลาตินติดต่อกันเป็นว่า 3 เดือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการอักเสบที่ลดลงและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากน้ำหนักที่ลดลงที่ส่งผลให้อาการของโรคอ้วนบรรเทาลงตามไปด้วย 3.ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ข้อนี้ถือว่าน่าสนใจทีเดียว โดยมีงานวิจัยหลายงานที่พบความเชื่อมโยงในการใช้เจลาตินลดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง อย่างโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเม็ดเลือดขาว จากการทดลองเจลาตินจากผิวหนังของหมูในหลอดทดลอง พบว่าเนื้องอกและเซลล์มะเร็งนั้นมีการเติบโตที่ช้าลง นอกจากนี้ กลูตามีนยังอาจช่วยบรรเทาผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดได้อีก                 ข้อมูลเหล่านี้มีการบ่งชี้ถึงประโยชน์ที่น่าทึ่งของเยลลี่ วิตามิน ซี อย่างไรก็ดีเรื่องของคุณประโยชน์ยังมีตัวแปรอีกมากมายที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเยลลี่ ทางที่ดีเวลาเลือกซื้อเลือกหา ท่านสามารถสังเกตมาตรฐานการผลิตบนซองและเลือกโภชนาการให้ตรงต่อความต้องการของท่านจะดีที่สุด ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เยลลี่วิตามินซี เหตุใดจึงได้รับความนิยม ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

เยลลี่วิตามินซี เหตุใดจึงได้รับความนิยม ? Read More »

พรีไบโอติก สำคัญอย่างไร?

           พรีไบโอติก สำคัญอย่างไร? พรีไบโอติก (prepiotic) คือ อาหารที่ร่างกายของเราไม่สามารถย่อย รวมถึงไม่ถูกดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหาร ทั้งในส่วนของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่จะถูกย่อยด้วย”แบคทีเรีย”ในลำไส้ใหญ่ โดยจะกระตุ้นการทำงานและส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์โปรไบโอติก (probiotic) มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จัดเป็นอาหารในกลุ่ม functional food นั่นก็หมายความว่า “พรีไบโอติก” ทำงานร่วมกับ “โพรไบโอติก” นั่นเอง พริไบโอติก มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?         การทำงานร่วมกันของพรีไบโอติกและโพรไบโอติก เรียกว่า ซินไบโอติก (synbiotics) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดีกระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ภายในทางเดินอาหารให้เหมาะสม ประโยชน์ที่ได้ก็คืิอ ช่วยป้องกันและลดอาการของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร ช่วยย่อยสลายคอเลสเตอรอล และยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลผ่านผนังลำไส้ ช่วยการดูดซึมอาหารในลำไส้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการท้องผูก ช่วยเพิ่มความชื้นของอุจจาระ ทำให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในระบบย่อยอาหาร สามารถผลิตวิตามิน vitamin B1, vitamin B2, vitamin B6, vitamin B12, nicotinic acid และ folic acid ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะภูมิแพ้ เสริมสร้างการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันได้เรียกได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในกระบวนการปรับสมดุลลำไส้ที่เป็นพันธมิตรที่ขาดไม่ได้ของ โพรไบโอติก เลยทีเดียว ในชีวิตประจำวันเราสามารถพบ พรีไบโอติก ได้จากแหล่งวัตถุดิบใดบ้าง? ที่พบได้ง่ายๆเลยในครัวหรือสวนครัวของท่าน ได้แก่ กระเทียม หอมหัวใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง หรือผลไม้ เช่น กล้วย แอปเปิล และเมล็ดธัญพืชบางชนิด นอกจากนั้นยังสามารถเลือกซื้อเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่มี พรีไบโอติก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำนม อาหารทารก โยเกิร์ต พาสต้า ขนมอบ ซอส อาหารเช้าธัญพืช (ซีเรียล) ซุป ขนมขบเคี้ยวแบบต่างๆ เป็นต้น ข้อมูลอ้างอิงจาก ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหาร https://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0781/prebiotic   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : พรีไบโอติก สำคัญอย่างไร? กลับสู่หน้าหลักบทความ

พรีไบโอติก สำคัญอย่างไร? Read More »

น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา

น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา น้ำมันปลา (Fish oil) สำหรับน้ำมันปลานั้นสกัดมาจากส่วนต่าง ๆ ของปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาเฮอร์ริง ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน หรือปลาทะเลน้ำลึกอื่น ๆ น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) น้ำมันตับปลาสกัดมาจากตับของปลาค็อด ตามชื่อของมัน (Cod liver oil) เรียกได้ว่าน้ำมันตับปลาก็คือ น้ำมันปลาชนิดหนึ่งนั่นเอง น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา มีสารอาหารสำคัญอะไรบ้าง         ทั้งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาถือเป็นอาหารเสริมที่มีให้สารอาหารสำคัญอย่าง กรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด omega-3 ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ ได้แก่ Decosahexanoic acid (DHA) และ Eicosapentanoic acid (EPA) ความแตกต่างสิ่งที่ต่างกัน คือ น้ำมันตับปลาจะมี วิตามิน A และ D เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย ในขณะที่น้ำมันปลาจะไม่มีวิตามินทั้งสองชนิดเป็นส่วนประกอบ สัดส่วนของ DHA และ EPAน้ำมันปลามีกรดไขมัน DHA และ EPA อยู่ถึง 30% แบ่งเป็น DHA 12%และEPA 18% อีก 70% เป็นไขมันอื่น ๆ ขณะที่น้ำมันตับปลานั้นมี EPA และ DHA ในปริมาณที่น้อยกว่า การเลือกทาน1.หากต้องการโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง ควรเลือกรับประทาน“น้ำมันปลา”2.หากต้องการประโยชน์จากวิตามิน A และ D ก็ควรเลือกรับประทาน“น้ำมันตับปลา”แทน ข้อมูลที่น่าสนใจในการรับประทาน น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลาปริมาณ : องค์การอนามัยโลกได้ระบุปริมาณที่ควรรับประทาน EPA+DHA ในปริมาณ 0.2-0.5 กรัมต่อวัน (200-500 มิลิกรัมต่อวัน) สำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดี แต่ไม่แนะนำในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือมีภาวะเสี่ยงของโรคหัวใจ ทานตอนไหน : น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน เพราะระบบย่อยจะทำงานได้ดี และสามารถดูดซึมโอเมก้า 3 ได้ดียิ่งขึ้น ประโยชน์ : 1.ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในกระแสเลือด ป้องกันการเกิดคราบพลัก (Plaque) ซึ่งเป็นการสะสมของไขมันและแคลเซียมในหลอดเลือดแดง จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ2.ลดระดับความดันโลหิต3.ลดอาการปวดตามข้อจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์4.ลดการอักเสบเรื้อรังและความกังวลจากการอักเสบ5.เสริมสร้างมวลกระดูก วิตามิน D ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรง6.ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้น ด้วยวิตามิน A ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา กลับสู่หน้าหลักบทความ

น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา Read More »

ทานปิ้งย่างอย่างไร ไกลมะเร็ง ?

              ทานปิ้งย่าง อย่างไร ไกลมะเร็ง ? อาหารปิ้งย่างเป็นเมนูที่นิยมรับประทานกันอย่างมากสำหรับคนไทยแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆสำหรับมื้อเย็นก็ว่าได้ แน่นอนว่านอกจากความอร่อยแล้วเรายังได้รับสารอาหารที่หลากหลายจากวัตถุดิบในมื้อปิ้งย่างอย่างล้นเหลือ แต่หากบริโภคอย่างต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดภัยแฝงเร้นต่อสุขภาพอย่างมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นต้น โดยสารก่อมะเร็งที่มักจะพบในมื้อปิ้งย่าง มีดังนี้1.สารไนโตรซามีน (nitrosamines) พบในปลาหมึกย่าง ปลาทะเลย่าง และในเนื้อสัตว์ที่ใส่สารกันบูด เช่น แหนม ไส้กรอก เบคอน แฮม ที่มีสีแดงผิดปกติ ทำให้เสี่ยงเป็นสารก่อมะเร็งได้ ส่งผลให้เสี่ยงมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร2.สารพัยโรลัยเซต (Pyrolysates) พบมากในส่วนที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่าง ซึ่งสารกลุ่มนี้บางชนิดมีฤทธิ์ร้ายแรงทางพันธุกรรมมากกว่าสารอะฟลาทอกซิน ตั้งแต่ 6-100 เท่า3.สารพีเอเอช PAHs หรือสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PolycyclicAromatic Hydrocarbons) เป็นสารเริ่มต้นของสารกลายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่เกิดในควันไฟ ไอเสียของเครื่องยนต์ ควันบุหรี่ และเตาเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมสารพิษทั้ง 3 ชนิดนี้ จะพบในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่างของเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเยอะ เช่น หมูย่างติดมัน เนื้อย่างติดมัน ไก่ย่างส่วนติดมัน ขณะปิ้งย่าง ไขมันหรือน้ำมันจะหยดไปบนเตาไฟ ทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพีเอเอช ลอยขึ้นมาพร้อมเขม่าควันเกาะที่บริเวณผิวของอาหาร สารกลุ่มนี้จะมีมากในบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารปิ้งย่าง หากรับประทานเข้าไปเป็นประจำจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งตับ ปัจจัยใดบ้างที่เสี่ยงให้เกิดการก่อมะเร็ง การใช้ความร้อนในการปรุงสูงยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง มีการศึกษาพบว่าอาหารที่ถูกปรุงสุกโดยให้ความร้อนสัมผัสโดยตรงกับอาหาร ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า PAHs ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นเมื่อไขมันในเนื้อสัตว์หยดลงไปโดนถ่าน แล้วเกิดควันที่เป็นสารก่อมะเร็งลอยกลับมาเกาะอยู่บนเนื้อสัตว์ หากทานเข้าไปมากๆ หรือทานบ่อยๆ ก็จะสะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งสารชนิดนี้คือสารชนิดเดียวกันกับที่พบในควันท่อไอเสียรถยนต์ หรือควันบุหรี่ นั่นเอง เนื้อสัตว์ไขมันยิ่งสูง “ยิ่งเสี่ยง” แทบปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป้าหมายหลักในการไปทานปิ้งย่างนั้น ก็คือ เนื้อหมู เนื้อวัวสไลด์ แบบไขมันฉ่ำละลายในปาก หรือแม้แต่มันหมูที่ถูกประกบด้วยหนังหมูย่างกรุบกรอบ ความอร่อยจนยากจะห้ามใจเหล่านี้นี่แหละที่เป็นสาเหตุของความเสี่ยงโรคมะเร็ง เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงจะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการก่อตัวของมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ รสชาติแสนอร่อยที่มาพร้อมกับ “โซเดียม” ที่มากเกินพอดี เนื้อสัตว์ที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องปรุงมาอย่างเข้มข้นถึงรสชาติ นอกจากความอร่อยแล้ว…ก็คงหนีไม่พ้นปริมาณโซเดียมที่ค่อนข้างสูง โดยอาจมาจากซอสปรุงรส หรือผงชูรส รวมไปถึง “น้ำจิ้ม” ที่เรียกได้ว่ามีโซเดียมสูงไม่แพ้กัน ซึ่งปริมาณโซเดียมที่สะสมอยู่ในร่างกายไม่เพียงแค่ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตอย่างที่หลายคนรู้กันดี แต่ยังเสี่ยงโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร ได้เหมือนกัน ทานปลาก็เจอสารก่อมะเร็งได้ แม้ว่าการทานเนื้อแดงที่มีไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงมะเร็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าการกินปลาทะเลย่างจะไม่เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะในปลาทะเลย่าง หรือปลาหมึกย่าง จะมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า “สารไนโตรซามีน” แฝงตัวอยู่ รวมไปถึง “เบคอน” เมนูสุดโปรดของใครหลายคน หรือแฮม ไส้กรอก อาหารเหล่านี้ล้วนมีสารก่อมะเร็ง ที่มีชื่อว่า สารไนเตรต เจือปนอยู่ด้วย วิธีลดความเสี่ยงในการรับสารก่อมะเร็งเมื่อต้องทานปิ้งย่าง ขั้นที่ 1 หั่นเนื้อสัตว์ให้บาง ยิ่งเนื้อสัตว์บาง จะยิ่งช่วยลดระยะเวลาในการปิ้งย่างลงไป ทำให้เกิด HCAs น้อยลงตามไปด้วย ขั้นที่ 2 เปลี่ยนประเภทเนื้อสัตว์ โดยเน้นไปที่ปลาและอาหารทะเลแทน เพราะอาหารเหล่านี้ใช้เวลาในการปรุงไม่นาน นอกจากนี้อาหารทะเลที่มีเปลือกจะช่วยป้องกันไม่ให้ไฟสัมผัสกับเนื้อโดยตรงด้วย ขั้นที่ 3 ตัดส่วนที่เป็นไขมันออก ดังที่กล่าวไปว่าไขมันทำให้เกิดควันและสาร PAHs ดังนั้นการตัดส่วนที่เป็นไขมันออกไปบ้าง จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ลง แถมยังช่วยให้ได้รับไขมันอิ่มตัวน้อยลงอีกต่างหาก ขั้นที่ 4 หมักเนื้อก่อน การหมักด้วยกรด เช่น น้ำสับปะรด ยางมะละกอ หรือน้ำมะนาว จะช่วยเคลือบผิวของเนื้อสัตว์ทำให้ความร้อนจากไฟไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง แถมยังเป็นการเพิ่มความนุ่มชุ่มลิ้นให้กับอาหารอีกด้วย ขั้นที่ 5 ลดระยะเวลาที่ใช้ในการปิ้งย่าง ก่อนจะนำไปปิ้งบนเตาหรือย่างบนกระทะ ควรนำเนื้อสัตว์ไปอุ่นด้วยไมโครเวฟเพื่อให้สุกระดับหนึ่งก่อนจะดีกว่า ขั้นที่ 6 ปรุงกับสมุนไพร สารต้านอนุมูลอิสระในสมุนไพรช่วยลดการเกิด HCAs ลงไปได้ ครั้งหน้าลองทำเป็นเมนูหมูย่างสมุนไพรก็ฟังดูไม่เลวเลยจริงมั้ยครับ ขั้นตอนที่ 7 พลิกเนืื้อสัตว์บ่อย ๆ การพลิกเนื้อสัตว์กลับด้านไปมาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เกิด HCAs น้อยกว่าการย่างให้เสร็จทีละด้าน ขั้นที่ 8 เลี่ยงการสูดควัน อาจจะดูควบคุมยากสักหน่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้เลือกร้านปิ้งย่างที่มีระบบจัดการควันที่ดี หรือหากทำอาหารเองที่บ้าน ก็ควรมีการติดตั้งเครื่องดูดควันหรือพัดลมระบายอากาศในครัว เพื่อลดความเสี่ยงจากการสูดควันที่มี PAHs ให้น้อยที่สุด Tip : คลอโรฟิลล์ในผักใบเขียวดูดซึมสารก่อมะเร็งได้จริงหรือ ? คำตอบคือใช่ กลไกคือด้วยขนาดโครงสร้างที่ใหญ่ของคลอโรฟิลล์และไม่ได้ถูกย่อยสลายในร่างกาย คลอโรฟิลล์ก็จับดูดซึมสารก่อมะเร็งและขับออกมาจากการขับถ่าย แต่ที่หลายท่านอาจไม่ทราบคือจริงๆแล้วไม่ว่าเราจะทานผักผลไม้ชนิดใดก็สามารถลดการสะสมสารก่อมะเร็งได้ หรือง่ายๆก็คือ เวลาทานปิ้งย่าง ควรรับประทานผักควบคู่กันด้วยนั่นเองเพราะนอกจากจะลดการรับสารก่อมะเร็งได้บางส่วนแล้วยังมีใยอาหารช่วยในการขับถ่ายและมีสารอาหาร วิตามินต่างๆ ที่ช่วยให้ร่างการนำไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด Tip2 : ผักย่างเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ ? หลายท่านสงสัยว่า ผักย่างเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะผักไม่มีครีเอทีนโปรตีนที่สามารถเปลี่ยนเป็นเฮเทอโรไซคลิคเอมีนและไม่มีไขมันที่สามารถหยดลงบนถ่านได้ ดังนั้นเพิ่มมันฝรั่งพริกแดงเหลืองส้มและเขียวทั้งหมดบวบหอมหัวใหญ่ (อุดมไปด้วย quercetin), เห็ดและผักอื่น ๆ ที่คุณชอบลงไปในเตาย่าง คุณอาจใช้ตะแกรงย่างหรือวิธีใดก็ได้ที่คุณต้องการ อย่าลืมเครื่องเทศ หลายคนลืมว่าเครื่องเทศที่เราเพิ่มเข้าไปในอาหารของเราสามารถต่อต้านมะเร็งและดีต่อสุขภาพ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานปิ้งย่าง อย่างไร ไกลมะเร็ง ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานปิ้งย่างอย่างไร ไกลมะเร็ง ? Read More »

เป็นเบาหวาน กินแบบไหนดี ?

             เป็นเบาหวาน กินแบบไหนดี ? เบาหวาน คือ โรคที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ โดยเกิดจากความผิดปกติของการใช้น้ำตาล ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทำให้มีระดับน้ำตาลสูงขึ้นเมื่อเป็นแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตา โรคของระบบประสาท รวมถึงโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย แม้ว่าโรคนี้จะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลไม่ให้สูงเกินไปหรือควบคุมลงมาสู่ระดับของคนปกติได้หากรู้จักดูแลตนเองและมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ สัญญาณเบาหวานอย่านิ่งนอนใจ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืนหิวน้ำบ่อยหิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลดผิวแห้งเป็นแผลแล้วหายยากตาพร่ามัวชาบริเวณปลายมือปลายเท้าหากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น อย่ารอช้า ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ชนิดของเบาหวาน โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากการขาดอินซูลิน เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถหลั่งอินซูลินได้เลย (อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำรงชีวิต) เบาหวานชนิดนี้มักพบในเด็กและผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เบาหวานชนิดที่ 2 พบมากในคนส่วนใหญ่ เกิดจากการที่เซลล์ของร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดีหรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายเหมือนขาดอินซูลินไประดับหนึ่ง ร่างกายต้องทดแทนโดยการสร้างอินซูลินออกมามากขึ้น จนตับอ่อนทำงานมากขึ้นจนทำงานไม่ไหวถ้าไม่ช่วยแก้ไข นอกจากนี้ตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ยังสร้างอินซูลินได้ไม่มากเท่าคนปกติด้วย จึงมีระดับอินซูลินที่ไม่พอเพียงแก่ความต้องการ สาเหตุของภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ พันธุกรรม ความอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย ดังนั้น หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ร่วมกับมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากขึ้น เบาหวานชนิดที่ 3 เป็นเบาหวานชนิดที่มีสาเหตุชัดเจน เช่นโรคตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนถูกตัด โรคที่มีเหล็กสะสมมากเกินไปในตับจนทำให้ตับเสียหาย การรับประทานยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ การได้รับสารเคมี ความผิดปกติของฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต เบาหวานชนิดที่ 4 เป็นเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดในผู้ที่ไม่มีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อนตั้งครรภ์ เมื่อคลอดแล้วเบาหวานก็จะหายไป แต่คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นเบาหวานได้อีกในอนาคต การวินิจฉัยเบาหวาน             วิธีที่จะทำให้ทราบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นเบาหวานหรือไม่ แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากงดอาหาร ถ้าปกติระดับน้ำตาลจะน้อยกว่า 100 มก./ดล. ถ้าอยู่ระหว่าง 100-125 มก./ดล. ถือเป็นภาวะที่มีความเสี่ยง แต่ยังไม่เป็นเบาหวาน หรือบางครั้งเราจะเรียกภาวะนี้ว่าเป็นเบาหวานแฝง แต่ถ้าเกิน 126 มก./ดล. จะจัดว่าเป็นเบาหวาน            ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจค่าน้ำตาลหลังรับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ถ้าร่างกายเอาน้ำตาลไปใช้ได้ดี ค่าน้ำตาลควรน้อยกว่า 140 มก./ดล. แต่ถ้าเกิน 200 มก./ดล. จะจัดว่าเป็นเบาหวาน หากอยู่ระหว่าง 140-199 มก./ดล. จะอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงแต่ยังไม่เป็นเบาหวาน หรือจะเรียกว่าเป็นเบาหวานแฝงก็ได้เช่นกัน           นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งเป็นค่าที่ใช้บอกระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ถ้าค่า HbA1c สูงแสดงว่าที่ผ่านมา 3 เดือนมีระดับน้ำตาลสูง แม้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติก็ตาม ทั้งนี้ค่า HbA1c ปกติจะอยู่ที่ 4.3-5.6% ถ้ามีค่าอยู่ระหว่าง 5.7-6.4% ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้ในอนาคตหรือเป็นเบาหวานแฝงได้ ถ้ามีค่าตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไปแสดงว่าเป็นเบาหวาน อย่างไรก็ตามการจะใช้ค่า HbA1c มาตัดสินว่าเป็นเบาหวานหรือไม่เป็นนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับชัดเจนเพราะการตรวจ HbA1c ยังไม่ได้มาตรฐานในการตรวจบางวิธี            ดังนั้น เมื่อทราบแล้วว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มไหน ถ้าเป็นเบาหวาน ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอาจต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่ง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงจะต้องป้องกัน เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่หาทางป้องกัน จะมีโอกาสเป็นเบาหวานได้สูงมาก เผยสูตร ! เป็นเบาหวาน กินแบบไหนดี ? Low Carb Diet เป็นการควบคุมจำนวนคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด สามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดที่สูงในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีการกินแบบนี้ให้ผลดีในบางราย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อน Mediterranean Dietเป็นวิธีการกินที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เน้นกินผัก ผลไม้ ปลา ไก่ ถั่ว น้ำมันมะกอก และธัญพืช และเลี่ยงเนื้อแดง เนย และโซเดียม โดยวิธีการกินแบบนี้ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี DASH Diet เป็นวิธีการกินเพื่อลดความดันโลหิต เน้นกินผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ธัญพืช ถั่ว เมื่อกินแบบ DASH diet ควบคู่กับการออกกำลังกาย ส่งผลให้ความไวต่ออินซูลินดีขึ้น The Zone Diet เป็นการกินที่มีเป้าหมายในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยมื้ออาหารประการไปด้วย คาร์โบไฮเดรต 40% โปรตีน 30% ไขมัน 30% โดยคาร์โบไฮเดรตที่กินจะต้องเลือกชนิดที่มีค่า GI ต่ำ Vegan หรือมังสวิรัติ ผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ มีแนวโน้มว่าจะได้รับไฟเบอร์มากกว่า และกินไขมันน้อยกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ แต่ทั้งนี้ควรปรึกษานักโภชนาการว่าควรกินแบบใดจึงได้รับสารอาหารครบถ้วน         การรักษาเบาหวานจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและทานยาตามแพทย์สั่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลตนเองและสร้างวินัยทางสุขภาพ แน่นอนว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดีไปอีกยาวนาน ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เป็นเบาหวาน กินแบบไหนดี ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

เป็นเบาหวาน กินแบบไหนดี ? Read More »

กินอย่างไร ห่างไกลความดันโลหิต ?

       กินอย่างไร ห่างไกลความดันโลหิต ? ความดันโลหิตเป็นค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง โดยเกิดขึ้นจากการกระบวนการสูบฉีดเลือดของหัวใจ โดยสามารถวัดความดันโลหิตได้ 2 ค่า คือ ค่าความดันช่วงบนจากการบีบตัวของหัวใจ และค่าความดันช่วงล่างจากการคลายตัวของหัวใจ ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากค่าความดันโลหิตคือความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำ โดยเราสามารถตรวจหาอาการดังกล่าวได้ด้วยการวัดค่าความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงและต่ำ คือภาวะแบบไหน ความดันโลหิตต่ำ คือ ภาวะที่ความดันเลือดซิสโตลิกต่ำกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ทั้งหญิงชาย ไม่ว่าอายุเท่าใดก็สามารถเป็นได้ ส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น โปรตีน วิตามินซีทำให้ผนังหลอดเลือดแดงไม่แข็งแรง จนเกิดการคลายตัวมากเกินไป โดยภาวะนี้จะมีทั้งที่สามารถหายเองได้กับต้องได้รับการรักษา อาการที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆคือเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลมกะทันหัน ใจเต้นแรง ใจสั่น ตาพร่าเบลอ คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำ ความดันโลหิตสูง คือ หากวัดแล้วได้ค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปถือว่ามีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง โดยหากต้องการความแน่นอนมากขึ้นควรวัดเพิ่มอีกหลังได้ค่าความดันโลหิตสูงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อีกประมาณ 2 หรือ 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ค่าความดันที่สูงอาจไม่ได้หมายถึงการเป็นความดันโลหิตสูงเสมอไปเพราะสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ เช่น มีภาวะทางอารมณ์ การออกกำลังกาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีคาเฟอีน เป็นต้น โดยผู้ป่วยที่เพิ่งเคยเป็นจะมีอาการเวียนศีรษะ ตึงต้นคอ ซึ่งส่วนมากจะเป็นในช่วงตื่นนอน แต่สำหรับคนที่เป็นความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานานจะมีอาการใจสั่น อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว หรืออาจมีเลือดกำเดาไหลร่วมด้วย เผยเทคนิค กินอย่างไร ห่างไกลความดันโลหิต ? 1) จำกัดปริมาณโซเดียมในอาหาร โซเดียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งพบได้ในอาหาร ซึ่งอาหารตามธรรมชาติจะมีโซเดียมอยู่ในปริมาณน้อย แต่อาหารแปรรูป สำเร็จรูป เบเกอรี่ และเครื่องปรุงต่าง ๆ จะมีโซเดียมปริมาณมาก ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 2400 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสเค็ม เลี่ยงอาหารแปรรูป เลี่ยงการใช้ผงปรุงรส และเลี่ยงการซดน้ำซุปน้ำแกงต่าง ๆ รวมทั้งเลี่ยงอาหารรสจัด ผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาการทำงานของไตลดลงอาจเลือกใช้เครื่องปรุงลดโซเดียมได้ 2) รับประทานข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี ปริมาณที่แนะนำคือ 6 – 8 ส่วน/วัน (เช่น ข้าวกล้อง 6 – 8 ทัพพี) เลือกแบบไม่ขัดสีเพื่อเพิ่มใยอาหาร ซึ่งใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่กระแสเลือด จึงช่วยควบคุมไขมันในเลือด นอกจากนี้ใยอาหารยังช่วยให้อาหารอยู่ท้องได้นาน ทำให้ไม่หิวบ่อย ช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้ 3) เพิ่มผักในอาหารทุกมื้อ ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/วัน (เช่น ผักสด 4 – 5 ถ้วยตวง) ในผักอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีผลช่วยควบคุมความดันโลหิต ควรเลือกผักให้หลากสีและหลากชนิด 4) รับประทานผลไม้ ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/วัน (ผลไม้ 6 – 8 ชิ้นคำ หรือผลเท่ากำปั้น 1 ผล เท่ากับ 1 ส่วน) ซึ่งผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงโพแทสเซียมและแมกนีเซียมด้วย 5) รับประทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ การเลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำจะช่วยลดปริมาณไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล ซึ่งจะพบมากในไขมันจากสัตว์ ไขมันเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดมากขึ้นได้ ส่งผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต ปริมาณแนะนำ 6 ส่วน/วัน (เช่น เนื้อสัตว์ 12 ช้อนโต๊ะ/วัน) 6) รับประทานถั่วเปลือกแข็งและถั่วเมล็ดแห้ง ปริมาณแนะนำ 4 – 5 ส่วน/สัปดาห์ (ประมาณ 4 – 5 กำมือ/สัปดาห์) เนื่องจากถั่วมีแร่ธาตุโพแทสเซียมและแมกนีเซียมสูง รวมทั้งมีใยอาหารด้วย ทั้งนี้ถั่วมีปริมาณไขมันสูง แม้ว่าไขมันจากถั่วจะเป็นไขมันที่ดี แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ 7) จำกัดไขมันในอาหาร 2 – 3 ส่วน/วัน (น้ำมัน 2 – 3 ช้อนชา) เนื่องจากไขมันส่งผลต่อการเพิ่มความดันโลหิตได้ วิธีการเลี่ยงไขมันคือ เลือกเมนูอาหารที่ปรุงด้วยวิธีที่ไม่ใช้น้ำมัน เช่น การต้ม นึ่ง อบ เป็นต้น เลี่ยงอาหารทอด อาหารใส่กะทิ และเลือกใช้น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น 8) ดื่มนมไขมันต่ำ นมเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง ช่วยในการควบคุมความดันโลหิตได้ นอกจากนี้แคลเซียมจากนมยังสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดี ปริมาณแนะนำคือ 2 – 3 ส่วน/วัน (เช่น นม 2 – 3 แก้ว/วัน) ควรเลือกนมรสจืดเพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไป     ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กินอย่างไร ห่างไกลความดันโลหิต ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

กินอย่างไร ห่างไกลความดันโลหิต ? Read More »

กินตามกรุ๊ปเลือด เทรนด์ใหม่สายสุขภาพ

กินตามกรุ๊ปเลือด เทรนด์ใหม่สายสุขภาพ            อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือ Eat Right for your Type ของ Dr.Perer J.D’Adammo เจ้าของรางวัล แพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากอเมริกา ในปี 1990 เนื้อหาในหนังสือระบุว่าเลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียว และจับเกาะติดเลือดเรียกว่า “เล็คติน”ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะสมกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน หลักการเหล่านี้จึงทำให้นักวิชาการหลายท่านนำมาศึกษาและนำเสนอแนวทางปฏิบัติในการรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภค เรามาดูไปพร้อมกันว่าแต่ละกรุ๊ปนั้นต้องรับสารอาหารแบบใดบ้าง กรุ๊ป A           คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นมังสวิรัติ อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด 1.เนื้อสัตว์และโปรตีน : กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาจกินได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว บรรดาตระกูลถั่วต่าง ๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบาง ๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามารถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง 2.ผัก : กินผักได้ทั้งสดและสุก กินแล้วดีโดยเฉพาะหอมหัวใหญ่ และบร็อคโคลี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน 3.ผลไม้ : กินผลไม้แทบทุกชนิด ยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก4.เครื่องดื่ม : พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้ แต่ควรเลี่ยงเบียร์ และน้ำอัดลม กรุ๊ป B          คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาตอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด 1.โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน : ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว อย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยง เนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกาย สามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกายทำให้อ้วนและไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตกควรลองแป้งสเปลท์ (spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีไฟเบอร์สูง 2.ผัก : ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน แต่ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ และข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลิน และระบบเผาผลาญ3.ผลไม้ : กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์  กรุ๊ป AB             กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานการกินมังสวิรัติหน่อย ๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบี นิด ๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด 1.โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน : ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน2.ผัก : ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ3.ผลไม้ : ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม4.เครื่องดื่ม : ดื่มไวน์แดงวันละแก้วจะช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ชาคาโมมายล์และชาเขียวช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน กรุ๊ป O                  ปัญหาของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด 1.โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน : เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่าง ๆ2.ผัก : ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคโคลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอมและมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ3.ผลไม้ : ผลไม้กินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และสตรอเบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป 4.เครื่องดื่ม : ชา สมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิเปปเปอร์มินท์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กินตามกรุ๊ปเลือด เทรนด์ใหม่สายสุขภาพ กลับสู่หน้าหลักบทความ

กินตามกรุ๊ปเลือด เทรนด์ใหม่สายสุขภาพ Read More »

น้ำผัก กับประโยชน์ ที่คุณอาจไม่ทราบมาก่อน

                น้ำผัก กับประโยชน์ที่คุณอาจไม่ทราบมาก่อน น้ำผัก คือ การแปรรูปผักเป็นเครื่องดื่มเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน สะดวก และยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งสามารถทานผักหลายชนิดในแก้วเดียวในรูปของน้ำผัก มีสรรพคุณช่วยส่งเสริมสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากขึ้น โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ที่บริโภคน้ำผักผลไม้เป็นเวลามากกว่า 14 สัปดาห์ จะมีปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกายเพิ่มมากขึ้น เช่น เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม โฟเลต วิตามินซี และวิตามินอี เป็นต้น ประโยชน์ของน้ำผัก และ วิธีการดื่ม บำรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด           มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า การบริโภคน้ำผักผลไม้อาจลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยช่วยลดความดันและไขมันในเลือด อีกทั้งอาจช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ และป้องกันภาวะกรดอะมิโนโฮโมซีสทีนในเลือดสูง (Hyperhomocysteinemia) ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจได้รับประโยชน์ในด้านดังกล่าวมากขึ้นหากบริโภคน้ำผักผลไม้หลากหลายชนิด เพราะอาจได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์แตกต่างกันไป เช่น สารโพลีฟีนอล วิตามิน และแร่ธาตุ เป็นต้น กระตุ้นการเผาผลาญไขมันคอเลสเตอรอล           มีงานวิจัยหนึ่งค้นคว้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอล โดยเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้สดผสมน้ำผักกวางตุ้งญี่ปุ่น กับน้ำผักทั่วไปที่วางขายตามท้องตลาด หลังการทดลอง 4 สัปดาห์พบว่า น้ำผลไม้สดผสมน้ำผักกวางตุ้งอาจมีประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยอาจลดไขมันชนิดนี้ลงมากกว่าการดื่มน้ำผักทั่วไปเมื่อบริโภคในระยะสั้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์           งานวิจัยชิ้นหนึ่งศึกษาคุณสมบัติด้านการลดอัตราเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ด้วยการบริโภคน้ำผักผลไม้ พบว่าผู้ที่บริโภคน้ำผักผลไม้มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง/สัปดาห์ มีความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้ำผักผลไม้เพียงสัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้น แล้วการดื่มน้ำผักดีกว่าการกินผักหรือไม่ ?          ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันได้ชัดเจนว่าน้ำผักจะให้สารอาหารและคุณประโยชน์เทียบเท่าหรือมากกว่าการบริโภคผัก เพราะถึงแม้น้ำผักอาจมีส่วนช่วยในการเสริมสารอาหารบางชนิดได้ แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการกินผักได้ เนื่องจากการแปรรูปจากผักเป็นน้ำผักอาจทำให้สูญเสียกากใยอาหารจากเดิมที่มีไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ผักจะส่งผลดีต่อสุขภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุดเมื่อบริโภคโดยตรง ไขข้อสงสัย น้ำผักเองก็มีข้อควรระวังเช่นกันนะ          ผลิตภัณฑ์น้ำผักบางชนิดอาจผ่านกระบวนการผลิตจากผักที่ปนเปื้อนสารเคมีอย่างสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ โดยผู้ป่วยบางรายอาจแสดงอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางรายก็อาจมีอาการเฉียบพลัน เรื้อรัง หรืออาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้การบริโภคน้ำผักที่มีสารออกซาเลตในปริมาณมาก อาจทำให้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตเกิดภาวะไตวายได้ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำผักผลไม้ในรูปแบบค็อกเทล เพราะเป็นเครื่องดื่มที่แต่งกลิ่นผักผลไม้ มีส่วนผสมหลักเป็นน้ำเปล่าและมีน้ำผักผลไม้แท้ในปริมาณน้อย รวมทั้งอาจมีส่วนผสมของสารให้ความหวานอื่น ๆ อย่างน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตส ซึ่งน้ำผักผลไม้ในรูปแบบค็อกเทลส่วนใหญ่ให้คุณค่าทางโภชนาการต่ำ คล้ายกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง                    น้ำผักผลไม้สำเร็จรูปตามท้องตลาดทั้งแบบกล่องและขวดมักมีส่วนผสมของน้ำเชื่อมหรือหัวเชื้อผสม อีกทั้งยังมีน้ำตาลสูง จึงควรเลือกบริโภคน้ำผักแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ การบริโภคน้ำผักในระหว่างที่ใช้ยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากน้ำผักอาจมีผลต่อประสิทธิภาพหรือการออกฤทธิ์ของยา เช่น การรับประทานน้ำผักที่มีวิตามินเคสูงอย่างคะน้าหรือผักโขม อาจส่งผลให้ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์ผิดไปจากเดิมได้           ดังนั้นแล้วการบริโภคน้ำผักจะมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดก็ต่อเมื่อบริโภคเป็นหน่วย(หน่วยบริโภคจะแสดงบนฉลากสินค้าว่าดื่มเท่าไหร่ต่อวัน) และหากต้องการดื่มน้ำผักในปริมาณมากก็ควรปรึกษาแพทย์ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยและกำลังใช้ยารักษาใด ๆ อยู่ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพในภายหลัง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : น้ำผัก กับประโยชน์ที่คุณอาจไม่ทราบมาก่อน กลับสู่หน้าหลักบทความ

น้ำผัก กับประโยชน์ ที่คุณอาจไม่ทราบมาก่อน Read More »

เวย์โปรตีน คืออะไร จำเป็นต้องทานเสริมหรือไม่ ?

เวย์โปรตีน คืออะไร      เวย์โปรตีน คือ แหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่เต็มไปด้วยสารสำคัญ และกรดอะมิโนจำเป็น ที่สกัดได้จากนมวัว โดยการสกัดนี้ได้นำเอาคาร์โบไฮเดรตและไขมันออกไป ให้เหลือแค่โปรตีนอย่างเดียวเลยเพียว ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่ครบถ้วนต่อความต้องการในแต่ละวัน จากนั้นก็นำมาผ่านกระบวนการทำให้แห้งเพื่อให้เป็นผง และสามารถเก็บไว้ได้นาน รวมทั้งชงทานได้อย่างสะดวก ประเภทของเวย์โปรตีน       เวย์โปรตีน คอนเซนเทรท – เวย์โปรตีนชนิดนี้จะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ 70-80% เป็นผงสีครีมอ่อน และมีกลิ่นรสตามธรรมชาติแบบนม เต็มไปด้วยกรดอะมิโนครบทั้ง 20 ชนิด และกรดอะมิโนจำเป็นอีก 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น ป้องกันการติดเชื้อ และเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกต่างหากเวย์โปรตีน ไอโซเลต – เวย์โปรตีนชนิดนี้ได้จากการนำเวย์โปรตีน คอนเซนเทรทมาผ่านกระบวนการผลิตเพิ่มเติม ทำให้มีความเข้มข้นของโปรตีนสูงขึ้นไปอีก มากกว่า 90% เลยทีเดียว เป็นผงสีครีมอ่อน และมีกลิ่นธรรมชาติแบบนมเหมือนกันเวย์โปรตีน ไฮโดรไลซ์ – เป็นเวย์โปรตีนแบบที่ 1 และ 2 ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ ทำให้โมเลกุลของเวย์โปรตีนที่มีขนาดใหญ่ ถูกย่อยจนเป็นเปปไทด์ ทำให้มีโปรตีนบริสุทธิ์สูงถึง 100% ซึ่งมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บอกด้วยว่า เวย์โปรตีนในรูปแบบของเปปไทด์นั้นร่างกายจะดูดซึมได้ดีที่สุด ซึ่งมีงานวิจัยทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าเวย์โปรตีน สามารถช่วยส่งเสริมภาวะโภชนาการ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งดีขึ้นได้ เวย์โปรตีน จำเป็นต่อเรามากน้อยแค่ไหน ?            ปัจจุบันเวย์โปรตีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในหมู่คนเล่นกล้ามอีกต่อไป แต่เวย์โปรตีนนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายทุกประเภท เพราะสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ รวมทั้งเวย์โปรตีนนั้นเหมาะสมกับผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย ดังนั้นแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ในกลุ่มใดข้างต้น เวย์โปรตีนจะเป็นสารอาหารส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ท่านมีสุขภาพกายที่แข็งแรงอย่างแน่นอน คำถามคือ แล้วเวย์โปรโปรตีนมีดีอย่างไร จึงจำเป็นต้องทาน ?นั่นก็เพราะ ในเวย์โปรตีนมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้และต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า Essential Amino Acids นอกจากนี้ยังมี Conditionally Essential Amino Acids (CEAA) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ชั่วคราว เช่น เมื่อเราเจ็บป่วยหรือร่างกายสร้างไม่เพียงพอ เราก็จำเป็นต้องรับกรดอะมิโนนี้จากอาหารเช่นกัน           นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนบางกลุ่มอีกด้วยที่ผู้ออกกำลังกายอย่างหนักจำเป็นต้องใช้ ซึ่งก็คือ กรดอะมิโนในกลุ่ม Branched – Chain Amino Acids (BCAAs) และ Glutamine อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน Cysteine ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ต้นเหตุของปัญหามะเร็งอีกด้วย         ปกติแล้วคนเราจะต้องการโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น ยกน้ำหนัก เพาะกาย คนพวกนี้เค้าต้องการปริมาณโปรตีนถึงวันละ 1.2-1.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว   กินเวย์โปรตีนยังไงถึงจะได้ผล         การกินเวย์โปรตีนให้ได้ผลดีที่สุดกับร่างกายก็คือ กินเวย์โปรตีนอย่างน้อย 20-30 กรัม เพื่อให้เกิดภาวะ Hyperaminoacidemia ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนในร่างกาย         สำหรับใครที่จะแบ่งกินเวย์โปรตีนครั้งละน้อย ๆ เช่น ทีละ 5 กรัม ถึงจะได้ผลเหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่ากับการทานครั้งละมาก ๆ เพราะจะไม่เกิดการ Hyperaminoacidemia ทำให้ร่างกายไม่ถูกกระตุ้นให้สังเคราะห์โปรตีนได้ดี อาจมีบางส่วนถูกนำไปใช้ทำอย่างอื่นหรือถูกขับทิ้ง         ถ้าใครที่อยากกินเวย์มากกว่าวันละ 40-50 กรัม ให้แบ่งออกเป็นหลาย ๆ มื้อ อาจจะมื้อละสัก 20-30 กรัมก็ได้ ดีกว่ากินครั้งเดียวหมด เพราะร่างกายจะได้รับโปรตีนตลอดทั้งวัน เพราะการกินโปรตีนมากกว่าครั้งละ 40 กรัม จะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ไม่หมด และเพราะการกินเวย์โปรตีนนั้นไม่ใช่การกินยา แต่เป็นการกินอาหารปกติ ทำให้ปริมาณที่ควรกินในแต่ละวันนั้นไม่ตายตัว อยากกินเท่าไหร่ก็แล้วแต่เราเลย ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและจุดประสงค์เป็นหลักมากกว่า แต่ถ้าจะให้ดีอย่างน้อย ๆ ก็ควรกินเวย์โปรตีนให้ได้ 20-30 กรัม/วัน ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เวย์โปรตีน คืออะไร จำเป็นต้องทานเสริมหรือไม่ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

เวย์โปรตีน คืออะไร จำเป็นต้องทานเสริมหรือไม่ ? Read More »

ผลไม้บำรุงครรภ์ สำหรับว่าที่คุณแม่

ผลไม้บำรุงครรภ์ สำหรับว่าที่คุณแม่ แก้วมังกร อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและมีวิตามินซีสูง จึงช่วยในการกระตุ้นต่อมน้ำนมให้คุณแม่ได้เป็นอย่างดี ฝรั่ง มีวิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัด บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง มะละกอสุก อุดมไปด้วยวิตามินซี สารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี และแคลเซียม ช่วยให้คุณแม่ตั้งท้องขับถ่ายง่ายขึ้นแก้ปัญหาท้องผูก องุ่น เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินนานาชนิดสารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใย น้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก กรดโฟลิก ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้องุ่นสีเข้มยังช่วยต่อต้านริ้วรอย และทำให้ผิวของคุณแม่ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย แตงโม มีโพแทสเซียม ที่สามารถช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย และยังมีวิตามินซีธรรมชาติที่ดีต่อร่างกาย เชอร์รี่ เป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ให้กับคุณแม่และลูกน้อยจากโรคติดเชื้อ เช่น โรคหวัดและผื่น การทานเชอร์รี่ยังช่วยในการส่งเลือดไปเลี้ยงรกและทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผลไม้บำรุงครรภ์ สำหรับว่าที่คุณแม่ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผลไม้บำรุงครรภ์ สำหรับว่าที่คุณแม่ Read More »