sadanon

วิธีดูแลช่องปากลูกน้อย

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆกับ motherife tips ep ที่ 8 กันแล้วนะครับ เรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันนั้นสำคัญกับเด็กๆค่อนข้างมากครับเพราะหากปล่อยปละละเลยอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อหรือและส่งผลต่อสุขภาพเหงือกและฟันเรื้อรังได้ครับ motherife จึงนำ 12 วิธีดูแลช่องปากลูกน้อย มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันครับ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.8-12ทริคดูแลช่องปากเจ้าตัวเล็กตั้งแต่เริ่มต้น.mp4 วิธีดูแลช่องปากลูกน้อย และวิธีการต่อไปนี้จะช่วยให้เด็กๆมีสุขภาพช่องปากที่ดี 1.เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี ไม่ควรดูดนมจนหลับคาเต้าหรือขวดนม เน้นการกระตุ้นให้ดืมจนอิ่มและคายปากจากนมก่อนครับ2.ควรให้เลิกดื่มนมมื้อดึก เมื่อลูกเข้าสู่เดือนที่ 6 -11 เพราะหากการนอนของลูกไม่ต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต และหากมีน้ำนมค้างอยู่ในช่องปากลูกตลอดคืน ก็ยังเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุอีกด้วยครับ3.เลิกนมขวดตอนอายุ 12-18 เดือน และไม่ควรเกิน 2 ขวบ โดยให้ดื่มนมแม่ นมพาสเจอร์ไรซ์ UHT ที่บรรจุแก้วหรือกล่อง แทนขวดนม เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาของเด็กที่ติดนมขวบแล้วไม่ยอมเลิกครับ4.เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้นจนอายุ 3 ขวบ ผู้ปกครองควรแปรงฟันให้เด็กโดยใส่ยาสีฟันแค่พอเปียกขนแปรงเท่านั้น และเช็ดฟองยาสีฟันออกหลังแปรงฟันด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด5.การแปรงฟันของ เด็กอายุ 3-6 ขวบ ควรใส่ยาสีฟันเท่าเมล็ดถั่วเขียว ให้เด็กแปรงฟันด้วยตนเองก่อน และผู้ปกครองช่วยแปรงฟันซ้ำอีกครั้งครับ6.ท่าแปรงฟันให้เด็ก คือ ให้เด็กนั่งหรือนอน โดยหงายศีรษะวางบนตักของผู้ปกครอง และใช้โคมไฟช่วยส่องให้มองเห็นภายในช่องปากำได้ชัดเจนครับ 7.เด็กอายุ 6-12 ขวบ สามารถแปรงฟันเองได้ โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจซ้ำอีกครั้ง8.เด็กอายุ 6-12 ปี สมารถแปรงฟันเองได้เหมือนผู้ใหญ่ สามารถฝึกให้เค้าเลือกแปรงสีฟันที่เข้ากับลักษณะช่องปากของตนเองได้อย่างเหมาะสมครับ9.ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เพื่อช่วยลดคราบอาหารที่ติดฟันและทำให้พลูออไรด์ในยาสีฟันเข้าสู่ผิวฟันได้ดีขึ้น10.งดรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำหลังแปรงฟันครึ่งชั่วโมงพื่อให้ฟลูออไรด์ทำงานป้องกันฟันผุได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ11.หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยวที่เหนียวติดฟัน มีรสหวานจัด เค็มจัดควรเป็นขนมหรือผลไม้ที่มีใยอาหารสูง มีแร่ธาตุอาหารต่าง ๆ12.ฟลูออไรด์ที่เหมาะสมในยาสีฟันอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 1,500 ppm ไม่ว่าเด็กจะได้รับฟลูออไรด์ผ่านการแปรงฟันหรือกลืนยาสีฟันลงไปก็ตาม อาจทำให้ร่างกายสะสมฟลูออไรด์มากเกินไปจนฟันตกกระ เนื้อฟันเป็นจุดสีขาว เหลืองเข้ม หรือสีน้ำตาลเข้ม และนำมาสู่ปัญหาฟันเปราะหรือแตกง่าย หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันสมุนไพร เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้สำหรับเด็กบางคนได้ นอกจาก 12 ข้อนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เมื่ออายุ 2-3 ปี และนัดตรวจฟันทุก 6 เดือน เพื่อสุขอานามัยที่ดีอย่างยั่งยืนคร้าบ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : วิธีดูแลช่องปากลูกน้อย กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีดูแลช่องปากลูกน้อย Read More »

กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า

กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านค่ะ กลับมาพบกับสาระประโยชน์ดีๆด้านสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips ใน Ep.7 สำหรับวันนี้เป็นขอสงสัยของคุณแม่หลายท่านว่าหากเจ้าตัวเล็ก ” กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า ” โดยการอึ๊ของลูกน้อย เชื่อว่าหลายบ้านก็เคยประสบพบเจอปัญหาลูกไม่ถ่ายหลายวัน ซึ่งต่างจากช่วงระยะแรกที่ลูกจะถ่ายอุจจาระเป็นปรกติดีทุกวัน นั่นเป็นผลทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านเกิดความกังวล วันนี้เราจึงมาไขข้อสงสัยเรื่องนี้ไปพร้อมกันค่ะ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.7-กินนมแม่แล้วไม่ถ่ายหลายวันผิดปกติรึเปล่า.mp4 กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า 3 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อให้คุณแม่ลองเช็คการขับถ่ายของเจ้าตัวเล็ก 1.สังเกตดูว่า กินนมแม่แล้วไม่ถ่ายหลายวัน ผิดปกติหรือไม่ ?     หากลูกของคุณแม่ไม่ถ่ายหลายวันทั้งที่กินนมจากคุณแม่เท่านั้น คุณแม่ก็เริ่มจะเป็นกังวลแล้วว่าผิดปกติหรือเปล่านะ สำหรับทารกที่กินนมแม่ล้วนนั้น เมื่อลำไส้ของลูกเริ่มที่จะดูดซึมนมแม่ได้ดีมากขึ้น ร่างกายของลูกก็จะสามารถย่อยนมแม่ได้หมด โดยจะไม่เหลือกากอาหารไว้สำหรับขับถ่าย ทำให้ถ่ายห่างลงจากเดือนแรกๆ หรือทำให้ไม่ถ่ายหลายวัน ในเด็กบางคนนั้นอาจนานถึง 2-3 สัปดาห์ ซึ่งถ้าระยะนี้นั้นก็ยังถือว่า “ปกติ” ค่ะ 2.สังเกตดูว่ากินนมแม่ไม่ถ่ายหลายวัน ใช่อันนี้คือลูกท้องผูกหรือเปล่า? ทารกในช่วงอายุ 2-3 เดือน และกินนมแม่ล้วนอยู่นั้น ไม่ถือว่าท้องผูกค่ะ ไม่จำเป็นต้องทานยาระบายหรือน้ำผลไม้แต่อย่างใด แต่ต้องสังเกตว่าเวลาถ่ายแต่ละครั้งนั้นถ่ายสะดวกหรือไม่ ถ้าถ่ายสะดวกลักษณะอุจจาระจะดูนิ่ม บางกรณีก็อาจมีส่วนแข็งเล็กน้อยในช่วงแรกๆค่ะ 3.กินนมแม่ไม่ถ่ายหลายวันควรทำอย่างไร ? เมื่อลูกน้อยของคุณแม่ไม่ถ่ายหลายวันแล้วมีอาการอึดอัดแน่นท้อง คุณแม่อาจช่วยได้โดยต้องหมั่นทานผักผลไม้ที่ช่วยระบาย เช่น มะละกอ ส้ม พรุน แก้วมังกร และดื่มน้ำเยอะๆ และควรเน้นให้ลูกน้อยกินนมส่วนหน้า(น้ำนมส่วนแรกที่ออกมาตอนที่ลูกเริ่มกินนมจากเต้า) ซึ่งมีแลคโตสที่จะช่วยให้ลูกน้อยขับถ่ายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้คุณแม่ไม่ควรสวนหรือเหน็บอุจจาระให้ลูก เหตผลก็คือ จะทำให้ลูกน้อยเคยตัวและจะไม่ยอมอึด้วยตัวเ          การขับถ่ายของลูกน้อยเป็นเรื่องคุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจเนื่องจากการขับถ่ายสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพลูกเบื้องต้นได้ หากลูกมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายคุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษากุมารแพทย์ และย้ำอีกครั้งค่ะว่าไม่ควรสวนอุจจาระลูกเองหรือซื้อยาให้ลูกรับประทานเอง เพราะลูกอาจได้รับยาในขนาดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า กลับสู่หน้าหลักบทความ

กินนมแม่ แล้วไม่ถ่ายหลายวัน แบบนี้ผิดปกติรึเปล่า Read More »

ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส

ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านค่ะ กลับมาพบกับสาระประโยชน์ด้านสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ MOTHERIFE TIPS ใน Ep.6 นี้ แอดมินจะมาชวนคุณพ่อคุณแม่ร่วมสร้างเกราะป้องกันด้านสุขลักษณะให้กับลูกน้อย ในหัวข้อ ” ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส ” กันค่ะ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.6-ปกป้องลูกน้อยจากโรต้าไวรัส.mp4 มารู้จักเจ้าไวรัสโรต้า?        โรต้าไวรัส เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีขนาดเล็ก รูปร่างเหมือนกงล้อและมันยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคท้องเสียในเด็กเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ มีอายุน้อยกว่า 5 ปี ในกลุ่มเด็กเล็กมากๆ ช่วงอายุ 1- 2 ขวบปี จะมีอาการรุนแรง ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในบางรายอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ส่วนในผู้ใหญ่ก็สามารถติด เชื้อ Rotavirus นี้ได้เช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าในเด็กเล็ก มีเพียงบางรายเท่านั้นที่มี อาการรุนแรงมาก 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส อาการจากไวรัสโรต้า 1.ท้องร่วงอย่างรุนแรง และถ่ายเป็นน้ำ อาจถ่ายบ่อยได้ 7 -8 ครั้ง / วัน หรืออาจจะถึง 10-20 ครั้งต่อวัน2.มีไข้ อาจเป็นไข้สูงถึง 39 องศาเซลเซียส 3.อาเจียน อาจบ่อยถึง 7 – 8 ครั้ง / วัน 4.เด็กบางคน อาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเสียได้มากกว่า 20 ครั้ง ใน 24 ชั่วโมง 5.ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือน้ำได้เลย จนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ในร่างกาย บางรายเกิดภาวะช็อค เป็นสาเหตุให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานล้มเหลว เช่น ไตวายเฉียบพลัน หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้     ในรายที่มีภาวะขาดสารน้ำค่อนข้างมาก อาเจียน ปวดท้อง และถ่ายเหลวตลอด ก็อาจ เกิดอันตรายจากการขาดน้ำทำให้เกิดภาวะช็อค ความดันโลหิตต่ำ  และเสียชีวิตได้ จึง ควรพิจารณาให้เข้ารับการรักษาตัวใน ร.พ. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด และติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด วิธีป้องกันไวรัสโรต้าในเด็ก 1.รักษาระยะห่างทางสังคม: ให้เด็กเลี่ยงการมาอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือมีอาการเจ็บคอ และหลีกเลี่ยงการไปที่สถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หน่วยงานที่มีการรวมกลุ่มคนหรือการเดินทางที่คนพลุกพล่าน2.ส่งเสริมการล้างมือ : สอนให้เด็กล้างมือโดยใช้สบู่และน้ำที่สะอาดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 20 วินาที หลังจากการสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่อาจมีเชื้อโรต้า หรือหลังจากการไอหรือจาม3.เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: ให้เด็กได้รับอาหารที่มีประโยชน์ เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก4.สวมหน้ากากอนามัย: ในบางกรณีที่เด็กจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง  หรืออยู่ใกล้กับคนที่เป็นไข้หวัด ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ5.ประคับประคองเด็กจากการสัมผัส: ให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสตามหน้าผาก ปาก หรือตา ซึ่งเป็นทางเข้าสำคัญของเชื้อโรต้า และให้เด็กเรียนรู้การปกป้องตนเอง เช่น การรับสิ่งของของคนอื่นที่อาจมีเชื้อโรต้า6.ตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน : ให้เด็กได้รับการตรวจสุขภาพประจำตามที่แพทย์แนะนำ รวมทั้งรับวัคซีนตามตารางที่กำหนด เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนอื่น ๆ ที่เหมาะสม ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคโรต้าไวรัสที่ใช้เฉพาะในเด็กเล็กแล้ว ซึ่งมี 2 ประเภท คือแบบให้ 2 ครั้ง และแบบให้ 3 ครั้งแบบแรก : ให้ 2 ครั้ง แนะนำให้หยอดวัคซีนนี้ ตอนอายุ 2 เดือนและ 4 เดือนแบบที่สอง : ให้ 3 ครั้ง แนะนำให้หยอดวัคซีนนี้ ตอนอายุ 2 , 4 และ 6 เดือน ตามลำดับ7.ให้มีการรับรู้และเฝ้าระวังอาการ: สอนให้เด็กรู้จักอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นไข้หวัดหรือมีอาการเจ็บคอ เช่น ไข้สูง น้ำมูก เจ็บคอ และอาการอื่น ๆ และให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองเฝ้าระวังอาการของเด็ก และพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเป็นพิษหรือภาวะที่ต้องรักษา  แม้จะมีวัคซีน แต่ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะเจาะจงในการขจัดเชื้อไวรัสตัวนี้ การรักษาจึงเป็นการ ดูแลรักษาตามอาการ การให้สารน้ำและเกลือแร่ทดแทน หากอาการไม่รุนแรง สามารถรับประทานเองได้ จะใช้วิธีดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชย (โอ อาร์ เอส) เลือกรับประทานอาหารอ่อน และยาบรรเทาอาการ ดังนั้นการยึดถือข้อปฏิบัติด้านสุขลักษณะจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดค่ะ และคุณพ่อคุณแม่ คือกุญแจสำคัญให้ลูกได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรค และสร้างความตระหนักในการดูแลสุขอนามัยของตนเอง เพื่อสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส กลับสู่หน้าหลักบทความ

ปกป้องลูกจาก โรต้าไวรัส Read More »

แม่น้ำนมมาน้อย เพราอะไรกันนะ?

แม่น้ำนมมาน้อย เพราอะไรกันนะ?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านค่ะ กลับมาพบกับสาระประโยชน์ดีๆด้านสุขภาพสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ MOTHERIFE TIPs เดินทางมาถึง Ep.5 กันแล้วค่ะ เย้ๆ  วันนี้มาชวนไขข้อข้องใจสำหรับปัญหาที่คุณแม่หลายๆท่าน ประสบอยู่ค่ะว่า แม่น้ำนมมาน้อย เพราะอะไรกันนะ? ยิ่งโดยเฉพาะคุณแม่ท้องแรก น้ำนมหด น้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล กลัวลูกจะได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ มาไขคำตอบในประเด็นนี้กันค่ะ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.5-คุณแม่น้ำนมมาน้อยเพราอะไรกันนะ.mp4 โดยสาเหตุที่ คุณแม่มีน้ำนมน้อย เกิดจากปัจจัยต่อไปนี้ 1.ปัญหาด้านกายภาพ ปัญหาด้านกายภาพของคุณแม่มีได้หลายปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำนมค่ะ เช่น เนื้อเยื่อสำหรับการผลิตน้ำนมน้อยหรือไม่เพียงพอ (ปัญหานี้จะน้อยลงเมื่อมีลูกคนที่สองหรือสามค่ะ) หรือกรณีคุณแม่เคยผ่านการผ่าตัดเต้านม การผ่าตัดเสริมเต้านมเพื่อความงามหรือการผ่าตัดด้วยเหตุผลทางสุขภาพอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อการผลิตน้ำนมได้ ปัจจัยอีกกลุ่มคือหัวนมคุณแม่บอด ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้ลูกน้อยดูดนมจากเต้าคุณแม่ลำบากออกแรงดูดน้ำนมแม่ก็ยังไม่ออกมา และหากน้ำนมไม่ได้รับการกระตุ้นการหลั่งก็สามารถก่อให้เกิดการหลั่งน้ำนมลดลงได้ค่ะ2.ปัญหาเกี่ยวกับโรคและต่อมไร้ท่อ การเป็นโรค ต่อมไทรอยด์ต่ำหรือสูง ถุงน้ำในรังไข่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เเละปัญหาด้านฮอร์โมนอื่นๆ ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ยากเเละเมื่อตั้งครรภ์ได้  ปัญหาในการผลิตน้ำนมก็อาจเกิดได้ เนื่องจากฮอร์โมนคือปัจจัยสำคัญที่จะส่งสัญญาณให้ร่างกายผลิตน้ำนมค่ะ3.ปัจจัยจากการทานยาบางชนิด การใช้ยาคุมกำเนิดในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอดอาจส่งผลให้ปริมาณและคุณภาพน้ำนมคุณแม่ลดลงได้ อีกกรณีคือการรับประทานยาแก้แพ้จำพวก CPM (คลอเฟนิรามีน) หรือ Pseudoephedrine ที่ใช้ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก  ถึงแม้จะสามารถใช้ได้ในขณะให้นมลูก แต่หากใช้ต่อเนื่องนานหลายวันก็มีผลทำให้น้ำนมลดลงได้ ดังนั้นหากคุณแม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้งค่ะ4.การรับประทานของคุณแม่มีงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่ทานอาหารน้อยกว่า 1,800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน จะมีการผลิตน้ำนมลดลง หรือคุณแม่ตั้งใจลดน้ำหนักทันทีหลังคลอด   อาจเสี่ยงต่อการขาดโปรตีนและพลังงานได้จากปัญหาข้างต้นที่เป็นปัจจัยทำให้คุณแม่หลั่งน้ำนมได้น้อยลง  แล้วสิ่งที่ตามมาคือสัญญาณเตือนว่าลูกน้อยกำลังได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ นั่นคือ โดยปกติแล้วน้ำหนักของทารกอาจลดลงเล็กน้อยหลังคลอด หากน้ำหนักลดลงมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์และไม่เพิ่มเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์  แสดงว่าลูกอาจได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ อีกสัณญาณคือ อาการขาดน้ำ เช่น ไม่ปัสสาวะเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง  ร้องไห้แล้วไม่มีน้ำตา  กระหม่อมบุ๋มอ่อนเพลียหรือง่วงนอนผิดปกติ คุณแม่และคุณพ่อควรได้รับคำแนะนำจากคุณหมออย่างใกล้ชิดค่ะ แล้วทำอย่างไรให้มีน้ำนมมากขึ้นได้ 1.ให้นมลูกดูดบ่อยขึ้นไม่ควรน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวัน หากต้องออกไปทำงานควรปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมง 2.กระตุ้นเต้านมโดยการนวดและใช้ผ้าอุ่นประคบ 3.ให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธีโดยการงับให้ถึงลานนม 4.หลีกเลี่ยงการให้น้ำ  นมผสม หรืออาหารอื่นก่อนอายุ 6 เดือน 5.สร้างความรู้สึกผ่อนคลายขณะให้นมลูก 6.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ 7.หากลูกหลับก่อนจะดูดนมอิ่ม  ควรกระตุ้นให้ลูกดูดนมต่อจนกว่าลูกจะอิ่มและคายปากออกเอง 8.การรับประทานอาหารหรือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเพิ่มน้ำนม   (อาทิ หัวปลี ขิง ใบแมงลัก) ก็จะช่วยในการเพิ่มน้ำนมเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกได้      และทั้งหมดนี้คือสาระดีๆที่เราเต็มใจนำเสนอสำหรับคุณแม่ทุกท่านค่ะ Worldmed สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะทุกการเติบโตเกิดจากสัมพันธภาพและการเลือกสรรที่มีคุณภาพ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านค่ะ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : แม่น้ำนมมาน้อย เพราอะไรกันนะ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

แม่น้ำนมมาน้อย เพราอะไรกันนะ? Read More »

ลูกนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี?

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยสาระในวันนี้เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านจะต้องเผชิญมาแล้วหรือกำลังเผชิญอยู่ เพราะเหตุใดกันนะ ที่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมหลับ ไม่ยอมนอน ไขคำตอบและวิธีรับมือไปพร้อมกันกับ “ลูกนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี?” วันนี้ครับ      https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.4-จะทำอย่างไรดีเมื่อลูกรักนอนไม่หลับ.mp4 ก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมชาติของการนอนก่อนค่ะ โดยปกติเด็กในวัยทารกควรนอนวันละประมาณ “15 ชั่วโมง” เด็กในวัยเรียนควรนอนวันละ “7-8 ชั่วโมง” การที่เด็กได้นอนหลับอย่างเต็มที่นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะเด็กที่ได้รับการนอนอย่างเพียงพอนั้นจะทำให้สมองของเด็กได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน การนอนหลับไม่การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ลูกมีพัฒนาการทางสมองล่าช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค ลูกนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี? ปัจจัยที่ทำให้ลูกน้อย “นอนไม่หลับ” 1. สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น ห้องนอนมีสภาพแออัดทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก มีอากาศที่ร้อนหรือหนาวเย็นเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งเป็นด้านพฤติกรรม หากลูกนอนรวมกับคุณพ่อคุณแม่ทีมีพฤติกรรมนอนดึก เล่นคอมพิวเตอร์ เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือเปิดทีวีเสียงดังรบกวน ก็อาจเป็นสาเหตุให้ลูกนอนหลับได้ยากขึ้นด้วยเช่นกัน2. ความเจ็บป่วย อาการรบกวนจากการเจ็บป่วยจะส่งผลให้ลูกน้อยไม่สามารถที่จะนอนหลับได้อย่างปกติได้ ยิ่งในเด็กเล็กนั้น เขาไม่สามารถจะอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ทราบได้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตว่าลูกกำลังเผชิญปัญหาด้านสุขภาพหรือไม่ เช่น ปวดฟัน เป็นไข้ ปวดตามร่างกาย ปวดศรีษะ ซึ่งอาการผิดปกติเหล่านี้ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการนอนไม่หลับ3. สมาธิสั้นในเด็ก ภาวะสมาธิสั้นส่งผลให้เด็กๆหลับยาก หลับไม่สนิทและตื่นบ่อยๆ สาเหตุเพราะสารอะดรีนารีนหลั่งออกมาและกระตุ้นให้เด็กมีอาการตื่นตัวและยากต่อการสงบ เมื่อลูกรักนอนไม่หลับ คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกนอนหลับง่ายขึ้นได้ ดังนี้ 1.เล่านิทานก่อนนอน  วิธีการสุดคลาสสิค ที่จะช่วยให้ลูกมีความสุขอบอุ่นและผ่อนคลาย หัวใจสำคัญคือเนื้อหาของนิทานควรมีเนื้อหาที่ฟังแล้วเกิดความผ่อนคลาย ควรหลีกเลี่ยงนิทานที่มีเนื้อหาตื่นเต้นน่ากลัวเพราะนั่นจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกยิ่งนอนไม่หลับได้ นอกจากนี้ขณะที่เล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสัมผัสลูกด้วยการกอด โอบ ลูบหัวลูกไปด้วย เพราะการสัมผัสของคุณพ่อคุณแม่จะทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นสบายกายและสบายใจซึ่งช่วยทำให้ลูกเคลิ้มและหลับง่ายขึ้น2.จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ห้องนอนสำหรับเด็กนั้นไม่ควรมีแสงสว่างที่ส่องแยงตาเด็ก อีกทั้งอุณหภูมิในห้องต้องมีความพอเหมาะคือไม่ร้อนหรือไม่หนาวจนเกินไป นอกจากนี้ควรจัดห้องนอนให้สะอาดไม่มีของวางรกรุงรังสกปรก ไม่มีฝุ่นหรือหยากไย่ ซึ่งทำให้เด็กมีอาการคัน ระคายเคือง จนนอนไม่หลับได้3.เปิดเพลงเบาๆสบายๆ เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ลูกนอนหลับง่ายขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่เปิดเพลงบรรเลงเบาๆที่มีเสียงธรรมชาติประกอบ เช่น เสียงน้ำตก เสียงนก เสียงลมพัดเบาๆ เสียงเพลงเหล่านี้จะช่วยทำให้เด็กรู้สึกสงบ สบาย ผ่อนคลาย ซึ่งช่วยให้เด็กนอนหลับได้ง่ายขึ้น4.หมั่นตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น คุณพ่อคุณแม่สามารถสัมผัสผิวของลูกเพื่อดูว่ามีไข้หรือไม่หากมีอาการตัวอุ่นๆรุมๆสามารถวัดไข้เพื่อค้นหาสาเหตุของการป่วยและพาลูกไปพบแพทย์  นอกจากนี้ การฝึกให้ลูกรักษาสุขลักษณะส่วนบุคคลเช่นล้างมือบ่อยๆ และแปรงฟันก่อนนอนทุกครั้งจะสามารถลดปัจจัยจากการเจ็บป่วยได้     เมื่อลูกนอนไม่หลับแอดมินเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่เองก็นอนไม่หลับเช่นกัน Worldmed ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน รับมือกับภาวะนี้ได้อย่างราบรื่นครับ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการสมวัย เติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะทุกการเติบโตของเค้ามีคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงผลักดัน ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ลูกนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกนอนไม่หลับ ทำอย่างไรดี? Read More »

สื่อสารกับลูก เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับบทความสุขภาพดีๆ สำหรับคุณแม่และลูกน้อย สำหรับ Ep.3 ในวันนี้เป็นหัวข้อที่มีความน่ารักทีเดียวครับ เพราะเกี่ยวกับเจ้าตัวเล็กของคุณแม่ เวลาเจ้าตัวเล็กร้องหรือแสดงท่าทางต่างๆ ล้วนมีความหมายที่สัมพันธ์กับพัฒนาการ หากได้รับกรตอบสนองที่เหมาะสม เพราะ การสื่อสารกับทารกเป็นประจำทุกวัน อาจช่วยกระตุ้นให้ทารกมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร และพัฒนาการด้านการพูดที่ดีขึ้นได้ ว่าแล้วก็ไปติดตามสาระเกี่ยวกับการ สื่อสารกับลูก เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ ไปพร้อมๆกันได้เลยคร้าบ…. https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.3-กระตุ้นพัฒนาการด้วยการสื่อสารกับเบบี๋.mp4 กระตุ้นพัฒนาการ ด้วยการสื่อสารกับทารก ทำได้อย่างไรบ้าง ดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค กระตุ้นพัฒนาการ ด้วยการสื่อสารกับทารก ทำได้อย่างไรบ้าง 1.ยิ้มให้ลูกบ่อย ๆ พร้อมกับส่งเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกกำลังอ้าปากค้าง หรือกำลังหัวเราะ2.มีสมาธิ ใส่ใจกับทารกด้วยการมองเวลาที่ทารกกำลังหัวเราะ  หรือกำลังส่งเสียงตามประสาของทารก คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรหันหน้าหนีหรือพูดคุยกับผู้อื่นในระหว่างนี้3.พยายามทำความเข้าใจกับลักษณะ ท่าทางต่าง ๆ ที่ทารกกำลังทำ แม้ว่าจะมีเพียงสีหน้า เสียงร้อง หรือการขยับร่างกาย4.พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ แม้ว่าลูกจะไม่สามารถตอบกลับเป็นภาษาใดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าใจได้5.หมั่นตอบโต้กับทารกเป็นประจำ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่เข้าใจในเสียงที่ทารกกำลังส่งเสียงออกมา6.เปิดเพลงให้ทารกฟัง อาจเป็นเพลงสำหรับทารก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่สำคัญในวัยนี้7.ร้องเพลงให้ทารกฟัง โดยอาจปรับระดับเสียงให้เป็นเสียงเล็กเสียงน้อย       นอกจากเทคนิคแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตการสื่อสารบางประการที่เป็นสัญญาณบ่งบอกสุขภาพของทารก เช่น ไม่ค่อยส่งเสียง พูดช้า ร้องไห้เสียงดังเป็นเวลานานผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ หายใจติดขัดผิดปกติ คล้ายอาการหอบหืด ร้องไห้ไม่หยุด และ ส่งเสียงร้องตอนกลางคืนบ่อยครั้ง ทารกอาจได้รับการรบกวนจากความอับชื้นของผ้าอ้อม แมลง หรือ ปัจจัยด้านอุณหภูมิ คุณพ่อคุณแม่ควรพาทารกเข้ารับการตรวจวินิจฉัยสุขภาพจากคุณหมอครับติดตามสาระดีๆได้ที่ช่องทางนี้ หรือช่องทาง www.worldmedsolution.com บทความ : สื่อสารกับลูก เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ กลับสู่หน้าหลักบทความ

สื่อสารกับลูก เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ Read More »

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน?

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน?

       สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife tips กันอีกเช่นเคยครับ หัวข้อในวันนี้ว่าด้วยเรื่องของ ยาคุมกำเนิดครับ แต่ประเด็นที่จะนำเสนอในวันนี้นั้น เราจะมาพูดถึงการทานยาคุมกำเนิดว่า ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน? จริงหรือไม่ และสำหรับคุณแม่ที่อยู่ระหว่างให้นมกับเจ้าตัวเล็ก ยาคุมตัวไหนทานได้ตัวไหนต้องเลี่ยงวันนี้ Motherife จะมาสรุปให้ฟังกันคร้าบ https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.26-คุณแม่ให้นมบุตร-ห้ามกินยาคุมกำเนิด-ชนิดฮอร์โมนรวม-จริงหรือ.mp4 คำถามที่ว่าคุณแม่ให้นมบุตรห้ามกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม จริงหรือไม่ คำตอบคือ ? ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน? คำตอบคือ จริงครับ  เนื่องจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือ (Combined Oral Contraceptive – COC) จะประกอบด้วยทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนรวมกันในเม็ดเดียว โดยยาคุมชนิดนี้นั้น จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการ ตั้งครรภ์สูงมาก หากรับประทานอย่างสม่ำเสมอ และยังมีผลดีทำให้ประจำเดือนมาตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ และอาจปวดประจำเดือนน้อยลงได้ครับ แต่….สาเหตุที่คุณแม่ให้นมบุตรนั้นควนจะเลี่ยงยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม นั้นก็คือ  เนื่องมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในยาชคุมชนิดนี้ จะออกฤทธิ์ไปยับยั้ง การหลั่งน้ํานมของคุณแม่ ทําให้ปริมาณน้ํานมที่ออกมานั้นอาจจะลดน้อยลง หรือว่าในบางกรณี อาจจะทําให้ไม่มีน้ำนมได้เลย และการขาดน้ำนมก็หมายถึงทารกก็ขาดแหล่งสารอาหารสำคัญไปด้วยนั่นเองคร้าบ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ไม่ควรใช้กับใคร ? นอกจากคุณแม่ให้นมบุตรแล้ว ผู้ที่ควรเลี่ยงได้แก่ ผู้หญิงที่มีโรคความดันโลหิตสูง มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก ไมเกรนชนิดมีออร่า หัวใจขาดเลือด ตับแข็ง มะเร็งตับ ผู้หญิงที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตัน สโตรก โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี ที่สูบบุหรี่เป็นประจำวันละ 15 มวนขึ้นไป คุณหมอหรือผู้เชียวชาญจึงอาจให้คำแนะนำ ให้คุณแม่ทานเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP) ซึ่งจะมีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว ยาคุมชนิดนิดฮอร์โมนเดี่ยว ในหนึ่งแผงจะมีทั้งหมด 28 เม็ด รับประทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องหยุด เมื่อรับประทานหมดแล้วก็สามารถรับประทานแผงใหม่ต่อได้เลย เป็นชนิดที่ผลิตออกมาเพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนนั่นเองครับ คุณแม่สามารถติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม คุณแม่ห้ามทาน? Read More »

สอนลูกให้มี Growth Mindset

สอนลูกให้มี Growth Mindset

สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ กลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips กันอีกเช่นเคย สาระวันนี้เป็นเรื่องของ การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่มีพื้นฐานมาจากปรัชญาที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในตอนนี้นั่นคือการ สอนลูกให้มี Growth mindset นั่นเองโดยนิยามของ Growth mindset คือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถและทักษะของมนุษย์สามารถพัฒนาและปรับปรุงได้ ผ่านการฝึกฝนและความพยายาม ซึ่งจะตรงกันข้ามกับอีกคำหนึ่งคือ Fixed mindset ที่เชื่อว่าความสามารถและทักษะของมนุษย์เป็นสิ่งที่กำหนดไว้ตั้งแต่กำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเองครับ และการเลี้ยงลูกให้มี growth mindset นั้นจะช่วยให้ลูกมีทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เค้านั้นประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-ep.25-เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี-Growth-mindset.mp4 สอนลูกให้มี Growth Mindset 5 ข้อที่สะท้อนการเลี้ยงลูกให้มี growth mindset 1.หลีกเลี่ยงคำชมที่มุ่งเน้นไปที่ความฉลาดหรือความสามารถ แต่เน้นชมที่ “ความพยายาม” การชมลูกว่า “เก่งจัง” “ฉลาดมาก” “อัจฉริยะ” เป็นการส่งเสริม fixed mindset เพราะจะทำให้ลูกเชื่อว่าความสามารถของเขาเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แต่กำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งการชื่นชมความสามารถก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใดครับ สามารถสร้างแรงกระตุ้นบางอย่างให้กับเด็กๆได้ ในขณะเดี๋ยวกันอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองชมเด็กๆโดยมุ่งเน้นไปที่ความพยายาม  ความคิดสร้างสรรค์ หรือวิธีการแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่น “หนูตั้งใจฝึกซ้อมมากเลยครับ” หนูพยายามดีมากเลย เป็นต้นครับ 2.สอนให้ลูกรู้จักความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอในชีวิต พ่อแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจว่าความผิดพลาดคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต เมื่อลูกทำผิดพลาด พ่อแม่ควรช่วยให้ลูกวิเคราะห์สาเหตุของความผิดพลาดและหาวิธีแก้ไข ไม่ควรตำหนิหรือลงโทษลูก ตัวอย่างคำพูดที่สะท้อนการสอนลูกเพื่อให้มี growth mindset ในเรื่องนี้ตัวอย่างเช่น  ครั้งนี้ที่หนูตัดสินใจพลาดไป ครั้งต่อไปหนูจะเปลี่ยนไปใช้วิธีไหนได้บ้าง ลองคิดดูแล้วไปแก้ไขอีกทีนะครับ 3.ส่งเสริมให้ลูกท้าทายตัวเอง พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายความสามารถของลูก การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะใหม่ๆ และเติบโตขึ้น หากลูกรู้สึกว่าทำไม่ได้  พ่อแม่ควรให้กำลังใจและช่วยเป็นโค้ชให้ลูกค่อยๆคิดหาทางทำให้ได้ หากลูกได้ทำสิ่งที่เคยคิดว่าทำไม่ได้จนสำเร็จ จะสร้างความภาคภูมิใจให้ลูกได้อย่างดี 4.เป็นแบบอย่างที่ดี พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการมี growth mindset พ่อแม่ควรแสดงให้ลูกเห็นถึงความพยายามและความมุ่งมั่นในการประสบความสำเร็จ 5.สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พ่อแม่ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้ลูก เช่น จัดหาหนังสือ ของเล่น และกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ การเลี้ยงลูกให้มี growth mindset นั้นต้องอาศัยเวลาและความอดทน พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีและส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เพราะเมื่อลูกมี growth mindset ไม่ว่าลูกจะเจอปัญหาอะไร ลูกก็จะหาทางทำให้สำเร็จได้แน่นอนครับ และถึงแม้ว่า growth mindset จะเป็นปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องของวิธีคิดและความพยายายาม แต่ growth mindset ก็มีข้อจำกัดบางประการครับตัวอย่างเช่น เมื่อพยายามทำอะไรใหม่ๆ อย่างสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จ เขาจะรู้สึกแย่กว่าคนที่มี Fixed Mindset มักจะคาดหวังให้คนอื่นพยายามด้วยเหมือนกันกับตนเอง อาจคิดว่าคนอื่นพยายามไม่มากพอ และส่งผลให้มีปัญหาด้านความสัมพันธ์ได้ มักจะมองในอนาคต เช่น การวางแผนว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งนำไปสู่ความกังวลไปแล้วล่วงหน้าของเรื่องในอนาคต ส่วนคนที่มี Fixed Mindset มักจะอยู่กับปัจจุบันมากกว่า เช่นนั้นแล้วหัวใจสำคัญคือการเข้าใจความหลากหลายของบุคคลรู้กจักปรับตัวและช่างสังเกต เมื่อเด็กๆเติบๆขึ้นเค้าก็จะสามารถใช้ชีวิตร่วกับคนอื่นๆได้อย่างมีสุขครับ อ้างอิง : *Growth mindset เป็นศาสตร์ที่ถูกคิดขึ้นโดย Dr. Carol Dweck จากมหาวิทยาลัย Stanford ผู้ทำงานวิจัยด้านนี้มายาวนานและพบว่า สิ่งที่ทำให้เด็กคนหนึ่ง (รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย) ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ IQ ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็น “วิธีคิด” ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ และทาง www.worldmedsolution.com กลับสู่หน้าหลักบทความ

สอนลูกให้มี Growth Mindset Read More »

การนับลูกดิ้น วิธีตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ฉบับคุณแม่

การนับลูกดิ้น วิธีตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ฉบับคุณแม่

https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/Motherife-Tips-EP.2-วิธีตรวจสุขภาพทารกในครรภฉบับคุณแม.mp4 สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกันกับ Motherife Tips Ep.2 กันแล้วนะคะ สาระในวันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะว่าด้วยเรื่องของการตรวจสุขภาพเจ้าตัวเล็กด้วยตนเอง คุณแม่สามารถทำได้ง่ายๆ วิธีที่ว่านี้คือ การนับลูกดิ้น หรือ “การนับการดิ้นของทารก” ครับ เมื่อคุณแม่มี อายุครรภ์เข้าสู่ช่วง 16 – 20 สัปดาห์ ทารกน้อยในครรภ์จะเริ่มดิ้น ถือเป็นสัญญาณสุขภาพที่ดีครับ แล้วการนับลูกดิ้น มีวิธีการนับอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันครับ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ การนับลูกดิ้น วิธีตรวจสุขภาพทารก ด้วยการนับการดิ้น ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ 1.การฝากครรภ์ถือเป็นอันดับแรก 1.Sodovsky(การนับหลังอาหาร)วิธีการ : ให้นับวันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทุกวัน ถ้าดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้ง / ชั่วโมงให้นับต่ออีก 6 – 12 ชั่วโมง / วัน รวมจำนวนครั้งที่ดิ้นทั้งหมดคิดต่อ 12 ชั่วโมง ถ้าจำนวนการดิ้นน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10 ครั้ง ถือว่าทารกดิ้นน้อยลง อย่างไรก็ตามหากทารกดิ้นน้อยลงจริงควรต้องรีบพบคุณหมอทันทีเพื่อตรวจประเมินสุขภาพทารกในครรภ์โดยวิธีการอื่นเพิ่มเติมครับ2.The Cardiff “Count – to-ten charf” (การนับครบ 10) วิธีการ : วิธีนี้คือการนับจำนวนการดิ้น ตั้งแต่เวลา (9.00 น.ถึง 21.00 น.) จนครบ 10 ครั้ง ซึ่งก็เป็นเวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมง หากทารกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง ภายใน 12 ชั่วโมง ถือว่าอาจมีความผิดปกติ คุณแม่ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วครับ โดยในการนับการดิ้นของทารกเป็นวิธีการเบื้องต้นในการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ที่สามารถทำได้ง่ายและสะดวก ได้ผลดี ไม่มีค่าใช้จ่าย ปลอดภัยและไม่มีข้อห้าม คุณแม่หรือคุณพ่อ ควรมีการจดบันทึกการดิ้นของทารกอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอตั้งแต่ 28 – 32 สัปดาห์ ขณะตั้งครรภ์ คำแนะนำเมื่อสังเกตว่าทารกดิ้นน้อยลง 1. หากนับลูกดิ้นตามวิธีใดวิธีหนึ่งดังกล่าวแล้ว พบว่าน้อย ให้รีบมาพบแพทย์ทันที ในระหว่างมาโรงพยาบาล มารดาควรงดน้ำและอาหารไว้ก่อน กรณีที่มีเหตุฉุกเฉินต่อทารกและจำเป็นต้องผ่าตัดคลอดด่วน จะสามารถทำได้ทันท่วงที2. หากได้รับการตรวจจากแพทย์ และตรวจสุขภาพทารกเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นแล้วพบว่าทารกปกติ ก็ยังจำเป็นต้องนับลูกดิ้นต่อไปตลอดการตั้งครรภ์3. ฝากครรภ์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์5. งดดื่มสุรา ,สูบบุหรี่ ,งดอาหารหมักดอง6. ข้อควรคำนึงสำคัญสำหรับคุณแม่คือ การตรวจสุขภาพทารกไม่ว่าวิธีใดก็ไม่สามารถประกันได้ว่าสุขภาพทารกดี 100 % อาจพบการตายของทารกในครรภ์ได้ประมาณ 1.9 ต่อ 1,000 ราย ที่เกิดขึ้นใน 1 สัปดาห์ หลังการตรวจสุขภาพ ทารกโดยดูอัตราการเต้นของหัวใจทารกปกติก็ตามแต่ถึงจะมีความเสี่ยงอย่างไรการดูแลสุขภาพอย่างดีที่สุด การเลือกทานอาหารที่มีโภชนาการเหมาะสม การจัดการการเคลื่อนไหวอย่างมีคุณภาพ และการมีจิตที่แจ่มใส จะเป็นเกราะป้องกันให้คุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพกายและใจที่ดีได้ ติดตามสาระดีๆได้ที่ช่องทางนี้ หรือทาง www.worldmedsolution.com บทความ : การนับลูกดิ้น วิธีตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ฉบับคุณแม่ กลับสู่หน้าหลักบทความ

การนับลูกดิ้น วิธีตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ฉบับคุณแม่ Read More »

ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค

https://worldmed.center/wp-content/uploads/2023/11/MOTHERIFE-Tips-EP.1-5-เทคนิคดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์อย่าง-healthy-strong.mp4 เมื่อคุณแม่ต้อง…ดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์ จะมีเทคนิคอย่างไรบ้างน๊า? สวัสดีคุณแม่ผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สาระประโยชน์ดีๆสำหรับคุณแม่และลูกน้อยกับ Motherife Tips EP. แรกครับ สำหรับตอนนี้ก็ว่ากันถึงเทคนิคการดูแลตัวเองซึ่งถือเป็นข้อปฏิบัติสำคัญสำหรับการเป็นคุณแม่มือใหม่ครับ ทีมงาน Motherife หวังว่าเนื้อหาใน EP. แรกนี้และสาระใน EP. ถัดไปจะเคียงข้างคุณแม่ ร่วมเดินทางสู่พัฒนาการที่สมวัยของเจ้าตัวเล็กไปพร้อมๆกันครับ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ 5 เทคนิค ดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ ดูแลตัวเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค และนี่คือ 5 เทคนิคเบื้องต้นที่จะช่วยให้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยมีแนวโน้มทางสุขภาพที่ดี 1.การฝากครรภ์ถือเป็นอันดับแรก หัวใจสำคัญของการ ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ คือ “การฝากครรภ์” นั่นเองครับ เพื่อที่คุณแม่จะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเข้ารับการรักษา รวมทั้งวางแผนการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยคุณแม่ควรเข้ารับการฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ครบ 12 สัปดาห์ หรือให้เร็วที่สุดตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยแพทย์จะทำการนัดหมายเพื่อตรวจครรภ์ตลอดช่วงตั้งครรภ์ ไปจนถึงวันคลอดตามความเหมาะสมและตามภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขณะตั้งครรภ์ 2.สารอาหารที่ดีมีผลต่อทารก   นอกจาก โปรตีนจาก เนื้อสัตว์ และ คาร์โบไฮเดรตจาก ข้าวไม่ขัดสีแล้ว ใยอาหาร (ขิง กล้วย มะละกอ) แคลเซียม (โยเกิร์ต ธัญพืช) ไอโอดีน กรดโฟลิค และ ธาตุเหล็ก (งา ถั่วแดง) จะช่วยให้ทารกในครรภ์มีน้ำหนักที่พอดี มีการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมองอย่างสมบูรณ์ 3.พลังงานและการคุมน้ำหนัก พลังงานที่คุณแม่ควรได้รับต่อวันในแต่ละช่วงมีดังนี้ ช่วงตั้งครรภ์ 1-3 เดือนแรก ควรได้รับพลังงาน 2,050 กิโลแคลอรีต่อวัน ช่วงตั้งครรภ์เดือนที่ 4-6 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 350 กิโลแคลอรี ช่วงตั้งครรภ์เดือนที่ 7-9 ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 470 กิโลแคลอรี 4.ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมได้ การออกกำลังกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะช่วยให้ปอด หัวใจ กระดูก และกล้ามเนื้อ ของคุณแม่แข็งแรง ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย คุณแม่สามารถเริ่มการออกกำลังกายได้ในช่วงหลังเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์ กิจกรรมได้แก่ การเดิน การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค การปั่นจักรยานอยู่กับที่ โยคะ เป็นต้น แต่ที่ควรงด คือ การออกกำลังกายประเภทใช้แรงเยอะ หรือเกร็งหน้าท้องที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ 5.สภาพจิตใจของคุณแม่สัมพันธ์กับสุขภาพของทารก เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์มีความเครียด สารเคมีในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทันที อาจทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยเมื่อแรกเกิด มีความเสี่ยงเป็นออทิสติก หรือบกพร่องทางภาษา รวมทั้ง มีความเสี่ยงในพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน คุณแม่สามารถเริ่มต้นจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ ควรหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ จัดบรรยากาศให้เอื้ออำนวยต่อการพักผ่อนอย่างเหมาะสม หรือ รับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 (เช่นข้าวโอ๊ต) ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง จัดเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยลดอารมณ์แปรปรวนได้ดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสำคัญอีกมากมายที่คุณแม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ทั้งการฝึกฝนทักษะการปั๊มน้ำนม การจดบันทึกการดิ้น การอุ้มทารก การสร้างพลังใจเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังคลอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่ทีเดียวครับ Worldmed ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอก ขอให้คุณแม่ทุกท่านมีสุขภาพดีและเลี้ยงทารกได้อย่างราบรื่นครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค กลับสู่หน้าหลักบทความ

ดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ อย่าง Healthy & Strong ด้วย 5 เทคนิค Read More »