Health Tips

ล้างผักไม่สะอาด เสี่ยงพยาธิขึ้นสมอง

ล้างผักไม่สะอาด เสี่ยงพยาธิขึ้นสมอง สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวที่ระบุว่า มีเคสผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านรายหนึ่ง มีอาการชักเกร็ง กระตุก แขนขาข้างขวา แล้วก็ลามมาทั้งตัว อุจจาระและปัสสาวะราด โดยแพทย์ได้ทำการซีทีสแกนสมอง ภาพเอกซเรย์พบว่าในสมองมีแคลเซียมเกาะอยู่กับไข่ของพยาธิ ลักษณะเป็นก้อนกลมๆ โดยพบว่ามีประวัติชอบรับประทานผักสดมาก แพทย์จึงสันนิษฐานว่าผักสดอาจปนเปื้อนปุ๋ยมูลสัตว์แล้วล้างไม่สะอาด ทำให้ผักมีไข่พยาธิแถมมาด้วย ไข่พยาธิจึงแทรกซึมในลำไส้ แล้วเดินทางไปอาศัยอยู่ในสมอง ซึ่งไข่พยาธิจะมีตัวอ่อนอยู่ข้างใน แล้วไปกระตุ้นสมองทำให้ชักนั่นเอง มีการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับผักปนเปื้อนพายาธิที่น่าสนใจดังนี้ จากการสำรวจของ Punsawad C และคณะ (2019) เก็บผักจากตลาดในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 265 ตัวอย่าง ประกอบไปด้วย ผักสะระแหน่ (a) สลัด (b) ผักชีไทย (c) หอม (d) ใบบัวบก (e) ขึ้นฉ่ายฝรั่ง (f) ผักกาดขาวจีน (g) ผักชีฝรั่ง (h) โหระพา (i) และผักบุ้งจีน (j) พบการปนเปื้อนพยาธิในผักจำนวน 93 ตัวอย่าง โดยพบว่ามีพยาธิปากขอสูงสุด 42.9% รองลงมาคือ พยาธิเส้นด้าย 10.6% พยาธิแส้มม้า 2.6% พยาธิไส้เดือน 2.6% และพยาธิไส้เดือนสุนัข 2.6% ผักที่พบการปนเปื้อนพยาธิมากที่สุด ผักที่พบการปนเปื้อนพยาธิมากที่สุดคือ ผักขึ้นฉ่ายฝรั่ง 63.3% (19/30) ตามมาด้วยสะระแหน่ 9% (60.0) ใบบัวบก 12% (57.1) ผักชีไทย 13% (44.0) หอม 13% (43.3) 11% (36.7) ผักชีฝรั่ง 11% (36.7) ผักกาดขาวจีน 7% (23.3) ผักสลัด 4% (20.0) โหระพา 3% (10.0) และผักบุ้งจีน 2% (6.7) ทั้งนี้ทางกรมอนามัย ได้แนะนำวิธีทำความสะอาดของผักผลไม้ก่อนรับประทาน สามารถทำได้ 3 วิธีคือ วิธีที่ 1 ให้ล้างด้วยน้ำไหล โดยแช่ในน้ำนาน 15 นาที จากนั้นเปิดน้ำไหลผ่านและคลี่ใบผักถูไปมานาน 2 นาที เหมาะสำหรับการล้างผักจำนวนน้อย วิธีที่ 2 แช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ ในอัตราส่วนน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด วิธีที่ 3 ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) ครึ่งช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนเชื้อโรค และสารพิษตกค้างในผักผลไม้ได้ นอกจากการล้างผักให้สะอาดถูกสุขลักษณะแล้ว หากต้องการเลี่ยงการปนเปื้อนพยาธิที่ดีอีกวิธีหนึ่งคือการปรุงสุกโดยการต้มที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 นาที ก็จะสามารถฆ่าระยะติดต่อพยาธิได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ล้างผักไม่สะอาด เสี่ยงพยาธิขึ้นสมอง กลับสู่หน้าหลักบทความ

ล้างผักไม่สะอาด เสี่ยงพยาธิขึ้นสมอง Read More »

ช็อคโกแลตบรรเทาอาการไอ ได้จริงหรือ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้มีข้อคำถามที่น่าสนใจมาฝากทุกท่านครับ ว่า “ช็อคโกแลตบรรเทาอาการไอได้จริงหรือ ?” วันนี้เราจะมาตอบคำถามนี้และไขความลับด้านสารอาหารของหนึ่งในอาหารที่ใครๆต่างก็บอกว่ากินแล้วอ้วนนี้กันครับ เรามาดูกันก่อนว่าเพราะเหตุใดกินช็อคโกแลตแล้วอ้วน จริงๆถ้าจะกล่าวให้ถูกคือช็อคโกแลตไม่ใช่สาเหตุหลักของความอ้วนโดยตรง แต่เป็นเพราะว่าช็อคโกแลตนั้นมีพลังงานสูง โดยเฉพาะในช็อคโกแลตที่มีความข้นและผสมกับนมและน้ำตาลเพิ่มเติม การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้ได้รับพลังงานเกินความจำเป็นต่อวันและส่งผลให้คุณมีเพิ่มน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้นั่นเองครับ นั่นหมายความว่า “ถ้าเลือกทาน และทานอย่างเหมาะสม” ก็เกิดคุณประโยชน์ได้เช่นกันครับ มาดูคุณประโยชน์ของช็อคโกแลตกันครับ 1.มีสารต้านอนุมูลอิสระ คงความอ่อนเยาว์ : ในช็อคโกแลตนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิเดนท์) ซึ่งช่วยให้ร่างกายต้านความเสื่อมที่มาจากมลภาวะภายนอกหรือความเครียด2.นอกจากข้อแรก สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด  ซึ่งหลายการศึกษาพบว่าสารโพลีฟีนอลจะช่วยเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิด HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้ โดยการทาน “ดาร์กช็อคโกแลต” สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว3.ต้านอารมณ์เหวี่ยงวีน ในวันแดงเดือด สำหรับคุณผู้หญิง ในวันที่มีประจำเดือนหรือก่อนมีประจำเดือน ช็อคโกแล็ตที่มีส่วนผสมของโกโก้ 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และแม็กนีเซียมที่มีอยู่ในช็อคโกแล็ตจะเข้าไปช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสงบ ช่วยให้ลดพฤติกรรมเหวี่ยงวีนได้4.ลดความเสี่ยงหลอดเลือดสมองแตกมีผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย อาเบอร์ดีน (สกอตแลนด์) พบว่าการทานช็อคโกแล็ต 100 กรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดในสมองแตก ได้ถึง 23%5.ลดความเครียดมีสารแฟนิลเอทิลามีน (Phenylethylamine-PEA) ช่วยสร้างสารสื่อประสาทช่วยในการลดความเครียด ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้การรับประทานช็อคโกแลตเกิดความรู้สึก ‘ฟีลกู้ด’ ทั้งยังมีกรดอะมิโนทริปโตเฟน ซึ่งเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน เป็นสารแห่งความสงบและผ่อนคลายให้แก่ร่างกายได้ เป็นการลดความเครียดป้องกันภาวะซึมเศร้าทางอ้อม ตอบคำถามที่ว่า ช็อคโกแลตบรรเทาอาการไอได้จริงหรือ ? คำตอบคือ “จริงครับ” เพราะ ช็อคโกแลตซึ่งทำจากโกโก้นั้นมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรมีน จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผลครับ มาถึงการเลือกกินช็อคโกแลตอย่างถูกวิธี การกินช็อคโกแลตให้มีประโยชน์สูงสุดควรเลือกดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ที่ผลิตจากผลโกโก้ ซึ่งมีปริมาณของโกโก้สูง 70-85% โดยแนะนำให้ทาน 50- 100 กรัม ต่อวัน ความถี่ที่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจครับ ส่วนช็อคโกแลตแปรรูปอื่นๆอาจไม่ได้ให้คุณประโยชน์มากนักเมื่อเทียบกับดาร์กช็อกโกแลตเพราะอาจนำไปสู่การสะสมไขมันส่วนเกินและน้ำตาลในเลือดสูงได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ช็อคโกแลตบรรเทาอาการไอ ได้จริงหรือ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ช็อคโกแลตบรรเทาอาการไอ ได้จริงหรือ Read More »

การปฐมพยาบาล และเรื่องที่อาจเข้าใจผิด

การปฐมพยาบาล และเรื่องที่อาจเข้าใจผิด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้สาระเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นครับ เพื่อให้ท่านรับมือและดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องและให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังลดการเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลักการปฐมพยาบาลที่อาจเคยเข้าใจกันต่อมาแบบคลาดเคลื่อนครับ จะมีวิธีใดบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกันวันนี้ครับ วิธีการปฐมพยาบาลกับความเข้าใจผิด ใช้สายรัดห้ามเลือดแน่นๆ คือความเข้าใจผิด                        บางท่านอาจเข้าใจหรือเคยพบเห็นการห้ามเลือดด้วยสายรัดเพื่อไม่ให้เสียเลือดจนเกิดอันตราย เพียงแต่หากเผลอรัดแน่นหรือไม่สามารถทำได้อย่างถูกวิธี จะทำให้อวัยวะปลายทางขาดเลือดซึ่งอันตรายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะนั้นได้เลย การมีเลือดออกเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ในกรณีที่มีเลือดออกมากจนเป็นหยดคล้ายกับน้ำพุ่ง ในกรณีนี้คุณต้องกดหลอดเลือดแดงใต้ขาหนีบหรือรักแร้และวางแขนชิดลำตัว ถ้าหากจำเป็นต้องรัดให้รัดทับเสื้อผ้าดีกว่า จากนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินการรักษาแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อต่อไปครับ เวลามีคนเป็นลมชักให้รีบหาอะไรมาใส่ปากทันที คือความเข้าใจผิด การหาอะไรมาใส่ปากคนที่เป็นลมชักนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะหากหากเลือกไม่ดีอาจจะทำให้ฟันของผู้ชักเสียหายได้ แล้วฟันที่หักมีโอกาสสูงที่จะลงไปอุดหลอดลม วิธีที่ดีของการปฐมพยาบาลคนเป็นลมชักนั้น ทำได้โดยการหาอะไรมาหนุนที่ศีรษะผู้ป่วย เช่นเสื้อผ้า หรือหมอน และเรียกรถพยาบาล ถ้าโดนน้ำแข็งกัดอย่าขัดผิวหรือแช่น้ำร้อนๆ เคสนี้ใช้เพียงน้ำอุ่นๆก็เพียงพอ เมื่อคุณโดนน้ำแข็งกัดอย่าเอามือไปแช่ในน้ำร้อน เพราะเส้นเลือดฝอยของคุณจะถูกทำลายหากใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงจนเกินไป การลดผลกระทบอย่างช้าๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพียงแค่คุณวางมือของคุณในน้ำเย็น และค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิอย่างช้าๆ ใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวก เมื่อไหร่ที่ผิวหนังของคุณถูกความร้อน ความร้อนจะเข้าไปลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อ การใช้ยาสีฟัน หรือน้ำมันทาแผลไฟลวกนั้นจะทำให้ตัวยาสีฟันไปคลุมแผลไว้ แต่ไม่ได้ไล่ความร้อนออกไปแต่อย่างไร วิธีที่ดีที่สุดในการรปฐมพยาบาลแผลไฟลวก ทำได้โดยการนำจุดที่โดนลวกแช่ในน้ำเย็นราวๆ 15-20 นาที และปล่อยให้แผลแห้ง หากจะทายาอะไรเพิ่มให้เว้นระยะเวลาอีกสักพักก่อน เวลามีคนบาดเจ็บบนถนนให้รีบพาออกมาข้างทางในทันที แม้ว่าการทิ้งผู้บาดเจ็บไว้กลางถนนเลยนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ แต่การที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายคนเจ็บเลยนั้นก็เป็นเรื่องที่อันตรายเช่นเดียวกัน ผู้ที่บาดเจ็บจากทางท้องถนนนั้นมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง ซึ่งการที่จู่ๆ ไปเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอาจนำไปสู่การเป็นอัมพาตครึ่งล่าง หรือถึงแก่ความตายได้ หากคุณมีทักษะขั้นสูงในการย้ายผู้บาดเจ็บก็อาจสามารถที่จะย้ายผู้บาดเจ็บจากพื้นที่วิกฤติได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้เวลาประเมินสถานการณ์เบื้อต้นก่อน ทางที่เป็นไปได้ที่สุดคือส่งสัญญาณด้วยไฟกระพริบขอทางเพื่อให้ผู้คนโดยรอบทราบว่ากำลังมีผู้บาดเจ็บบริเวณนี้และ ขอคนช่วยอำนวยความสะดวกในการจราจรเพื่อไม่ให้มีอุบัติเหตุซ้ำซ้อนระหว่างรอการช่วยเหลือ จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมครับ เมื่อมีคนหมดสติอย่าพยายามดึงลิ้นของเขา  ให้นอนตะแคงเมื่อหมดสติ การดึงลิ้นของผู้ป่วยหมดสติเป็นเรื่องที่อันตรายมากเนื่องจากลิ้นของเขาสามารถร่นกลับไปปิดทางเดินหายใจได้หากต้องการให้แน่ใจว่าเขาหมดสติ สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงแค่ย้ายศรีษะของเขาและให้เขานอนตะแคง แต่ไม่ควรดึงลิ้นของเขาโดยเด็ดขาด หากมีคนกำลังสำลัก ไม่ควรตบที่หลังแรงๆ การตบที่หลังในขณะที่กำลังสำลัก อาจจะทำให้อาหารหลุดเข้าไปในหลอดลมเพิ่ม สิ่งที่ควรทำคือเช็คให้ชัวร์ว่าเขากำลังอยู่ในอาการที่สงบ และบอกให้หายใจช้ามากๆ เพื่อนลดอาการสำลักและปิดกั้นเศษอาหารที่จะไปปิดกั้นทางเดินหายใจของเขา สิ่งที่จะช่วยได้ คือ ช่วยประคองเพื่อนให้โค้งและระวังอาหารลงหลอดลม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : การปฐมพยาบาล และเรื่องที่อาจเข้าใจผิด กลับสู่หน้าหลักบทความ

การปฐมพยาบาล และเรื่องที่อาจเข้าใจผิด Read More »

เตือน 3 กลุ่มนี้ ห้ามรับประทานโพรไบโอติก

เตือน 3 กลุ่มนี้ ห้ามรับประทานโพรไบโอติก สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ เชื่อว่าผู้รักสุขภาพหลายท่านต้องรู้จักโพรไบโอติกกันอยู่แล้ว โดย เจ้าจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่อยู่ใน นมเปรี้ยว โยเกิร์ต กิมจิ มิโสะ เป็นต้น เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้สุขภาพดี มีคุณสมบัติที่ทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้ และยังสามารถผลิตสารต่อต้านหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ไม่ดีชนิดอื่นๆ ในทางการแพทย์นั้น ก็ใช้เพื่อการรักษาและป้องกันภาวะลำไส้อักเสบ ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องเสีย ภาวะลำไส้อักเสบจากการที่ได้รับยาปฏิชีวนะ เรียกได้ว่าประโยชน์ล้นเหลือและเข้าถึงง่ายครับ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ก็มีกลุ่มอาการเฉพาะบางท่านที่ไม่สามารถรับประทานโพรไบโอติกได้เป็นปกติ และเหตุผลที่ห้ามรับประทานคืออะไร ติดตามพร้อมกันคับ สำหรับท่านที่ควรงดรับประทานโพรไบโอติก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สำหรับท่านใดที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือว่ากำลังรับประทานยากดภูมิอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรค SLE( ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายอวัยวะต่างๆ ) รูมาตอยด์ โรคผิวหนังแข็ง หรือว่าเปลี่ยนถ่ายอวัยวะแล้วก็รับประทานยากดภูมิอยู่แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการรับประทานโพรไบโอติกครับ ในที่นี้โพรไบโอติกในอาหารสามารถรับประทานได้ไม่มีปัญหาอะไรครับ ไม่ว่าจะเป็นนมเปรี้ยว โยเกิร์ต หรือว่าอาหารหมักดองสามารถรับประทานได้ แต่พวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นโพรไบโอติก อันนี้ไม่แนะนำให้รับประทานครับเพราะว่าสำหรับคนที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อรับประทานโพรไบโอติกเข้าไปแล้วจะเกิดผลเสียต่อร่างกายได้เนื่องจากเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตและเสมือนเป็นเชื้อโรคตัวหนึ่งด้วยครับ ถ้าในเคสปกติก็จะไม่ก่อโรค แต่ถ้าในรายของเคสภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจจะทำให้เกิดผลเสียในร่างกายของเราได้ ดังนั้นกลุ่มอาการนี้ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกโพรไบโอติกไปก่อนครับ กลุ่มที่ 2 ท่านที่อยู่ระหว่างการรักษาโรคมะเร็งและได้รับยาเคมีบำบัด กลุ่มนี้ก็ต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานโพรไบโอติกเช่นกันครับ เนื่องคนที่เป็นโรคมะเร็งและได้รับยาเคมีบำบัด จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายของเราเนี่ยลดลง โดยเฉพาะตัวเม็ดเลือดขาว โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะมีเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 5,000-10,000 ตัว แต่เมื่อได้รับการเคมีบำบัดมาแล้ว ก็จะทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำลง บางคนต่ำกว่า 1,000 ลงไป ลักษณะนี้มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่าย พอภูมิคุ้มกันบกพร่องก็จะเป็นลักษณะคล้ายกับกลุ่มแรก เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเนี่ยอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ครับ กลุ่มที่ 3 ผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวน หลายทานอาจคิดว่าเจ้าโพรไบโอติกเนี่ยทุกตัวสามารถที่จะแก้ท้องผูกแล้วก็แก้ลำไส้แปรปรวนได้ แต่ในความเป็นจริงโพรไบโอติกนั้นมันมีหลากหลายชนิดมาครับ บางชนิดสามารถแก้ท้องผูกได้ทำให้ถ่ายมากขึ้น บางชนิดลดลำไส้แปรปรวนครับ ดังนั้นหากเราเป็นโรคลำไส้แปรปรวนอยู่แล้วเราไปรับประทานชนิดที่แก้ท้องผูก ก็อาจจะยิ่งถ่ายหนักกว่าเดิมครับ ดังนั้นเช็คสุขภาพเบื้องต้นก่อนนะครับว่าตัวโพรไบโอติก ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เรารับประทานนั้น ช่วยแก้ท้องผูกหรือว่าแก้ลำไส้แปรปรวน เพราะว่าหากทานผิดแล้ว อาจจะทำให้ยิ่งแย่กว่าเดิมได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เตือน 3 กลุ่มนี้ ห้ามรับประทานโพรไบโอติก กลับสู่หน้าหลักบทความ

เตือน 3 กลุ่มนี้ ห้ามรับประทานโพรไบโอติก Read More »

3กลุ่มยา อาจพาไตพัง

3กลุ่มยา อาจพาไตพัง สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ขึ้นชื่อว่ายารักษาโรค ทุกท่านเมื่อทราบถึงสภาวะของตนเองก็จะต้องหายรักษา บางท่านอาจพบเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำ บางท่านอาจใช้ประสบการณ์ป่วยในการตัดสินใจซื้อยามารับประทานเอง แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าแม้ว่ายาบางชนิดจะไม่ได้มีอันตราย แต่หากกินติดต่อกันนานๆก็อาจนำพาไปสู่ ภาวะไตวายหรือไตเสื่อมได้ครับ วันนี้เรามาดูกันครับว่ามียากลุ่มใดบ้างที่หากทานมากๆเข้าอาจพาไตพัง ติดตามไปพร้อมกันครับ ยาประเภทไหนบ้างที่ควรระวังและส่งผลอันตรายต่อไต ยาชนิดที่ 1 ยาแก้ปวดในกลุ่ม เอ็นเสด ( NSAIDs)💊🤦 ยาแก้ปวดในกลุ่ม เอ็นเสด ไม่ว่าจะเป็น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน ไดโคลฟีแนค ซึ่งยาเหล่านี้ เราสามารถหาซื้อได้ง่ายมากครับ แล้วก็เป็นที่นิยมใช้กัน เพราะว่าบางคนมีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดเข่า ปวดข้อเท้า หรือว่าปวดกล้ามเนื้อ ก็จะใช้ยาเหล่านี้ ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้ไตวายไตเสื่อมได้เลยทีเดียวนะครับเพราะว่ายาในกลุ่มนี้ มันจะไปออกฤทธิ์ครับบริเวณเส้นเลือดที่ไต ทำให้เส้นเลือดที่ไตหดตัว ขณะเดียวกันนั้นเลือดก็จะไปเลี้ยงไตได้น้อยลง มีโอกาสทำให้ไตวายไตเสื่อมได้นั่นเองครับ หากเรามีอาการปวดเรื้อรังครับแนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่าครับ อย่าเพิ่งไปซื้อยามารับประทานเองติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะว่าจะทำให้ไตวายไตเสื่อมแล้วก็อาจจะต้องฟอกไตในอนาคตได้เลยครับ ยาชนิดที่ 2 ยาขับปัสสาวะ💊🚽 ยาขับปัสสาวะส่วนใหญ่จะให้กับคนที่เป็นโรคหัวใจครับหรือว่าคนที่เป็นโรคไตเสื่อมเนื่องจากร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายได้น้อย จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานยา จำพวกยาขับปัสสาวะเพราะมิเช่นนั้น น้ำอาจจะท่วมปอดหรือว่าทำให้ขาบวมได้ สำหรับยาขับปัสสาวะนั้นมีนับว่ามีประโยชน์ทีเดียวครับ แต่หากเรารับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือว่าไม่จำเป็น ก็จะส่งผลทำให้ไตวาย ไตเสื่อมได้ครับ ยาชนิดที่ 3 ยาสมุนไพร💊🌿 สมุนไพรเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดไตวายได้ ในปัจจุบันครับมียาสมุนไพรเยอะแยะมากมายหลายยี่ห้อ ที่มีวางขายกันในท้องตลาด บางยี่ห้ออาจจะได้มาตรฐานบางยี่ห้ออาจจะไม่ได้มาตรฐานสิ่งที่ต้องทราบคือ แต่ละท่านก็จะเหมาะกับยาสมุนไพรที่แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับสมุนไพรทุกชนิด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ และต้องตรวจสอบว่าในผลิตภัณฑ์นั้น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาหรือ สำหรับใครที่มีโรคประจำตัวเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน เบาหวานหรือที่สำคัญที่สุดคนที่เป็นโรคไตอยู่ แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนครับ ว่าเราสามารถที่จะรับประทานยาสมุนไพรนี้ได้หรือไม่เพื่อจะได้ปลอดภัยมากที่สุดครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง กลับสู่หน้าหลักบทความ

3กลุ่มยา อาจพาไตพัง Read More »

กินยาพาราอย่างปลอดภัย

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ พูดถึงยาสารพัดแก้ปวดชื่อแรกหลายท่านต้องนึกถึง พาราเซตามอล ใช่หรือไม่ครับ และเมื่อมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ ปวดตรงไหน เรามักจะใช้ยาพาราเซตามอลบรรเทาอาการ ทั้งในเรื่องของปริมาณ จำนวนเม็ด เวลาที่กิน วันนี้เรามาขยายความเข้าใจเกี่ยวกับพาราเซตามอลให้มากขึ้น ในหัวข้อ กินยาพาราอย่างปลอดภัย ข้อเท็จจริิงเกี่ยวกับการ กินยาพาราอย่างปลอดภัย หลายท่านสงสัยพาราแก้ปวดได้อย่างไร ยาพาราเซตามอลออกฤทธิ์โดยการยับยั้งสารเคมีบางชนิดในสมองของมนุษย์ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด เช่น สารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) และจะชักนำให้เกิดกลไกการลดอุณหภูมิหรือลดไข้ของร่างกายลงมา พาราเซตามอลกินอย่างไรยาพาราเซตามอลที่หาได้โดยทั่วไปจะมีขนาด 500 มิลลิกรัม และ 325 มิลลิกรัมซึ่งประมาณการได้จากน้ำหนักตัวของผู้ที่กินยา ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 33-50 กิโลกรัม กิน 1 เม็ดน้ำหนักตัว 51-67 กิโลกรัม กิน 1+1/2 เม็ดน้ำหนักตัว 51-67 67+ กิโลกรัม กิน 2 เม็ดยาพาราเซตามอล ขนาด 325 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 22-33 กิโลกรัม 1 เม็ดน้ำหนักตัว 34-44 กิโลกรัม กิน 1+1/2 เม็ดน้ำหนักตัว 45+ กิโลกรัม กิน 2 เม็ด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องกินยาพาราเซตามอล– ไม่ควรกินยาเกิน 8 เม็ด / วัน เพราะจะทำให้ตับต้องทำงานหนักเกินไป– ควรกินยาห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง– ห้ามกินยาร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งเพิ่มผลเสียให้กับตับ– ใช้ยาเฉพาะเวลามีอาการเท่านั้น ห้ามกินยาแก้ปวดก่อนจะมีอาการ มิฉะนั้นอาจได้รับยาแก้ปวดเกินขนาดได้ สิ่งที่บางท่านเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาพาราเซตามอล – การกินยาดักไข้ ไม่สามารถช่วยป้องกันการเป็นไข้ได้ และยังอาจทำให้เกิดโทษ โดยเฉพาะยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม หากกินเกินวันละ 8 เม็ด ติดต่อกันเกิน 5 วัน จะส่งผลให้ตับทำงานหนัก จนเซลล์ตับถูกทำลาย เกิดภาวะตับอักเสบได้ – การกินยาในปริมาณหรือขนาดที่มากกว่าแพทย์กำหนด เนื่องจากอุบัติเหตุหรือจากความเข้าใจผิดที่คิดว่าจะทำให้หายจากโรคเร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากอาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กินยาพาราอย่างปลอดภัย กลับสู่หน้าหลักบทความ

กินยาพาราอย่างปลอดภัย Read More »

Hyaluronic Acid คืออะไร ? มาไขความลับผิวอ่อนวัยไปพร้อมกัน

           สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed เช่นเคยครับ วันนี้ว่าด้วยเรื่องของความงามกันบ้างครับ  หลายท่านอาจเคยได้ยินชื่อไฮยา ที่เค้าเรียกว่าไฮยาๆ หรือกรดไฮยา หรือชื่อของเค้าก็คือ กรดไฮยารูรอน หรือ HA  เป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ แม้ในปริมาณน้อย สามารถพบเจ้า HA ที่มีปริมาณเข้มข้นได้บริเวณ ระหว่างใยกล้ามเนื้อ บริเวณข้อต่อ ข้อเข่าและรอบดวงตา คุณสมบัติเด่นคือมีความต้านทานต่อการเสียดสี ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น รักษาความชุ่มชื้น ป้องกันริ้วรอยบนผิวหนังโดยเฉพาะบนใบหน้านั่นเอง Hyaluronic Acid คืออะไร ? มาไขความลับผิวอ่อนวัยไปพร้อมกัน Hyaluronic Acid มีคุณสมบัติอย่างไร 1.มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00% ทั้งในครีมบำรุง และเครื่องสำอางหลากหลายรูปแบบ 2.ช่วยกรองรังสี UV ที่เป็นต้นเหตุทำให้ผิวหนังคล้ำเสีย และเป็นริ้วรอยก่อนวัย 3.ช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ 4.ช่วยตรึงคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ 5.มีโมโลกุลใหญ่ที่สามารถใช้เติมเต็มชั้นผิวได้ รูปแบบต่างๆของ Hyaluronic Acid 1.ใช้เป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์สกินแคร์ บำรุงผิว เช่น ครีม เซรั่ม เอสเซนส์ เครื่องสำอาง 2.วิตามินสำหรับรับประทาน 3.รูปแบบของสารเติมเต็ม (Filler) ที่นิยมในคลินิกความงาม กลไกฟื้นฟูผิวของ Hyaluronic Acid 1.กรดไฮยาลูโรนิคช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่แห้ง กลไกคือ เมื่อเราเติมกรดไฮยาลูโรนิคให้กับผิว มันจะทำหน้าที่เป็นสารดึงดูดความชื้น เหมือนแม่เหล็กที่ดูดน้ำได้ ความมหัศจรรย์คือ กรดไฮยาลูโรนิคสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 6 ลิตรต่อตัวสาร 1 กรัม นั่นคือจะช่วยล็อกความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ยาวนาน เหมาะกับผู้มีผิวแห้งกร้านอย่างแท้จริง 2.กรดไฮยาลูโรนิคช่วยฟื้นฟูผิวที่เกิดสิวง่าย กรดไฮยาลูโรนิคนั้นมีประโยชน์อย่างมากต่อผิวที่เกิดสิวง่ายเพราะสารตัวนี้จะไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ทั้งยังมีการพิสูจน์แล้วว่ากรดไฮยาลูโรนิคมีส่วนช่วยในการเร่งกระบวนการฟื้นฟูของผิวส่วนที่เกิดแผล รวมไปถึงรอยสิวอีกด้วย 3.กรดไฮยาลูโรนิคช่วยในการลดเรือนริ้วรอย หากใช้ควบคู่กับ เรตินอล (Retinol) วิตามิน C และ E พร้อมทั้งทำควบคู่ไปกับทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว จะทำให้ผิวของทุกท่านดูอ่อนเยาว์ลงได้ กรดไฮยาลูโรนิคเหมาะสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่?        ผู้เชี่่ยวชาญต่างให้ความเห็นว่า ข้อดีขมีองกรดไฮยาลูโรนิคก็คือ การที่สารตัวนี้ความสามารถในการช่วยบำรุงผิวได้ทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็น ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ผิวผสม หรือ ผิวมัน” คุณหมอได้เสริมอีกว่า “มีงานวิจัยที่บอกอีกว่ากรดไฮยาลูโรนิคนั้นมีส่วนช่วยให้ผิวนั้นฟื้นสภาพเร็วขึ้น”   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : Hyaluronic Acid คืออะไร ? มาไขความลับผิวอ่อนวัยไปพร้อมกัน กลับสู่หน้าหลักบทความ

Hyaluronic Acid คืออะไร ? มาไขความลับผิวอ่อนวัยไปพร้อมกัน Read More »

กาแฟลดความอ้วนได้จริงหรือ ?

กาแฟลดความอ้วน ได้จริงหรือ ? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ หลายท่านอาจเคยได้ยินถึงคุณประโยชน์ของกาแฟในเรื่องของการลดความอ้วน ซึ่งต้องขยายความก็คือช่วย หลายท่านอาจเคยได้ยินถึงคุณประโยชน์ของกาแฟในเรื่องของการลดความอ้วน ซึ่งต้องขยายความก็คือช่วยให้คุณมีสุขภาพกายที่ดีขึ้นจากการดืมกาแฟ และช่วยให้กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นกว่าเดิม คำถามคือต้องดื่มแบบไหน ดื่มอย่างไร จึงได้คุณค่าและคุณประโยชน์สูงสุด มีงานศึกษาจาก University of Nottingham พบว่า กาแฟอาจช่วยกระตุ้นเนื้อเยื่อ “ไขมันสีน้ำตาล” ให้ทำงานเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ดีขึ้น คำอธิบายคือ ไขมันสีน้ำตาลทำงานต่างจากไขมันอื่นในร่างกาย โดยทำงานสร้างความร้อนด้วยการเผาผลาญน้ำตาลและไขมันเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะอากาศหนาวเย็น ทำให้ร่างกายเพิ่มการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด และสุดท้ายการเผาผลาญแคลอรี่พิเศษนี้จะช่วยลดน้ำหนักได้ในที่สุด ในทางอ้อม คาเฟอีน สารอาหารสำคัญในกาแฟ ยังมีบทบาทช่วยยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทที่เรียกว่า “Adenosine” พอไม่มีสาร Adenosine ร่างกายเราก็จะหลั่งโดพามีน และนอร์อะดรีนาลีน ออกมากมาขึ้นแทน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น และมีแรงมากขึ้น ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เองจะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นได้ถึง 12%  เลยทีเดียว กลไกเผาผลาญไขมันของกาแฟ คาเฟอีนจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า Noradrenaline  ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นสมองให้ส่งสัญญาณไปบอกเซลล์ไขมัน ให้หลั่ง Free Fatty Acids ออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุถึงคุณสมบัติของ คาเฟอีนไว้ว่ามีส่วนช่วยเพิ่มค่า RMR (ค่าตัวเลขการเผาผลาญระหว่างที่เราพัก หรือระหว่างที่เราไม่ได้มีกิจกรรม)ได้มากถึงประมาณ 3-11% ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว ไขคำตอบ เราควรดื่มกาแฟแบบไหน ปริมาณเท่าไหร่ และดื่มเวลาไหนดีที่สุด กาแฟแบบไหน : กาแฟดำที่ไม่ผสมครีมเทียม นมหรือน้ำตาล ปริมาณในการดื่ม : ในกาแฟดำ 1 แก้ว จะมีคาเฟอีนประมาณ 80 มิลลิกรัม ปริมาณที่แนะนำให้ดื่มคือไม่เกิน 3-4 แก้วต่อวันหรือปริมาณคาเฟอีนไม่ควรเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะจะส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ใจสั่น ใจเต้นเร็ว ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย ดื่มเวลาไหนดี : เวลาที่ดีในการกินกาแฟ คือช่วงเวลา 09.30 -11.30 น.โดยเฉพาะเวลาประมาณ 10.30 น. เป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายยังไม่ค่อยทำงาน คาเฟอีนจะกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวแต่ไม่เครียด ทำให้ทำงานได้ราบรื่น ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กาแฟลดความอ้วนได้จริงหรือ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

กาแฟลดความอ้วนได้จริงหรือ ? Read More »

ยาแก้แพ้กินอย่างไร ? ให้ตรงกับอาการ

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆ กับ Admin Worldmed เช่นเคยครับ วันนี้เรามาพูดถึงการใช้ยาแก้แพ้กันครับ ยาแก้แพ้กินอย่างไร ? ให้ตรงกับอาการ เมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม จากมลภาวะ อาการแพ้ก็จะปรากฏขึ้น โดยสารก่อภูมิแพ้จะกระตุ้นให้เซลล์หลั่งสารฮีสตามีน (histamines) ออกมา  เมื่อฮีสตามีนถูกหลั่งออกมาจะทําให้เกิดอาการคัน ผื่น แดงที่ผิวหนัง อาจมีหลอดลมตีบ หายใจลําบาก ที่ทางเดินหายใจ และถ้าไปออกฤทธิ์ที่ทางเดินอาหารจะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนได้ การเลือกใช้ยาแก้แพ้ ยาแก้แพ้มี 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้ 1) ยาแก้แพ้ชนิดเม็ด จะมีทั้งตัวยาที่ทำให้ง่วงซึมและไม่ง่วงซึมหรือง่วงซึมน้อย จำแนกตัวยาได้แก่ สีเหลือง Chlorpheniramine ช่วยบรรเทาอาการแพ้และช่วยลดน้ำมูก สีฟ้า Diphenhydramine มีฤทธิ์ช่วยเรื่องอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ  ตัวนี้ทำให้ง่วง เพราะสามารถผ่านเข้าสู่สมองและไปกดประสาทได้  ขนาดรับประทาน : ครั้งละ 50 มิลลิกรัม โดยให้รับประทานก่อนขึ้นรถ หรือขึ้นเรือ อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง สีขาว Cetirizine, Loratadine ใช้เพื่อลดอาการแพ้ทั่วไปและลดน้ำมูกที่เกิดจากอาการแพ้ ตัวยาทานแล้วไม่ง่วงหรือง่วงนอนน้อยกว่า เพราะผ่านเข้าสู่สมองน้อยมากจึงลดอาการง่วงลงได้ ขนาดรับประทาน Cetirizine ครั้งละ 5 – 10 มิลลิกรัม สำหรับผู้ใหญ่ ในหนึ่งวัน แต่ในกรณีผื่นแพ้บางชนิดที่มีอาการรุนแรง สามารถปรับขนาดยาขึ้นสูงสุดได้ที่ 40 มิลลิกรัมต่อวัน(ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์และเภสัชกร) และ Loratadine รับประทานครั้งละ 10 มิลลิกรัมต่อวัน 2) ยาแก้แพ้ชนิดน้ำ  มีลักษณะเป็นยาน้ำเชื่อมเพื่อให้รับประทานง่ายขึ้น นิยมใช้ในผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปจนถึงเด็กโตขนาดที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของคนไข้ . 3) ยาแก้แพ้แบบฉีด  ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ลิ้นบวม ปากบวม เยี่อบุรอบตาบวม หายใจลำบากหรือติดขัด หรืออาจมีอาการรุนแรงร่วมกันหลายอาการ โดยสรุปแล้ว การเลือกยาแก้แพ้สามารถพิจารณาเลือกได้จากอาการที่เป็นอยู่และสิ่งสำคัญคือผู้ใช้ต้องพิจารณากิจวัตรในแต่ละวันเป็นสำคัญเนื่องจากยาแก้แพ้บางตัวทำให้ง่วงซึมซึ่่งแน่นอนว่าไม่เหมาะกับท่านที่ต้องขับขี่ยานพาหนะหรือต้องทำกิจกรรมระหว่างวันหลายๆอย่าง ส่วนการสั่งจ่ายยาเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้วินิจฉัยและเภสัชกร ดังนั้นแล้วเมื่อรู้สึกว่าตัวท่านเข้าข่ายเป็นภูมิแพ้ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น และให้ข้อมูลแก่แพทย์โดยละเอียด เพื่อการได้ตัวยาที่เหมาะสมนั่นเอง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ยาแก้แพ้กินอย่างไร ? ให้ตรงกับอาการ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ยาแก้แพ้กินอย่างไร ? ให้ตรงกับอาการ Read More »

ลดน้ำตาล 1 อาทิตย์ จะเป็นอย่างไร ?

สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระดีๆกับ Admin Worldmed เช่นเคย วันนี้เราลองมาคิดเล่นๆกันครับว่าหากเราปรับการบริโภคโดยการ ลดน้ำตาล 1 อาทิตย์ จะเป็นอย่างไร ? ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจครับ มีสถิติจากการสำรวจของกรมอนามัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (ส.ส.ส.) พบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา หรือเกินกว่าปริมาณแนะนำถึงกว่าสามเท่า โดยส่วนใหญ่เป็นการกินน้ำตาลที่เติมเข้ามาในอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ใช่น้ำตาลจากธรรมชาติ (เช่นน้ำตาลจากผลไม้ เป็นต้น) นิสัยชอบกินหวานของคนไทย ทำให้สถิติของผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วนพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ไขข้อสงสัย งดน้ำตาล 1 อาทิตย์ จะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย ? แน่นอนว่า การงดการบริโภคน้ำตาลทันทีอาจทำให้รู้สึกเครียด และอาจทำให้เกิดภาวะหน้ามืด เพราะน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน และจะเกิดอาการโหยหาน้ำตาลมากขึ้น เพราะด้วยความเคยชินของร่างกาย หรืออาจเป็นเพราะร่างกายกำลังปรับตัวกับปริมาณของน้ำตาลที่ลดลง หลายคนเกิดความสงสัยว่า หากร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลมาระยะหนึ่งแล้ว จะส่งผลอย่างไรบ้าง ? 1.หัวใจแข็งแรงขึ้น มีงานวิจัยจากสถาบันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาพบว่า เมื่อลดน้ำตาลในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจก็จะลดลงได้ถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับการบริโภคน้ำตาลแบบเดิม และหลังจากงดการบริโภคน้ำตาลตั้งแต่สัปดาห์ที่สองต่อไปอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ระดับคอเลสเตอรอลและไขมันแอลดีแอล จะลดลงได้ถึง 10% ยิ่งไปกว่านั้น ไตรกลีเซอไรด์อาจลงได้ถึง 20-30% รวมถึงความดันโลหิตก็อาจลดลงด้วย(คำเตือน : หากลดแบบหักดิบในช่วงสัปดาห์แรกอาจจะทำให้หน้ามืดในบางรายได้ จึงควรใช้การปรับลดสัดส่วนก่อน แล้วจึงงดในสัปดาห์ถัดๆไป) 2.ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคเบาหวานลงได้มาก  มีงานวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลใน 175 ประเทศ พบว่าการบริโภคน้ำตาลที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ 150 แคลอรี เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานประเภทสองถึง 11 เท่า เมื่อเทียบกับการกินอาหารประเภทไขมันหรือโปรตีนที่มีปริมาณแคลอรีเท่ากันในทางกลับกัน การลดน้ำตาลจนไปสู่การงดได้ จะช่วยลดภาระการทำงานของตับอ่อนช่วยให้กระบวนการผลิตอินซูลินเป็นปรกติซึ่งเป็นผลดีมากๆต่อระบบประสาทและความดันโลหิต 3.นอนหลับได้ดีขึ้น  น้ำตาลที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกาย ซึ่งไปรบกวนการนอนตอนกลางคืน การที่เรารู้สึกโหยเมื่อระดับน้ำตาลในร่างกายลดลง จะทำให้ง่วงในช่วงกลางวันและอยากงีบ นอกจากนี้ น้ำตาลยังไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระดับพลังงานและวงจรการนอนหลับแปรปรวน หลังจากงดกินน้ำตาลแล้ว คุณจะนอนหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน และรู้สึกตื่นตัวในช่วงกลางวัน 4.ความจำดีขึ้น น้ำตาลอาจเป็นสาเหตุให้ประสาทการรับรู้ทำงานไม่เต็มที่ และทำให้รู้สึกว่าสมองล้า มีงานวิจัยที่ใช้สัตว์ในการทดลอง พบว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงปิดกั้นการจดจำและการเรียนรู้ งานวิจัยยังสรุปด้วยว่า การกินน้ำตาลในปริมาณมากทำลายการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกาย ไปรบกวนความสมดุลของสารเคมีในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่อาการอ่อนล้าและการอ่อนล้าทางจิตใจ นอกจากนี้การงดน้ำตาลอย่างประสบความสำเร็จจะส่งผลดีในด้านอื่นๆด้วย เช่น รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น อีกด้วย วิธีลดน้ำตาลใน 4 สัปดาห์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น สัปดาห์ที่ 1 กินอะไรก็ได้ที่อยากกินตามปกติ แต่ลดปริมาณของหวานที่กินลง เช่น จากที่ต้องกินช็อกโกแล็ตวันละหนึ่งแท่ง ให้ลดลงมาเหลือเพียง 1/4 แท่ง ยังไม่ควรหักดิบเลิกกินอาหารหวานๆที่ชอบโดยทันที เพราะร่างกายที่เคยชินกับปริมาณน้ำตาลมากๆยังปรับตัวไม่ได้ หากงดน้ำตาลในทันทีอาจทำให้เกิดภาวะหน้ามืด เพราะน้ำตาลในเลือดต่ำฉับพลัน และจะเกิดอาการโหยหาน้ำตาลมากขึ้น จนทำให้คุณกลับมากินน้ำตาลมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก สัปดาห์ที่ 2  ตัดเมนูขนมหวานออกไปทั้งหมดรวมทั้งน้ำอัดลม และน้ำหวานที่มีน้ำตาลสูง  หากยังอยากกินหวานอยู่ให้รับประทานผลไม้แทน และไม่ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงอย่างเช่น ทุเรียน ลำไย สัปดาห์ที่ 3  เลิกกินอาหารที่มีน้ำตาลแอบแฝงอยู่ อย่างเช่น น้ำผลไม้ผสมน้ำตาล ,ขนมปัง สัปดาห์ที่ 4  กินอาหารที่มีน้ำตาลน้อยอยู่ต่อไป แต่สามารถทดแทนสมดุลของร่างกายด้วยการอนุญาตให้ตนเองรับประทานน้ำตาลได้นิดหน่อย อาจะเป็นแค่ลูกอมรสหวาน หรือกินคุกกี้สัปดาห์ละครั้ง มาถึงตรงนี้เชื่อว่า เมื่อท่านรู้ถึงโทษของการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นแล้ว หลายท่านอาจจะอยากเลิกรับประทานของหวานๆทันที แต่การลดน้ำตาลที่บริโภคลงในทันทีอาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะอาหารในชีวิตประจำวันก็มีส่วนประกอบของน้ำตาลอยู่มากมาย และบางท่านก็ติดใจรสชาติความหวานจนขาดไม่ได้ Admin worldmed จึงอยากให้ท่านค่อยๆปรับพฤติกรรมการรับประทานในแบบของตัวท่านเอง ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เชื่อว่าท่านจะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ลดน้ำตาล 1 อาทิตย์ จะเป็นอย่างไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลดน้ำตาล 1 อาทิตย์ จะเป็นอย่างไร ? Read More »