sadanon

สอนลูกให้มีความสุข ด้วยปรัชญาลากอม

สอนลูกให้มีความสุข ด้วยปรัชญาลากอม

https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/MOTHERIFE-Tips-EP.1-5-เทคนิคดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์อย่าง-healthy-strong.mp4 เมื่อคุณแม่ต้อง…ดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์ จะมีเทคนิคอย่างไรบ้างน๊า? สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สาระประโยชน์ดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips EP. แรกครับ สำหรับตอนนี้ก็ว่ากันถึงเทคนิคการดูแลตัวเองซึ่งถือเป็นข้อปฏิบัติสำคัญสำหรับการเป็นคุณแม่มือใหม่ครับ ทีมงาน Motherife หวังว่าเนื้อหาใน EP. แรกนี้และสาระใน EP. ถัดไปจะเคียงข้างคุณแม่ ร่วมเดินทางสู่พัฒนาการที่สมวัยของเจ้าตัวเล็กไปพร้อมๆกันครับ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ ดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค และนี่คือ 5 เทคนิคเบื้องต้นที่จะช่วยให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีแนวโน้มทางสุขภาพที่ดี 1.การฝากครรภ์ถือเป็นอันดับแรก หัวใจสำคัญของการ ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ คือ “การฝากครรภ์” นั่นเองครับ เพื่อที่คุณแม่จะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเข้ารับการรักษา รวมทั้งวางแผนการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยคุณแม่ควรเข้ารับการฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ครบ 12 สัปดาห์ หรือให้เร็วที่สุดตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยแพทย์จะทำการนัดหมายเพื่อตรวจครรภ์ตลอดช่วงตั้งครรภ์ ไปจนถึงวันคลอดตามความเหมาะสมและตามภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขณะตั้งครรภ์ 2.สารอาหารที่ดีมีผลต่อทารก   นอกจาก โปรตีนจาก เนื้อสัตว์ และ คาร์โบไฮเดรตจาก ข้าวไม่ขัดสีแล้ว ใยอาหาร (ขิง กล้วย มะละกอ) แคลเซียม (โยเกิร์ต ธัญพืช) ไอโอดีน กรดโฟลิค และ ธาตุเหล็ก (งา ถั่วแดง) จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีน้ำหนักที่พอดี มีการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมองอย่างสมบูรณ์ 3.พลังงานและการคุมน้ำหนัก พลังงานที่คุณแม่ควรได้รับต่อวันในแต่ละช่วงมีดังนี้ ช่วงตั้งครรภ์ 1-3 เดือนแรก ควรได้รับพลังงาน 2,050 กิโลแคลอรีต่อวัน ช่วงตั้งครรภ์เดือนที่ 4-6 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 350 กิโลแคลอรี ช่วงตั้งครรภ์เดือนที่ 7-9 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 470 กิโลแคลอรี 4.ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมได้ การออกกำลังกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะช่วยให้ปอด หัวใจ กระดูก และกล้ามเนื้อ ของคุณแม่แข็งแรง ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย คุณแม่สามารถเริ่มการออกกำลังกายได้ในช่วงหลังเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์ กิจกรรมได้แก่ การเดิน การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค การปั่นจักรยานอยู่กับที่ โยคะ เป็นต้น แต่ที่ควรงด คือ การออกกำลังกายประเภทใช้แรงเยอะ หรือเกร็งหน้าท้องที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ 5.สภาพจิตใจของคุณแม่สัมพันธ์กับสุขภาพของทารก เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์มีความเครียด สารเคมีในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทันที อาจทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยเมื่อแรกเกิด มีความเสี่ยงเป็นออทิสติก หรือบกพร่องทางภาษา รวมทั้ง มีความเสี่ยงในพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน คุณแม่สามารถเริ่มต้นจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ ควรหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ จัดบรรยากาศให้เอื้ออำนวยต่อการพักผ่อนอย่างเหมาะสม หรือ รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 (เช่นข้าวโอ๊ต) ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง จัดเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยลดอารมณ์แปรปรวนได้ดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสำคัญอีกมากมายที่คุณแม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ทั้งการฝึกฝนทักษะการปั๊มน้ำนม การจดบันทึกการดิ้น การอุ้มทารก การสร้างพลังใจเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังคลอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่ทีเดียวครับ Worldmed ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพดีและเลี้ยงทารกได้อย่างราบรื่นครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค กลับสู่หน้าหลักบทความ

สอนลูกให้มีความสุข ด้วยปรัชญาลากอม Read More »

ลูกสมาธิสั้น หรือ แค่ซน

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips ครับ หลังจากที่ผู้ปกครองหลายท่านได้ชม Ep ที่ 4 ไปครับ จะมีภาวะหนึ่งที่เรียกว่า ADHD หรือโรคสมาธิสั้นนั่นเอง โดยโรคนี้มีสัญญาณเป็นอย่างไรต่างกับพฤติกรรมซนตามวัยอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ ผ่านหัวข้อ ” ลูกสมาธิสั้น หรือ แค่ซน “ กันครับ ลูกสมาธิสั้น หรือ แค่ซน https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.17-ลูกเป็นโรคสมาธิสั้นหรือแค่ซนตามวัยกันนะ.mp4       โรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder – ADHD) คือ โรคทางพัฒนาการทางระบบประสาทที่มักส่งผลกระทบต่อเด็ก และมักแสดงอาการต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ อาการของผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้น มักมีลักษณะเฉพาะคือ สมาธิสั้น และความหุนหันพลันแล่น ซึ่งอาจรบกวนการทำงานหรือพัฒนาการในด้านต่าง ๆ โรคสมาธิสั้น จัดเป็นหนึ่งในความผิดปกติทางพัฒนาการทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลาย ๆ ด้าน เช่น อาจส่งผลต่อการเรียน ความสัมพันธ์ทางสังคม และคุณภาพชีวิต         โดยสิ่งที่บางท่านอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นก็คือ โรคสมาธิสั้นเกิดจากความตั้งใจ หรือแกล้งทำ แต่ข้อเท็จจริงคือ โรคสมาธิสั้นเกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า และสารสื่อประสาทบางตัวที่หลั่งผิดปกติทำให้สมองไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรที่ต้องใช้ความตั้งใจได้นาน เช่น การทำการบ้าน การอ่านหนังสือ ฯลฯ คนที่เป็นโรคนี้คล้ายกับรถที่ไม่มีเบรคจึงพร้อมที่จะเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลานั่นเอง 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ สังเกตพฤติกรรม 3 กลุ่มที่เป็นสัญญาณโรคสมาธิสั้น ซนมาก (Hyperactivity) ไม่มีสมาธิ (Inattention) หุนหันพลันแล่น (Implusivity) ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ โดยมักจะขยับตัวไป แม้แต่ในเวลาที่ควรอยู่กับที่ เช่น ในห้องเรียน พูดเร็ว พูดเก่ง พูดได้ต่อเนื่องไม่มีหยุด เล่นได้แบบไม่มีเหนื่อย และมักเล่นกับเพื่อนแรง บางครั้งมักจะเสียการโฟกัสจากงานนั้นได้โดยง่าย จนไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ไม่สามารถจอจ่อกับงาน หรือสิ่งใดๆได้ แม้แต่กับบทสนทนา มีอาการเหม่อลอยบ่อย ๆ ขี้ลืม มักจะลืมสิ่งของที่จำเป็น มีปัญหาในการทำงานที่ต้องมีการจัดการ เช่น งานที่มีขั้นตอนในการทำ หรือ การจัดการเวลา มักทำอะไรโดยที่ไม่ได้มีการคิดก่อนจนหลายครั้งนำมาสู่อันตราย ไม่สามารถรอคอยได้ มักจะไม่ฟังคำถาม หรือประโยคของคู่สนทนาให้จบก่อน โดยจะสวนตอบขึ้นมาเลย มักจะทำอะไรแบบไม่คิดก่อน          การเป็นโรคสมาธิสั้นนั้นไม่จำเป็นต้องมีอาการเหล่านี้ทั้งหมด ในเด็กบางคนอาจจะมีแค่อาการที่ไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อได้ หรืออาจจะมีอาการเพียงซนมาก และหุนหันพลันแล่น (ซนมาก และหุนหันพลันแล่นนั้นมักมาคู่กัน) แนวทางฝึกปฏิบัติเพื่อการดูแลเด็กๆ กลุ่มสมาธิสั้น 1.จัดตารางชีวิตของลูก ไม่ว่าจะเป็นเวลาตื่นนอน เวลาเข้านอน เวลาทานอาหาร หรือเวลาสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ โดยให้เป็นตารางเวลาที่แน่นอนในทุก ๆ วัน 2.จัดระเบียบสิ่งของที่จะต้องใช้ในแต่ละวันให้เป็นระเบียบ และอยู่ในที่เดิมเสมอ 3.มีความชัดเจน และต่อเนื่อง เพราะกฎที่มีความต่อเนื่อง และคงเดิมนั้นจะช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ และทำตามได้มากกว่าการที่เปลี่ยนสิ่งที่ตกลงกันไว้ไปมา 4.หากพวกเขาสามารถทำตามกฎ หรือสิ่งที่ตกลงกันไว้ได้ ควรให้กำลังใจ คำชม หรือรางวัลเพื่อเสริมแรงให้พวกเขามีพฤติกรรมเหล่านั้นต่อไป            โดยสรุปคือ เด็กซนไม่ใช่เด็กซนสมาธิสั้นเสมอไป เพราะการซนถือเป็นธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็ก เพียงแต่การที่ความสามารถในการคุมตัวเอง หรือติดเบรคให้กับพฤติกรรมที่พัฒนาช้ากว่าเกณฑ์ จะทำให้เด็กซนสมาธิสั้น ไม่สามารถคุมตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ จึงเกิดอาการซนในทุกที่ ซนในทุกสถานการณ์ ซนจนไม่สามารถทำงานต่างๆ ให้เสร็จตามเวลา ซนจนลืมสิ่งที่ได้มอบหมาย หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าบุตรหลานมีอาการดังกล่าว หมอแนะนำให้ไปพบคุณหมอที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอนต่อไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกสมาธิสั้น หรือ แค่ซน Read More »

อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด

อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆ สำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips เช่นเคยครับ สำหรับวันนี้จะมาไขข้อสงสัยที่คุณแม่หลังคลอดมักจะเผชิญกันครับ นั่นก็คือทำไมจู่ๆถึงมี อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด วันนี้เรามาไขคำตอบเรื่องนี้กันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.16-อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอดของคุณแม่.mp4 อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด อาการหนาวสั่นหลังคลอดเกิดจากสาเหตุใด ? อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอดเกิดจาก…… 1.จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากการที่ร่างกายเร่งผลิตฮอร์โมนจำนวนมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี้ทำให้เกิดอาการหนาวสั่นได้2.จากการสูญเสียเลือดและเสียน้ำเกลือแร่เป็นสาเหตุที่ร่างกายของอาจารย์ที่ ความแรงของกล้ามเนื้อตึงเครียดจึง เกิดอาการหนาวสั่นได้3.จากยาสลบสำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดทางหน้าท้องบัตรเครดิตลดต่ำลงเนื่องจากอาการหนาวสั่นได้ 4.จากน้ำเกลือหรือเลือดที่ร่างกายคุณแม่หลังคลอดได้รับน้ำเกลือ หรือเลือดจะเย็นกว่าอุณหภูมิในคุณแม่หลังคลอด ทำให้เกิดอาการสั่นได้ อาการตัวร้อนนั้นอาจมาจากอาการไข้หลังคลอด คุณแม่หลังคลอดอาจมีอาการไข้ ปวดหัว ตัวร้อน เกิดขึ้นได้ เป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งรักษาง่าย ไม่นานก็หาย ไม่มีอันตราย แต่ถ้าคุณแม่มีไข้พร้อมกับอาการอื่น ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคติดเชื้อรุนแรงที่จะตามมา และต้องได้รับการดูแลรักษาโดยด่วน เพราะบางอาการไข้หลังคลอดส่งผลต่อนมแม่ และการให้นมด้วย แนะวิธีปฏิบัติเมื่อมีอาการไข้หลังคลอด คุณแม่ควรมีการลุกจากที่นอน ขยับตัว ขยับขาเพื่อเข้าห้องน้ำบ่อยๆ และหมั่นกระดกข้อเท้าซ้ำๆเพื่อให้เลือดในร่างกายไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น เพราะหากเกิดการอุดตันของหลอดเลือดดำ ก็อาจเป็นสาเหตุให้มีไข้ได้นั่นเอง ดื่มน้ำเฉลี่ยวันละ 2 ลิตร เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำจากไข้ และน้ำยังจำเป็นต่อกระบวนการสร้างน้ำนมอีกด้วย คุณแม่ควรฝึกไอจากช่องท้อง เพื่อขับเสมหะที่ค้างอยู่ในหลอดลมออกมาให้หมด ในเคสคุณแม่ที่ใช้วิธีการผ่าคลอดควรใช้มือกดบริเวณแผลไว้ก่อน จากนั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆจึงค่อยไอออกมาครับ คุณแม่สามารถทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือมียาทานตามแพทย์สั่ง ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการดื้อยา ระหว่างมีไข้สามารถเช็ดตัวเพื่อให้อาการไข้บรรเทาลงได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาการร้อนๆหนาวๆหลังคลอด Read More »

ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า?

ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ ใน EP. ที่ 15 นี้ว่ากันถึงเรื่องของการร้องไห้แบบยาวนาน ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า? ดังที่คุณแม่อาจเคยได้ยินหรือเคยเห็นในสื่อโซเชียล กรณีของเด็กที่ร้องไห้ยาวนานในที่สาธารณะ วันนี้เรามาทำความรู้จักและเข้าใจอาการการนี้ไปพร้อมๆกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.15-ลูกร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า.mp4 ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า? คุณแม่สามารถสังเกตปฏิกิริยาของอาการโคลิคได้ดังต่อไปนี้ 1.ทารกจะร้องไห้ขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุและการร้องไห้นั้นอาจใช้เวลานานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันและร้องไห้อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์รวมทั้งร้องไห้ในลักษณะนี้ติดต่อกันได้นานถึง 3 สัปดาห์เลยที 2.นอกจากการร้องไห้แล้วระหว่างนั้น ทารกอาจแสดงอาการเหมือนเจ็บป่วยทางกายอาจมี เช่น กำหมัด แอ่นหลังขึ้นและยกเข่าขึ้นมาชิดหน้าท้อง และหากสังเกตดีๆทารกเวลาร้องไห้เค้าจะหน้าแดงจนสังเกตได้ครับ ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ ของอาการ “โคลิค” ได้แก่ 1.สิ่งเร้าและสภาพแวดล้อม : เนื่องจากร่างกายของเด็กทารกนั้นยังใหม่กับสภาพแวดล้อมทำให้ในบางครั้งอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมหรือสิ่งเร้าต่างๆ เช่น แสง สี เสียง หรืออากาศ จึงทำให้เด็กทารกมีความไวต่อสิ่งเร้าและไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จนร้องไห้แลไม่สามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากทารกมีความคับข้องใจแบบปกติการร้องไห้จะใช้เวลาราวๆ 30 นาทีหรือน้อยกว่าเท่านั้น 2.ร่างกายของเด็กที่มีความไวต่อระบบย่อยอาหาร : ทารกนั้นยังใหม่กับอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารหรือกระเพาะอาหารย่อยได้ไม่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำให้ทารกเกิดอาการไม่สบายท้องแล้วตอบสนองต่อความไม่สบายทางการออกมานั่นเองครับ 3.การแพ้อาหาร : การแพ้อาหารเกิดได้เช่น การแพ้นมวัว หรือการย่อยแลคโตสผิดปกติ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่านี่อาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดอาการโคลิค แล้วจะรับมือกับอาการโคลิคอย่างไร ? 1.หมั่นจับลูกเรอ หลังให้นมเสร็จ และการให้นมควรให้ในท่าเอียงหรือตั้งขึ้น เพื่อที่จะสามารถทำให้น้ำนมไหลลงกระเพาะได้ง่าย ลดอากาศที่จะผ่านเข้าไปสู่ท้องจนทำให้เกิดความไม่สบายท้องได้ 2.ระหว่างที่ลูกร้องไห้ให้อุ้มลูกชิดกับหน้าอก เพื่อให้เค้าได้ยินเสียงเต้นของหัวใจคุณพ่อคุณแม่ 3.ใช้การอาบน้ำอุ่นและนวด เพื่อสร้างความผ่อนคลาย 4.จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ ลดสิ่งเร้าอย่างแสงไฟที่แยงตา หรือลมที่เย็นเกินไป เป็นต้น 5.ให้เค้าดื่มนมแม่เป็นหลักตลอด 6 เดือนแรก เพราะนมแม่จะมีคุณสมบัติที่ย่อยง่ายนั่นเอง สรุปแล้วโคลิคไม่ใช่อาการร้ายแรง และสามารถหายไปเองตามธรรมชาติ แต่สิ่งสำคัญในฐานะคุณพ่อ คุณแม่ การให้เค้าได้รับการตรวจสุขภาพหรือการหมั่นสังเกตอาการป่วยของเด็กๆนั้นเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะภาวะสุขภาพที่เด็กๆเผชิญอยู่อาจไม่ใช่อาการโคลิคแต่อาจเป็นความเจ็บป่วยจากโรคอื่นก็เป็นได้ครับ Motherife ขอเป็นอีก 1 กำลังใจให้กับคุณพ่อ คุณแม่ และ เด็กๆ ในการก้าวผ่านทุกการเติบโต ทุกภาวะสุขภาพครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกร้องไห้ไม่หยุด แบบนี้ใช่อาการโคลิครึเปล่า? Read More »

จัดท่านอนลูก อย่างไรให้ปลอดภัย?

จัดท่านอนลูก อย่างไรให้ปลอดภัย?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับ Ep.ที่ 14 ว่าด้วยเรื่องของการ จัดท่านอนลูก อย่างไรให้ปลอดภัย? เพราะหากจัดท่านอนไม่ถูกต้องตามหลักสรีระวิทยาหรือไม่คำนึงถึงกายภาพของลูกน้อยก็อาจไม่ปลอดภัยสำหรับทารกขณะนอนหลับได้ครับ วันนี้เราจึงจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดท่านอนของเด็กวัยแรกเกิดจนถึง 1 ปีกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.14-จัดท่านอนอย่างไร-ปลอดภัยสำหรับเบบี๋.mp4 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ ดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค วิธีการ จัดท่านอนลูก ช่วงขวบปีแรก แรกเกิด – 3 เดือน         คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูก “นอนตะแคงหรือนอนหงาย”  เพราะเป็นท่าที่เหมาะกับพัฒนาการของเด็กที่กล้ามเนื้อคอยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก เด็กวัยนี้ทำได้เพียงแค่หันซ้ายและขวา ซึ่งท่านี้ลูกจะสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัว และเป็นการฝึกการมองเห็นไปในตัว ที่สำคัญคือไม่ควรให้เด็กวัยนี้นอนคว่ำ เพราะเสี่ยงกับโรค SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรืออาการหลับไม่ตื่นในเด็กทารก อายุ 4-6 เดือน เด็กวัยนี้เหมาะกับ ท่านอนคว่ำหันหน้าไปด้านข้าง     เพราะกล้ามเนื้อคอเริ่มแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ลูกสามารถชันคอและยกศีรษะได้บ้างแล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกใช้ที่นอนและหมอนที่ไม่นุ่ม ไม่ยวบจนเกินไปเพื่อไม่ให้ปิดกั้นทางเดินหายใจของลูกนั่นเอง ช่วงทารกอายุ 7-12 เดือน ทารกวัยนี้สามารถนอนได้ทั้ง ท่านอนคว่ำ ท่านอนหงาย หรือท่านอนตะแคง เพราะร่างกายค่อนข้างแข็งแรง และสามารถขยับร่างกายพลิกตัวเองได้ แต่ต้องคำนึงถึงการจัดท่านอนให้ถูกหลักสรีระ และจัดที่นอนให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดหรือบาดเจ็บได้ ส่วนของที่นอนควรมีราวและซี่กันเด็กตก เบาะและที่นอนพอดีกับเตียงไม่มีช่องว่าง มุมเสาเรียบป้องกันเด็กนอนดิ้นไปกระแทก และจากขอบบนที่นอนถึงราวกันตกควรมีความสูงไม่ต่ำกว่า 65 ซม. โดยรวมแล้ว ท่านอนเด็กแรกเกิดในช่วงนี้ไม่ได้มีอะไรน่ากังวลมากนัก เพียงแต่ต้องเลือกที่นอนเด็กให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัย เพราะเด็กเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ข้อควรระวังเกี่ยวกับเรื่องการนอนของลูก ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : จัดท่านอนลูก อย่างไรให้ปลอดภัย? กลับสู่หน้าหลักบทความ

จัดท่านอนลูก อย่างไรให้ปลอดภัย? Read More »

อาหารเสริมเด็ก จำเป็นหรือไม่?

อาหารเสริมเด็ก จำเป็นหรือไม่?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับ Ep.ที่ 13 นี้ว่ากันด้วยเรื่องของอาหารเสริมครับ พูดถึงอาหารเสริมหลายท่านก็นึกถึงอาหารเสริมสำหรับผู้ใหญ่ที่จะช่วยเสริมโภชนาการต่างๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงใช่หรือไม่ครับ แล้วสำหรับทารกนั้น อาหารเสริมเด็ก จำเป็นหรือไม่? แล้วมีสารอาหารเสริมใดจำเป็นกับทารกบ้าง ? วันนี้เรามาไขคำตอบกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.13-อาหารเสริมสำหรับเด็กจำเป็นจริงรึเปล่า.mp4 ทำความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการเสริม อาหารเสริมสำหรับเด็ก อาหารเสริมสำหรับเด็กและทารกคืออะไร ?          อาหารเสริมสำหรับเด็กและทารก คือกลุ่มอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินต่างๆที่ทารกจำเป็นต้องได้รับเพิ่มเติมนอกเหนือจากน้ำนมแม่ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเด็กนั้นยังเล็กและกินนมแม่อยู่ ทารกนั้นก็ยังไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมใดๆ เนื่องจากน้ำนมแม่นั้นมีสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกอยู่แล้ว แต่เรื่องของสุขภาพก็เป็นเรื่องที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล สำหรับเด็กๆในกลุ่มที่แพทย์วนิจฉัยว่ามีโอกาสเสี่ยงขาดสารอาหาร กรณีนี้แพทย์จึงจะมีความเห็นมีการให้อาหารเสริมสำหรับเด็กๆครับวิตามินดี : วิตามินดีสำหรับเด็กนั้นจำเป็นมากสำหรับการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยส่วนมากแล้วในน้ำนมแม่มักจะมีวิตามินดีในปริมาณที่น้อย ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของทารกแพทย์จึงแนะนำให้ทารกนั้นได้รับวิตามินดีเสริมให้ได้ราว 400 I.U. ( 20 มิลลิกรัม ) ต่อวัน ในรูปของอาหารเสริม  โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วง 2-3 วันหลังคลอดธาตุเหล็ก(fe) : ธาตุเหล็กมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดให้แข็งแรง และให้ผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง นอกจากนี้แพทย์อาจมีความเห็นให้เสริมธาตุเหล็กในทารกเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางอีกด้วยครับวิตามินซี : วิตามินที่จะมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันและยังทำหน้าที่สำคัญอย่างการดูดซึมธาตุเหล็กอีกด้วยครับวิตามินเอ : วิตามินที่จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพดวงตา และช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันเช่นกันครับ กลุ่มวิตามินสำหรับเด็กที่แพทย์มักจะแนะนำให้ทานเสริมสำหรับทารก (กรณีที่ต้องเสริมเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร) วิตามินดี : วิตามินดีสำหรับเด็กนั้นจำเป็นมากสำหรับการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยส่วนมากแล้วในน้ำนมแม่มักจะมีวิตามินดีในปริมาณที่น้อย ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของทารกแพทย์จึงแนะนำให้ทารกนั้นได้รับวิตามินดีเสริมให้ได้ราว 400 I.U. ( 20 มิลลิกรัม ) ต่อวัน ในรูปของอาหารเสริม  โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วง 2-3 วันหลังคลอด ธาตุเหล็ก(fe) : ธาตุเหล็กมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดให้แข็งแรง และให้ผลดีต่อพัฒนาการทางสมอง นอกจากนี้แพทย์อาจมีความเห็นให้เสริมธาตุเหล็กในทารกเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางอีกด้วยครับ วิตามินซี : วิตามินที่จะมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันและยังทำหน้าที่สำคัญอย่างการดูดซึมธาตุเหล็กอีกด้วยครับ วิตามินเอ : วิตามินที่จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพดวงตา และช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันเช่นกันครับ มาถึงคำถามสำคัญเลยก็คือ จริงๆแล้วเด็กๆนั้นต้องได้รับการเสริมโภชนาการด้วยอาหารเสริมหรือไม่ ? คำตอบคือ  ส่วนใหญ่ “ยังไม่จำเป็น” ครับ ย้ำว่าส่วนใหญ่ครับ เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกทารกจะรับสารอาหารหลักจากน้ำนมแม่จึงเพียงพอต่อความต้องการแล้ว……แต่ หากภาวะขาดสารอาหารเกิดขึ้นกับคุณแม่ก็เป็นไปได้ว่าลูกซึ่งรับน้ำนมเป็นมื้อหลักก็มีแนวโน้มขาดสารอาหารเช่นกัน อย่างนั้นแล้วแพทย์จะทำการวินิจฉัยและให้คำแนะนำสำหรับการเสริมโภชนาการสำหรับคุณแม่และทารกต่อไปครับ และสิ่งที่ต้องคำนึงทุกครั้งก่อนซื้ออาหารเสริมทุกชนิด เราควรมั่นใจได้ว่าอาหารเสริมนั้นได้รับการรับรองมาตรฐานด้ายอาหาร หรือมีส่วนประกอบใดเกินมาตรฐานกำหนดหรือไม่ เพราะหากได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินความจำเป็นก็อาจจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดีครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารเสริมเด็ก จำเป็นหรือไม่? กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารเสริมเด็ก จำเป็นหรือไม่? Read More »

เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย

เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆ สำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ MOTHERIFE TIPs กันอีกเช่นเคยครับ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเคยสังเกตว่า ลูกมักจะเล่นน้ำลาย เล่นเป่าปาก และพยายามส่งเสียงออกมา จนทำให้เกิดความสงสัยว่า เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย เป็นสัญญาณบ่งบอกอะไร เป็นเรื่องน่ากังวลและจะส่งผลต่อพัฒนาการรึเปล่า วันนี้เรามาติดตามเรื่องนี้ไปพร้อมกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.12-เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย.mp4 เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย ลูกเล่นน้ำลาย รับมืออย่างไรและจะติดเป็นนิสัยรึเปล่า ?             เมื่อลูกน้อยค่อยๆเติบโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจเกิดความกังวลใจกับพฤติกกรรมที่ลูกมักจะเล่นน้ำลาย หรือเล่นเสียง และประกอบกับการเป่าน้ำลายอยู่บ่อยๆ จนคุณพ่อคุณแม่กลัวจะเป็นพฤติกรรมติดตัวไปจนกระทั้งเค้าเติบโต คำถามคือจำเป็นต้องหยุดยั้งพฤติกรรมนี้หรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่จำเป็นครับ” เพราะนี่เป็นการที่ลูกกำลังหัดพูด และหัดสื่อสารนั่นเองครับ สังเกตง่ายๆคือ เมื่อเค้ามีอายุ 1-4 เดือน ลูกน้อยก็จะเริ่มเริ่มทำเสียงในคอ และพอเข้าสู่เดือนที่ 5 เดือน เค้าจะพยายามเล่นน้ำลาย ส่งเสียงหลายโทนเสียงมากยิ่งขึ้น ยิ่งคุณพ่อคุณแม่เล่นน้ำลายกับลูก ทำเสียงต่าง ๆ ลูกก็จะเลียนแบบและเรียนรู้ได้ไวขึ้นครับ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อพัฒนาการทางภาษาและการพูดของลูก และนอกจากพัฒนาการด้านการพูดแล้ว การเล่นน้ำลายยังช่วยเสริมสร้างขากรรไกรและริมฝีปากให้แข็งแรง ช่วยในการรับประทานอาหารและสามารถปิดปากเพื่อป้องกันอาหารและน้ำหกออกจากปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามครับ หากลูกมีอายุ 8 เดือน-1ปีแล้ว ยังไม่สามารถทำเสียงใดๆ หรือไม่มีพฤติกรรมการเล่นน้ำลายเลยแม้แต่น้อย หนึ่งในสาเหตุนั้นอาจมาจาก การเป็นออทิสติกเทียมก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นครับ สิ่งสำคัญคือการตอบสนองต่อพฤติกรรมทางสังคมกับลูกบ่อยๆ และหากมีความผิดปกติด้านพฤติกรรมก็ควรเร่งพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยนะครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย กลับสู่หน้าหลักบทความ

เมื่อลูกน้อยเล่นน้ำลาย Read More »

อาหารที่แม่ลูกอ่อน ควรเลี่ยง!

อาหารที่แม่ลูกอ่อน ควรเลี่ยง!

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้ว่าด้วยเรื่องของ อาหารที่แม่ลูกอ่อน ควรเลี่ยง! หากอาหารที่คุณแม่เลือกทานมีประโยชน์ แน่นอนครับว่าจะส่งผลดีต่อพัฒนาการที่เหมาะสมของเจ้าตัวเล็กครับ แต่ในทางตรงกันข้ามครับ อาหารบางชนิดอาหารอาจส่งผล ต่อพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กได้ครับหากเผลอรับประทานเข้าไปไม่ว่าจะมากหรือน้อย วันนี้มารับชมสาระในประเด็นนี้ไปพร้อมๆกันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.11-7-กลุ่มอาหารควรเลี่ยงสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร.mp4 อาหารที่คุณแม่ให้นมบุตรควรเลี่ยง มีดังนี้ 1.อาหารดิบ       อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก อาจทำให้คุณแม่เกิดภาวะติดเชื้อตามมาและมีอาการท้องเสียจากภาวะอาหารเป็นพิษได้ครับ ตรงนี้คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงครับ2.อาหารทะเล       กลุ่มอาหารทะเลไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารจะพวกนี้ครับอาจมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อพัฒนาการทางระบบประสาทส่วนกลางของเด็กได้ นั่นอาจส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการที่ล่าช้าและผิดปกติได้3.ขนม ของหวาน ของทอด ของมัน        เชื่อว่าคุณแม่บางท่านอาจจะชื่นชอบรับประทาน นั่นคือ ขนมและของหวานนั่นเอง อาหารจำพวกของหวาน ของมันอาจทำให้ท่อน้ำนมของคุณแม่อุดตันได้ ซึ่งการงดอาหารหวาน อาหารมันต่างๆ จะช่วยในเรื่องของสุขภาพโดยรวมของคุณแม่ไม่ว่าเป็นการป้องกันการเกิดเบาหวานและโรคอ้วน ส่วนนี้จะช่วยได้ทั้งตัวคุณแม่เองและลูกน้อยเลยจ้า4.ผลไม้รสเปรี้ยว        ข้อนี้ไม่หลายท่านอาจจะไม่ทราบ เพราะการทานผลไม้รสเปรี้ยวนั้น อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนังเนื่องจากความเป็นกรดในผลไม้นั่นเอง รวมไปถึงอาการจุกเสียดต่างๆ ทำให้ไม่สบายตัว ด้วยเหตุนั้น ช่วงนี้คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการทานผลไม้รสเปรี้ยวไปก่อนนะครับ 5.ชา กาแฟ (มีคาเฟอีน)        เครื่องดื่มที่ไม่ควรทานเลย นั่นก็คือ ชาและกาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลัง ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูง และที่มีคาเฟอีนซึ่งมีสารที่สามารถสะสมอยู่ในร่างกายนานถึง 5-7 ชั่วโมง หากทารกได้รับคาเฟอีนผ่านทางน้ำนมก็จะส่งผลให้นอนหลับได้ยากแล้วมีอาการกระวนกระวายตลอดคืนเลย 6.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์        หากคุณแม่เผลอดื่มแอลกอฮอล์แม้ปริมาณไม่มากเพียง 1-2 แก้ว อาจใช้เวลานานถึง 1-2 ชั่วโมง จึงจะเริ่มให้ลูกดื่มนมได้อีกครั้ง ดังนั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์เป็นดีที่สุดครับ เพื่อพัฒนาการที่ทางด้านสมองของลูกและสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนของคุณแม่เองครับ 7.นมวัว        เด็กบางคนนั้นอาจมีอาการแพ้นมวัวได้ครับ เพราะในนมวัวนั้นมีสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ การได้รับนมวัวผ่านทางน้ำนมแม่ก็จะมีผลทำให้เด็กแพ้นมวัวไปด้วยนั่นเอง        นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวกแล้ว การนอนหลับพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันครับ คุณแม่ควรนอนหลับให้ได้รวมแล้วอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ในเวลากลางคืน และหลับอีกประมาณ 1 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน แต่ในขณะให้นมควรระวังอย่าหลับนะครับ เพราะเต้านมอาจปิดจมูกของลูกจนหายใจไม่ออกได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารที่แม่ลูกอ่อน ควรเลี่ยง! กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารที่แม่ลูกอ่อน ควรเลี่ยง! Read More »

ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก

ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก

สวัสดีคุณแม่ทุกท่านครับกลับมาพบกับสาระสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife TIPs ใน Ep.10 กันครับ จาก ep ก่อนๆ ที่ Motherife ได้เสนอสาระว่าด้วยเรื่องของการปั๊มน้ำนมของคุณแม่ หลังจากนั้นจึงมีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงมีความสงสัยว่า ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก ควรจะได้รับในปริมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสม เนื่องจากความต้องการนมของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน ตามตัวแปรด้านอายุและน้ำหนัก รวมถึงลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน วันนี้ motherife จึงถือโอกาสนี้ในการแชร์สาระที่เป็นประโยชน์นี้แก่คุณแม่ทุกท่านครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.10-ทารกแรกเกิดถึง1ปีต้องการดื่มน้ำนมเท่าไหร่กันนะ.mp4 ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก ปริมาณการให้นมลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ขวบนั้น ลูกจะต้องทานนมเท่าไรจึงจะอิ่มพอดี เริ่มที่ ช่วงแรกเกิด – 1 วัน           องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ว่าควรให้นมแก่เจ้าตัวเล็กทันที ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และควรให้นมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก เมื่อหนูน้อยลืมตาดูโลก กลุ่มน้ำนมกลุ่มแรกที่เค้าต้องการจะอยู่ที่เพียงแค่ 1 ช้อนชา หรือ 5 ซีซี ต่อมื้อเท่านั้น โดยความถี่อยู่ที่ 8-10 ครั้ง/วัน เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีการปรับตัวหลังคลอดเป็นอย่างมากของทั้งลูกน้อยและคุณแม่    โดยในวันแรกๆ นั้นการสร้างน้ำนมของคุณแม่จะยังไม่มาก แต่คุณไม่ต้องกังวลนะครับ เจ้าตัวเล็กเองก็ใจตรงกัน นั่นก็เพราะว่าขนาดกระเพาะอาหารของลูกน้อยในวัยนี้ จะต้องการนมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การพยายามให้ลูกดูดบ่อย ๆ ในทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นการผลิตน้ำนมให้เพิ่มขึ้นสำหรับในวันถัดไปนั่นเอง ทารกแรกเกิด-1 เดือน ตรงนี้มีสูตรคำนวณปริมาณความต้องการน้ำนม นั่นก็คือ น้ำหนักของทารก คูณ 150 ซีซี หารด้วย 30 ตัวอย่างเช่น ทารกแรกเกิดน้ำหนัก 3 กก. คำนวณได้คือ (3×150) หาร 30 = 15 ออนซ์ หรือ ปริมาณ 450 ซีซี/วัน เป็นปริมาณออนซ์ของนมที่ต้องใช้ใน 1 วัน (1 ออนซ์เท่ากับ 30 ซีซี) แบ่งให้ทานกี่มื้อ ให้เอาจำนวนมื้อมาหาร เช่น 1 วัน ให้ลูกกิน 6 มื้อ ก็จะได้ 15 ÷ 6 เท่ากับ 2.5 ออนซ์/มื้อ มีข้อแนะนำสำหรับช่วงนี้ว่าคุณแม่ ควรให้ลูกกินจากเต้าอย่างเดียว เพื่อป้องกันปัญหาลูกสับสนจุกนมหัวเต้านมแม่ครับ เข้าสู่ช่วง 1-6 เดือน ใช้สูตรคำนวณ คือ น้ำหนักทารก (กก.) คูณ 120 ซีซี หารด้วย 30 ตัวอย่างเช่น ลูกอายุ 4 เดือน น้ำหนัก 6 กก. คำนวณได้คือ (6×120) หาร 30 = 24 ออนซ์ เป็นปริมาณออนซ์ของนมที่ต้องใช้ใน 1 วัน (ยังใช้สูตรชม.ละออนซ์ ได้เหมือนเดิม) หรือถ้าลูกกิน 8 มื้อ ก็จะได้ 24 ÷ 8 เท่ากับให้ลูกกินนมประมาณมื้อละ 3 ออนซ์ ทารกเข้าสู่ 6-12 เดือน ช่วงอายุนี้เมื่อเด็กเข้าสู่รอยต่อระกว่างเดือนที่ 5-6 เด็กส่วนใหญ่ จะกินน้อยลงอีก เพราะจะเริ่มห่วงเล่น ตัวเลขโดยเฉลี่ยคือจะกิน 24 ออนซ์ และบวกลบ 4 ออนซ์ ช่วงนี้ น้ำหนักเค้าจะขึ้นเดือนราวๆละ 4 ขีด สูตรคำนวณ 6-12 เดือน คือ น้ำหนักทารก (กก.) คูณ 110 ซีซี หารด้วย 30 ตัวอย่างเช่น ลูกอายุ 6 เดือน น้ำหนัก 6.5 กก. คำนวณได้คือ (6.5X110) = 715 ÷ 30 เท่ากับ 23.83 ให้ปัดเป็น 24 ออนซ์/วัน เหมือนเดิม แต่ที่จะเพิ่มก็คือ คือ ข้าว 1 มื้อ มื้อละ 5-8 ช้อนโต๊ะสำหรับเด็ก 6 เดือน ข้าว 2 มื้อ สำหรับเด็ก 9 เดือน ข้าว 3 มื้อ สำหรับเด็ก 12 เดือน เมื่อลูกมีอายุ 1 ขวบขึ้นไป ข้าวจะเป็นอาหารหลัก ส่วนนมจะลดบทบาทเป็นเพียงอาหารเสริม เด็กช่วงนี้จะต้องการแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม วันละ 500 มก. หรือเทียบเท่ากับนมปริมาณ 500 ซีซี โดยสามารถกินนมแม่ได้จนกว่าฟันแท้จะขึ้น         นอกจากการคำนวณปริมาณน้ำนมที่ลูกควรได้รับแล้ว สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ในทุกเดือน เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชัดเจนที่สุดที่จะบอกว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมในปริมาณที่เพียงพอหรือไม่ โดยผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า ช่วง 4 เดือนแรกของชีวิตนั้นน้ำหนักตัวของทารก จะเพิ่มขึ้นราว 600-1,200 กรัมต่อเดือน หลังจากนั้นจะขึ้นวันละ ประมาณ 20 กรัม แต่หากน้ำหนักตัวขึ้นไม่ถึง    600 กรัมต่อเดือนจะถือว่าน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ ตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก กลับสู่หน้าหลักบทความ

ปริมาณน้ำนม ที่ทารกต้องการ ช่วงขวบปีแรก Read More »

วิธีสต็อคน้ำนมแม่ อย่างมีประสิทธิภาพ

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านค่ะ ^^ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips EP. ที่ 9 กันแล้วนะค๊ะ วันนี้เป็นเรื่องราวของ น้ำนมแม่ เนื่องจากน้ำนมแม่มีสารอาหารที่ค่อนข้างครบถ้วน มีความสำคัญอย่างยิ่งกับเด็กวัยแรกเกิด ช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่สมบูรณ์ และสำหรับคุณแม่ เวลาต้องออกไปทำงานนอกบ้านแล้วต้องปั๊มน้ำนมเก็บไว้ วันนี้เรามาเผยขั้นตอนและ วิธีสต็อคน้ำนมแม่ อย่างมีประสิทธิภาพ กันค่ะ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.9-มาสต็อคน้ำนมแม่อย่างมีประสิทธิภาพ.mp4 วิธีการเก็บน้ำนมแม่ที่ง่ายที่สุดและสะดวกมั่นใจได้มากที่สุดนั่นก็คือการเก็บไว้ในตู้เย็น การเก็บน้ำนมที่ปั๊มแล้วไว้ในช่องต่างๆในตู้เย็น สำหรับช่องธรรมดาที่ไม่มีของอื่นปะปนอยู่เลยจะเก็บได้ราวๆ 5 วัน ถ้าเก็บในช่องธรรมดาที่มีของอื่นปะปนอยู่ด้วยก็จะเก็บได้ราวๆ 2-3 วัน (72 ชั่วโมง)หากเก็บไว้ในช่องแช่แข็งถ้าเก็บได้ประมาณ 2 สัปดาห์แต่ถ้าบ้านไหนมีตู้เย็นแบบประตูช่องแช่แข็งแยกจากประตูใหญ่แล้วก็จะเก็บไว้ได้นานถึง 3 เดือนกรณีฉุกเฉิน คุณแม่สามารถใช้กระติกน้ำแข็งทดแทนได้จ้า สต็อคน้ำนม อย่างเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้ดังนี้ 1.ภาชนะทุกชนิดที่นำมาใช้คนผ่านการฆ่าเชื้อทุกครั้ง โดยแนะนำให้ใช้ถุงเก็บน้ำนมโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะทำให้น้ำนมแข็งเร็วแล้ว การละลายยังทำได้ง่ายและรวดเร็วอีกด้วย แต่สำหรับภาชนะที่เป็นแก้วนั้นหลังจากนั้นไม่แนะนำครับนั่นเพราะเซลล์เม็ดเลือดขาวในน้ำนมแม่ที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันการการติดเชื้อนั้นอาจจะติดอยู่กับแก้วที่ใช้เป็นภาชนะได้ 2.คุณแม่ควรติดฉลากที่หน้าถุงเก็บน้ำนมคุณแม่ทุกครั้ง โดยเขียนกำกับด้วยว่าน้ำนมปั๊มวันที่เท่าไหร่ เวลาอะไรเพื่อให้ง่ายต่อการนำมาใช้ เพื่อให้การเก็บรักษาน้ำนมเป็นไปตามระบบนั่นเอง 3.ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการปั๊มน้ำนม รวมถึงอุปกรณ์ทุกอย่างที่นำมาใช้จะต้องสะอาดอยู่เสมอเพื่อป้องกันแบคทีเรียจากปนเปื้อนเข้ามาในน้ำนมได้ 4.หากคุณแม่ต้องการแช่แข็งน้ำนมที่ปั๊มควรทำทันทีหลังจากที่ปั๊มนมเสร็จแล้ว นอกจากนั้นคุณแม่ไม่ควรปั๊มจนเต็มถุงควรเหลือพื้นที่ว่าเอาไว้นิดนึงเพราะเมื่อแช่แข็งแล้ว น้ำนมจะขยายตัวมากขึ้นอาจทำให้หกเลอะเทอะได้จ้า 5.น้ำนมแม่ที่แช่แข็งไว้นั้นหากต้องการนำมาใช้ ให้ทำการละลายด้วยการแช่ในตู้เย็นปกติประมาณ 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำมาแช่ในน้ำอุ่น ก่อนนำมาให้ลูกรับประทาน สิ่งที่คุณคำนึงคือ “ไม่ควรนำไปอุ่นด้วยไมโครเวฟหรือละลายในน้ำร้อนจัด” เพราะจะเป็นการทำลายเซลล์ที่มีชีวิตที่อยู่ในน้ำนมแม่นั่นเอง 6.ไม่ควรปล่อยให้น้ำนมแช่แข็งละลายเองที่อุณหภูมิห้องหากคุณแม่ลืมแล้วต้องการให้ละลายเร็ว ให้แช่ในน้ำธรรมดาในอุณหภูมิปกติแล้วเปลี่ยนเป็นแช่น้ำอุ่นอีกทีนึงก็เป็นที่เรียบร้อยจ้า 7.หากคุณแม่มีแผนใช้น้ำนมภายใน 8 วันหลังจากการปั๊ม คุณแม่ไม่จำเป็นต้องแช่แข็งน้ำนม โดยให้แช่น้ำนมในตู้เย็นช่องปกติก็เพียงพอ เพราะถ้าต้องการแช่แข็งนั้นควรจะ แช่แข็งภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังจากการปั๊มออกมานั่นเอง ข้อควรรู้เกี่ยวกับน้ำนม 1.น้ำนมแม่ที่แช่แข็งไว้เมื่อไหร่แล้วนั้นยังสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 24 ชั่วโมง 2.ไม่ควรนำนมแช่แข็งที่ละลายแล้วกลับเข้าไปแช่แข็งอีกนะครับ 3.น้ำนมแม่ที่ละลายแล้วนั้นหากลืมวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไป มีข้อแนะนำว่าให้คุณแม่ทิ้ง ไม่ควรนำกลับมาให้ทารกบริโภค 4.น้ำนมแม่ที่ละลายแล้ว หากมีกลิ่นหืนยังถือว่าปกติ แต่ถ้าหากมีกลิ่นรุนแรง มีรสเปรี้ยวแสดงว่าน้ำนมนั้นเสียไปแล้ว สำหรับวิธีลดกลิ่นหืนในน้ำนมนั้นก็คือ เวลาคุณแม่ปั๊มน้ำนมใส่ถุงให้คุณแม่พยายามไล่อากาศออกจากถุงให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะแช่เย็น และในส่วนการจัดวางถุงน้ำนมนั้น ควรวางเรียงถุงน้ำนมในแนวนอนราบจะดีที่สุดจ้า ^^ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : วิธีสต็อคน้ำนมแม่ อย่างมีประสิทธิภาพ กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีสต็อคน้ำนมแม่ อย่างมีประสิทธิภาพ Read More »