sadanon

น้ำหัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้จริงหรือ?

น้ำหัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้จริงหรือ?           “หัวปลี” หรือ “ปลีกล้วย” เป็นดอกที่ปลายลำต้นของต้นกล้วย โดยเมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่ หัวจะสร้างใบสุดท้ายที่เรียกว่าใบธง จากนั้นจะหยุดสร้างใบใหม่ และเริ่มสร้างช่อดอก ลำต้นที่มีช่อดอกอ่อนบรรจุอยู่ ก่อนจะพัฒนาขึ้นภายในลำต้นเทียม จนในที่สุดมันก็โผล่ออกที่ด้านบนลำต้นเทียม โดยแต่ละลำต้นเทียมจะสร้างช่อดอกเพียงช่อเดียวเป็น “ปลี” หัวปลี มีสารอาหารและแร่ธาตุอะไรบ้าง          หัวปลีอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งในหัวปลีมีแคลเซียมมากกว่ากล้วยถึง 4 เท่า มีโปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบตาแคโรทีน ประโยชน์ของหัวปลี 1.หัวปลีช่วยแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ 2.หัวปลีช่วยบำรุงเลือด จึงช่วยเพิ่มน้ำนม 3.ช่วยลดน้ำตาลในเลือด 4.หัวปลี แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม 5.มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบ 6.สามารถใชสารสกัดแอลกอฮอล์ หรือ เอทานอลจากปลีกล้วยปองกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ แล้วน้ำหัวปลีได้มาอย่างไร            การได้น้ำหัวปลีที่มีคุณประโยชน์นั้นไม่ยากเลย เราสามารถใช้วิธีการต้มเพื่อสกัดเอาน้ำหัวปลีออกมาได้เช่นเดียวกับน้ำสมุนไพรอื่นๆ และสามารถปรุงแต่รสชาติและเติมส่วนผสมที่มีคุณประโยชน์เพิ่มได้ ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมสามารถแปรรูปน้ำหัวปลีให้อยู่ในรูปแบบผงชงดื่มเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรักษาและนำมาชงดื่มได้สะดวกมากยิ่งขึ้น น้ำหัวปลี มีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้จริงหรือ ?                มีงานวิจัยที่น่าสนได้ศึกษาสารสกัดน้ำจากหัวปลีพบว่า ผลิตภัณฑ์น้ำหัวปลีมีสารซาโปนิน(Saponins) และแทนนิน(Tannins)ที่อาจช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรแลคตินในเลือด กระตุ้นต่อมน้ำนมให้มีการสร้างน้ำนม จึงสรุปได้ว่า น้ำหัวปลีช่วยเพิ่มน้ำนมให้กับคุณแม่หลังคลอดได้จริง นอกจากนี้ภาวะโภชนาการของแม่หลังคลอดยังมีผลต่อการสร้างน้ำนม และปริมาณสารอาหารในน้ำนมแม่อีกด้วย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : น้ำหัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้จริงหรือ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

น้ำหัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้จริงหรือ? Read More »

สมุนไพรบำรุงน้ำนม

สมุนไพรบำรุงน้ำนม มีอะไรบ้าง ? หัวปลี มีแคลเซียมสูง โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินอี เบตาแคโรทีน แก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ บำรุงเลือด และช่วยกระตุ้นการสร้างนํ้านม สามารถนำไปทำอาหารอย่าง แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี ลวกจิ้มนํ้าพริก ทอดมันหัวปลี หรือหัวปลีชุบแป้งทอดก็ดูเข้าท่า ขิง มีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ บี 1 บี 2 คาร์โบไฮเดรต ช่วยขับลม แก้คลื่นไส้ ย่อยไขมันได้ดี ลดการบีบตัวของลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ขับเหงื่อ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และทำให้นํ้านมไหลได้ดีอีกด้วย สามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น โจ๊กไก่ใส่ขิง หมูสับผัดขิง มันหรือถั่วเขียวหรือบัวลอยต้มนํ้าขิง หรือนํ้าขิงชงดื่มร้อน ๆ ก็ได้ กุยช่าย ให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กคาร์โบไฮเดรต เบตาแคโรทีน วิตามินซี ช่วยขับนํ้านม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม นำไปใส่ในอาหารจำพวก ผัดไทยใส่ใบกุยช่าย หรือนำใบสดกินแกล้มกับอาหารอื่น ๆ ได้ ตำลึง มีโปรตีน มีวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก เส้นใยอาหารในปริมาณมาก ช่วยบำรุงนํ้านม เลือด กระดูก สายตา ผม และประสาท สามารถนำไปทำเมนูง่าย ๆ อย่างเช่น ต้มจืดตำลึง แกงเลียงตำลึง ตำลึงผัดนํ้ามันหอย เป็นต้น ใบกะเพรา มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส เส้นใยอาหารสูง ความร้อนจากใบกะเพราช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีนํ้านมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หวัด คลื่นไส้ อาเจียน สามารถนำไปอาหารประเภทแกง และผัด เช่น แกงเลียงใส่ใบกะเพรา ผัดกะเพรา แกงป่าหรือผัดเผ็ดต่าง ๆ โดยใช้พริกไทยอ่อนแทนพริกขี้หนูเพื่อเลี่ยงรสเผ็ด ใบแมงลัก มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบีและซีสูง มีรสหอมร้อน ทำให้นํ้านมไหลได้ดี ช่วยขับลม ขับเหงื่อ สามารถนำไปใส่ในแกงเลียง ขนมจีนนํ้ายาหรือใส่ในแกงป่าต่าง ๆ พริกไทย มีนํ้ามันหอมระเหย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต มีรสร้อน ทำให้นํ้านมไหลได้ดี ช่วยขับลม ขับเหงื่อ นำไปใส่ในแกงเลียง แกงจืด หรือผัดต่างๆ ก็จะทำให้รสชาติเผ็ดร้อนขึ้นมาได้ มะรุม มีวิตามินซีสูง แคลเซียมสูง วิตามินเอสูง โพแทสเซียมสูง โปรตีนสูง โดยแคลเซียมเข้าไปเสริมกระดูกของแม่ ใบและดอกช่วยในการขับนํ้านม หรือนำไปใช้ประกอบอาหาร เช่น แกงส้มดอกมะรุม สมุนไพรเพิ่มน้ำนมได้จริงหรือ ?          สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ช่วยบำรุงร่างกาย และส่งผลดีต่อคุณภาพน้ำนมและปริมาณน้ำนมแม่ได้ แต่…ควรเป็นสมุนไพรที่เป็นผักและผลไม้จะดีกว่า เช่น กระเพราะ โหระพา ขิง ฟักทอง หัวปลี เพราะเป็นอาหารที่กินกันโดยทั่วไป ไม่ได้กินโดยเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด          หากเป็นสมุนไพรที่เน้นสรรพคุณทางยามากกว่าสรรพคุณทางสารอาหาร เช่น สมุนไพรตระกูลว่านต่าง ๆ หรือสมุนไพรป่าต่าง ๆ คุณแม่ไม่ควรกินสมุนไพรเหล่านั้นสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะสมุนไพรหลายร้อยชนิดที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไปนั้น โดยมากแล้วไม่มีผลการวิจัยรับรองที่เพียงพอว่ามีปลอดภัยต่อแม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นมบุตร ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สมุนไพรบำรุงน้ำนม มีอะไรบ้าง ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

สมุนไพรบำรุงน้ำนม Read More »

อาหารบำรุงน้ำนม

อาหารบำรุงน้ำนม คืออะไร?        อาหารบำรุงน้ำนม คือ กลุ่มอาหารที่ให้สารอาหารที่จำเป็นแก่คุณแม่ลูกอ่อน เมื่อคุณแม่ทานเข้าไปจะมีผลต่อสุขภาพคุณแม่โดยตรง ช่วยในการฟื้นตัวหลังคลอด และเพิ่มปริมาณน้ำนมรวมถึงคุณภาพสารอาหารในน้ำนมเพื่อทารกน้อยอีกด้วยคุณแม่ที่ให้นมบุตรหลายท่านอาจกำลังประสบปัญหาน้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล ทำให้น้ำนมไม่พอ จนอาจจะทำให้ทารกได้รับน้ำนมไม่เต็มที่ ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน อาหารกลุ่มนี้จึงมีบทบาทสำคัญมากๆในปัจจุบัน ประเภทของสารอาหารบำรุงน้ำนม สารอาหารกลุ่มที่ 1 กลุ่มสารอาหารที่จะส่งผ่านไปยังน้ำนมและส่งตรงไปยังทารก ช่วยเพิ่มความเข้มข้นและปริมาณของน้ำนมแม่ กลุ่มสารอาหารได้แก่ วิตามินบี 1 พบได้ในอาหารจำพวก ปลา เนื้อหมู ถั่ว ธัญพืชต่าง ๆ วิตามินบี 2 พบได้ในอาหารจำพวก อัลมอนด์ ถั่วต่าง ๆ เนื้อแดง ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง ไข่ ชีส วิตามินบี 6 พบได้ในอาหารจำพวก ปลา เนื้อสัตว์ปีก ถั่วลูกไก่ ธัญพืชตระกูลถั่ว มันฝรั่ง ผลไม้อบแห้ง กล้วย วิตามินบี 12 พบได้ในอาหารจำพวก หอย ตับ โยเกิร์ต ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง ไข่ ปู กุ้ง อาหารที่หมักจากยีสต์ตามธรรมชาติ วิตามินเอ พบได้ในอาหารจำพวก มันเทศ แครอท ผักใบเขียวเข้ม เครื่องใน ไข่ วิตามินดี พบได้ในอาหารจำพวก ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง น้ำมันตับปลา โคลีน พบได้ในอาหารจำพวก ไข่ ตับวัว ตับไก่ ถั่วพีนัท เซลีเนียม พบได้ในอาหารจำพวก อาหารทะเล ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่าง ๆ ไอโอดีน พบได้ในอาหารจำพวก สาหร่ายทะเล ตับ นม เกลือไอโอดีน สารอาหารกลุ่มที่ 2 สารอาหารที่มีผลต่อสุขภาพแม่โดยตรง ช่วยในการฟื้นตัวหลังคลอด กลุ่มสารอาหารได้แก่ โฟเลต พบได้ในอาหารจำพวก ผักใบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด ถั่วต่าง ๆแคลเซียม พบได้ในอาหารจำพวก ผักใบเขียว นม โยเกิร์ตธาตุเหล็ก พบได้ในอาหารจำพวก เนื้อแดง เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ถั่วต่าง ๆ ผักสีเขียวทองแดง พบได้ในอาหารจำพวก ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่าง ๆ อาหารทะเล เครื่องใน มันฝรั่งสังกะสี พบได้ในอาหารจำพวก หอยนางรม เนื้อแดง เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ถั่วต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์จากนมวัว ตัวอย่างเมนูเพิ่มน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน เมนูฟักทอง เช่น แกงเลียง ฟักทองต้ม ฟักทองผัดไข่ เพราะฟักทองมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา ทั้งยังมีฟอสฟอรัสและเบต้าแคโรทีนที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงอีกด้วย เมนูขิง เช่น น้ำขิง ปลากระพงผัดขิง ปลาช่อนผัดขิง ซุปขิง เพราะขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ในการขับลมและช่วยย่อยได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องผูกหลังคลอดได้ และยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อแม่และทารกอีกมากมาย เช่น มีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี1 และวิตามินบี2 เมนูมะละกอ เช่น มะละกอผัดไข่ แกงเหลืองมะละกอ แกงส้มมะละกอ เพราะมะละกอมีเอนไซม์ที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารก และมีไฟเบอร์สูง ช่วยในการขับถ่าย ลดความเสี่ยงของอาการท้องผูกหลังคลอด เมนูกุยช่าย เช่น กุยช่ายผัดตับ ขนมกุยช่าย ไขเจียวกุยช่าย ผัดกุยช่ายหมูสับ เพราะกุยช่ายมีฟอสฟอรัสสูง ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง และดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต มากไปกว่านั้น กุยช่ายยังมีส่วนช่วยในการบำรุงน้ำนม ช่วยให้น้ำนมมีกลิ่นฉุนน้อยลง เมนูผัดไท เมนูผัดไทยที่ทุกคนรู้จัก จริง ๆ แล้วที่จะช่วยเพิ่มน้ำนมได้คือหัวปลี ผัดไทยที่มีเครื่องเคียงเป็นหัวปลีสด ๆ หรือหัวปลีหั่นฝอย รับประทานกับขนมจีนน้ำพริก หัวปลีจะช่วยในการกระตุ้นร่างกายให้ผลิตน้ำนมเพิ่มได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนมแม่และเพิ่มปริมาณน้ำนมที่สกัดจากหัวปลี ที่เป็นภูมิปัญญามาแต่ดั้งเดิม ภายหลังได้มีบทความวิจัยที่ระบุว่าหัวปลีที่ได้จากต้นกล้วยนั้นนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม ที่ให้คุณประโยชน์รอบด้านและสามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ สารอาหารที่จะได้จากหัวปลีได้แก่ แคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ประโยชน์หลักๆ คือ สามารถลดน้ำตาลในเลือด แก้โรคกระเพาะอาหาร และยังบำรุงเลือดได้ดี ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารบำรุงน้ำนม กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารบำรุงน้ำนม Read More »

มื้อเช้าสำคัญกับเด็กอย่างไร ?

           มื้อเช้าสำคัญกับเด็กอย่างไร ? สำหรับเด็ก มื้อเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด เพราะหากเด็กไม่ได้กินอาหารเช้าจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กไปตลอดทั้งวัน เด็กอาจขาดสมาธิส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ที่ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งยังส่งผลต่อสติปัญญาและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ด้วยวัยเด็กเป็นวัยที่มีพัฒนาการในทุกๆ ด้านทั้งร่างกายและสติปัญญาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การไม่ได้กินอาหารเช้าอาจนำไปสู่การที่เด็กจะมีภาวะทุพโภชนาการซึ่งมีผลต่อทั้งพัฒนาการในทุกๆ ด้าน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอาหารเช้าของเด็ก              งานวิจัยที่ชื่อว่า Associations Between Habitual School-Day Breakfast Consumption Frequency and Academic Performance in British Adolescents โดยนักศึกษาจากวิทยาลัยสาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยลีดส์ สหราชอาณาจักร เกิดขึ้นจากความสนใจในด้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่าง การเลือกรับประทานอาหารเพื่อพัฒนากระบวนการคิดและการเรียนรู้ของเด็ก โดยวิธีการศึกษา ให้เด็กนักเรียนจากสหราชอาณาจักรอายุระหว่าง 16–18 ปี จำนวน 294 คน ระบุรายงานอาหารเช้าที่พวกเขาได้กินในรอบ 7 วันที่ผ่านมา และตอบคำถามเกี่ยวกับคะแนนสอบ GCSE โดยนิยามคำว่า “อาหารเช้า” ในที่นี้หมายความถึง อาหาร หรือเครื่องดื่มใดๆ ที่ให้พลังงานขั้นต่ำมากกว่า 5% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการ (Total Energy Expenditure (TEE) โดยจะกินภายในเวลาไม่เกิน 10 โมงเช้า แบ่งระดับจำนวนวันในการรับประทานเป็น น้อย (0-1 วันต่อสัปดาห์ไปโรงเรียน) เป็นครั้งคราว (2–3 วันต่อสัปดาห์ไปโรงเรียน) เป็นประจำ (4–5 วันต่อสัปดาห์ไปโรงเรียน) ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมประมาณหนึ่งในสาม (28.6%) แทบไม่ได้กินอาหารเช้าในวันที่ต้องไปโรงเรียน ผู้เข้าร่วมมากกว่าครึ่งรับประทานอาหารเช้าในช่วงวันไปโรงเรียนเป็นประจำ (53.1%) ส่วนผู้เข้าร่วมที่เหลือ (18.4%) รับประทานอาหารเช้าเป็นครั้งคราวในวันไปโรงเรียน ในขั้นตอนการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นว่าทั้งการบริโภคอาหารเช้าเป็นนิสัย สม่ำเสมอ และปัจจัยสำคัญอย่างโปรแกรมอาหารเช้าในโรงเรียนนั้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการเรียนในเด็กและวัยรุ่น จึงสรุปได้ว่า อาหารมื้อเช้า มีส่วนช่วยให้พัฒนาการมีผลต่อทั้งร่างกาย และสมอง ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของลูกทำงานได้ดีขึ้น มีพละกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาสมองของลูกพร้อมที่จะเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : มื้อเช้าสำคัญกับเด็กอย่างไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

มื้อเช้าสำคัญกับเด็กอย่างไร ? Read More »

ลูกไม่กินผัก มีเทคนิครับมืออย่างไร ?

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ ลูกไม่กินผัก  ภาวะการกลัวอาหารชนิดใหม่ หรือที่ภาษาทางจิตวิทยาเรียกว่า Food neophobia คือพฤติกรรมที่เด็กจะกลัวการหยิบสิ่งที่มีรูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเคยเข้าปาก ซึ่งก็รวมไปถึงอาหารหน้าตาแปลกใหม่ที่ไม่เคยรับประทานด้วย พฤติกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการวัยเตาะแตะ (18 – 30 เดือน) เป็นกลไกป้องกันตัวตามธรรมชาติที่ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กวัยซนหยิบจับสิ่งที่เป็นอันตรายเข้าปาก และจะพัฒนาไปถึงขีดสูงสุดเมื่อเด็กมีอายุระหว่าง 2 – 6 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กกำลังเริ่มเลือกรับประทานอาหารและรสชาติที่ตัวเองชอบ เมื่อผนวกทั้งสองปัจจัยเข้าด้วยกัน ผลที่ตามมาคือ เด็กเลือกที่จะไม่รับประทานอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบ  ผักมีรสขม เด็กๆ มักจะปฏิเสธรสขมเพราะไม่ถูกปาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบรรพบุรุษมนุษย์เราก็มีสัญชาติญาณที่จะหลีกเลี่ยงรสขมและรสเปรี้ยวอยู่แต่เดิม รสขมของผักนี้เกิดจากสารอาหารในพืชที่เรียกว่า  Phytonutrient ซึ่งได้แก่สารจำพวก ฟีนอลส์ (phenols) โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ฟลาโวนอยด์ส (flavonoids) ไอโซฟลาโวนส์ (isoflavones) เทอร์ปีนส์ (terpenes) and กลูโคซิโนเลตส์ (glucosinolates) ซึ่งพืชสร้างขึ้นเป็นกลไกป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกแมลงศัตรูพืชกัดกิน แต่สารเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากผลงานวิจัยหลากหลายชิ้นว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ทั้งในแง่ของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเกิดมะเร็ง และยังช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอกอีกด้วย ดังนั้น อาหารที่อุดมไปด้วยพืชผักใบเขียวและผักสีสันต่างๆ จึงมีคุณประโยชน์ ช่วยชะลอการเกิดโรค และส่งผลดีต่อร่างกายของเราอย่างยิ่ง  6 เทคนิค ช่วยให้ลูกหันมารับประทานผักมากขึ้น 1.สร้างความเคยชินมื้อแรกที่เจ้าตัวเล็กได้กินผักสิ่งที่คุณแม่ต้องทำคือการผสมผักบด โดยเน้นให้เป็นผักสดที่ทำการต้มสุกและบดผสมลงไปกับข้าวในมื้อแรก ซึ่งคุณควรทำแบบนี้ทุกมื้อเพื่อให้ลูกมีความเคยชินและคุ้นเคยกับรสชาติของผัก และต้องเลือกผักที่ให้รสหวานและบดง่าย แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเวียนไปทุกวันจะช่วยให้เด็กๆ ชินกับรสชาติของผักนั่นเอง 2.ผักที่ทานต้องไม่ใหญ่จนเกินไปเมื่อเด็กเริ่มทานข้าวแบบไม่ต้องบดแล้ว สิ่งที่คุณแม่ต้องทำคือการหั่นผักของลูกให้เป็นชิ้นพอดีคำ ทานง่าย จะช่วยให้เด็กๆ ทานได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องมานั่งทานผักเคี้ยวนานๆ และการหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ยังช่วยให้ผักสุกง่ายอีกด้วย 3.ใช้ผักแทนขนมขบเคี้ยวผักอย่างแครอท มันฝรั่ง คะน้าอ่อน คุณสามารถทำให้สุกด้วยการต้มโดยก่อนที่จะต้มให้หั่นผักเป็นแท่งๆ แล้วต้มให้สุก เมื่อสุกแล้วก็นำไปแช่เย็น ระหว่างมื้ออาหารก็ใช้ผักเหล่านี้แทนขนมให้ลูกถือทานจะทำให้เด็กๆ ชินในรสชาติของผักและทานผักได้ง่ายขึ้นอีกด้วย 4.บอกประโยชน์ของผักให้ลูกได้รู้การคุยกับลูกเพื่อให้ได้ทราบว่าผักแต่ละอย่างให้ประโยชน์อะไรบ้าง ก็เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่าหากอยากโตเร็วหรืออยากแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่ายๆ ว่าควรทานผักแบบไหนบ้าง เช่น ถ้าหนูอยากสวย ก็ต้องทานมะเขือเทศและแครอทให้มากๆ อยากให้แข็งแรงก็ต้องทานผักใบเขียว เป็นต้น 5.สรรค์สร้างเมนูผักให้น่ากินการทำให้ผักเป็นรูปร่างต่างๆ แลดูน่ารักน่ากินก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กๆ อยากลิ้มลอง หรืออาจทำผักให้เป็นรูปร่างต่างๆ แล้วชุบแป้งทอดก็สามารถทำให้ทานได้ง่ายมากขึ้น 6.ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นการที่คุณคะยั้นคะยอให้ลูกทานผักแต่กับตัวคุณเองยังเลือกทานผักหรือไม่ทานผักเลยให้ลูกเห็นนั้น จะทำให้ลูกมีความรู้สึกได้ว่าผักนั้นต้องไม่อร่อยแน่นอน เพราะขนาดผู้ใหญ่ยังไม่กินเลย ดังนั้นหากอยากให้ลูกทานผักคุณก็ควรทานเป็นเพื่อนลูกด้วยเช่นกัน          นอกจากนี้แล้วนวัตรกรรมใหม่ๆยังสามารถแปรรูปผักให้อยู่ในรูปแบบที่รับประทานง่ายขึ้นทั้งเยลลี่ เครื่องดื่ม หรือเป็นส่วนผสมในการปรุงแต่งอาหาร และอาหารเสริม ทั้งนี้การจัดมื้ออาหารจำเป็นต้องปรับให้มีความสมดุล ครบถ้วนทั้งห้าหมู คุณพ่อคุณแม่สามารถศึกษาข้อมูลและพฤติกรรมของลูกน้อยเพื่อการจัดโภชนาการสร้างสุขให้กับเด็กๆได้เรื่อยๆครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ ลูกไม่กินผัก  กลับสู่หน้าหลักบทความ

ลูกไม่กินผัก มีเทคนิครับมืออย่างไร ? Read More »

ธัญพืชอัดแท่ง หรือ Energy Bar ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ?

ธัญพืชอัดแท่ง หรือ Energy Bar ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ?        ธัญพืชอัดแท่งนั้นกำลังเป็นที่นิยมรับประทานกันมากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายและผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เนื่องจากว่าเจ้าอาหารแท่งหรือธัญพืชอัดแท่งนี้เป็นอาหารที่ให้พลังงานโปรตีนและคาร์โบไอเดรตค่อนข้างสูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแคลลอรี่ต่ำ สามารถพกพาได้สะดวกและรับประทานได้ง่ายดาย สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกบริโภคธัญพืชอัดแท่ง        นอกจากคุณประโยชน์ที่ได้รับจากธัญพืชน์ต่างๆแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนการเลือกบริโภค Energy Bar หรือธัญพืชอัดแท่ง คือ มักมีส่วนประกอบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอยู่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier) ที่เป็นวัตถุเจือปนแท่งอาหารอยู่ โดยมันจะทำหน้าที่ช่วยให้ธัญพืชหรือส่วนประกอบต่างๆ สามารถอัดเป็นแท่งได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นหากเราจำเป็นที่จะต้องรับประทาน Energy Bar เราก็ควรที่จะพิจารณาส่วนประกอบของแท่งอาหาร Energy Bar ดูว่ามีส่วนประกอบพิเศษอะไรบ้าง ก่อนที่เราจะเลือกรับประทาน การเลือกทานโดยพิจารณาจากส่วนผสมในธัญพืชอัดแท่ง เราควรจะเลือกที่มีสารอาหารหลักๆ ที่ประกอบด้วย โปรตีนประมาณ 10 กรัม ,ไขมันน้อยกว่า 5 กรัม ,ใยอาหารประมาณ 3-5 และพลังงานประมาณ 150-340 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ควรเราควรพิจารณาเพิ่มเติม เช่น 1. น้ำเชื่อมข้าวโพด แบบฟรุกโตส เนื่องจากน้ำเชื่อมข้าวโพด แบบฟรุกโตสมีมากก็จะส่งผลให้ไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้ร่างกายของเราเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลีนอีกด้วย 2. ซูคราโลส (Sucralose) เป็นวัตถุเจือปนอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายของเรา และหากรับประทานมากๆ ก็จะส่งผลทำให้เรารู้สึกมีความอยากน้ำตาลมากขึ้นไปอีก 3. น้ำเชื่อมอากาเว่ (Agave Syrup) เป็นสารชนิดหนึ่งที่สามารถให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาลธรรมดาทั่วไป 4. น้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar alcohol) เป็นสารให้ความหวานอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมันจะให้ความทั้งความหวานและพลังงานได้ก็ตาม แต่ร่างกายของเราจะสามารถย่อยน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดนี้ได้ค่อนข้างยาก จึงเป็นสาเหตุที่ทำเรามีอาการท้องอืด สำคัญที่สุดก็คือเราควรจะดูว่า แท่งอาหาร Energy Bar นั้นมีระดับน้ำตาลสูงเกินที่ร่างกายของเราต้องการหรือไม่และไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยๆ หรือควรรับประทานยามที่เราเร่งด่วนจริงๆ เท่านั้น        ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ธัญพืชอัดแท่ง หรือ Energy Bar ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ธัญพืชอัดแท่ง หรือ Energy Bar ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ? Read More »

น้ำอัดลม 0 แคลลอรี่ ดื่มแล้วไม่อ้วนจริงหรือ ?

น้ำอัดลม 0 แคลลอรี่ ดื่มแล้วไม่อ้วนจริงหรือ ?          หลายคนที่อยากลดน้ำหนัก แต่ติดน้ำอัดลม เลยเลือกที่เป็นสูตรน้ำตาล 0% หรือ sugar free แต่เอาเข้าจริงแล้วน้ำอัดลมแบบนี้ไม่ทำให้เราอ้วน หรือไม่ทำร้ายร่างกายแบบที่เราคิดจริงหรือไม่ เรามาดูไปพร้อมๆกันครับ น้ำอัดลมสูตรน้ำตาล 0% ทำไมมีรสชาติหวาน? และ มีอันตรายหรือไม่?           ที่น้ำอัดลมสูตรน้ำตาล 0% มีรสชาติหวาน เพราะใส่สารให้ความหวานแทนการใส่น้ำตาล และแม้ว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาล จะเป็นที่นิยมสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก แต่จากการศึกษาพบว่า เครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยเจ้าสารให้ความหวานมีบทบาทต่อเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญอาหารทำงานผิดปกติ อาจก่อให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง และเบาหวานชนิดที่ 2(Type 2 Diabetes Mellitus) ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เกิดจากมีภาวะดื้อกับฮอร์โมนอินซูลิน ร่วมกับมีภาวะการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนลดลง ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน หนำซ้ำคนที่ดื่มเครื่องดื่มพวกนี้เป็นประจำจะมีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตัน และโรคหัวใจเพิ่มขึ้น                นอกจากนี้สารเพิ่มความหวานยังมีผลกระทบต่อสมอง ความรู้สึกอิ่ม การควบคุมกลูโคส การหลั่งอินซูลิน และฮอร์โมนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานวิจัยชิ้นไหนที่ระบุได้ 100% ว่าสารให้ความหวานเป็นสาเหตุของเบาหวาน และอ้วนลงพุงอย่างแท้จริง ยังต้องรองานวิจัยที่แน่นอนต่อไป แต่นักวิจัยกล่าวว่า อาหารทั่วๆ ไป ที่มาจากธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งที่เรารับประทานกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ต่อมาเมื่อมีเทคโนโลยี มีการประดิษฐ์คิดค้น มีความก้าวหน้า อาหารก็ถูกนำมาทดลองแปรรูป ใส่วัตถุดิบ ส่วนผสมใหม่ๆ เข้าไป ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนั้น ก็ย่อมมีทั้งผลดีและผลเสียเช่นเดียวกัน ถ้าอยากลดความอ้วน ก็แข็งใจลดน้ำอัดลมจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : น้ำอัดลม 0 แคลลอรี่ ดื่มแล้วไม่อ้วนจริงหรือ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

น้ำอัดลม 0 แคลลอรี่ ดื่มแล้วไม่อ้วนจริงหรือ ? Read More »

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ทานอย่างไรถึงจะดี

           โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ทานอย่างไรถึงจะดี ? ภาวะทุพโภชนาการ เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารหรือพลังงานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม โดยครอบคลุมทั้งภาวะโภชนาการต่ำหรือภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลให้มีน้ำหนักตัวน้อยหรือรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา          ในผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ สังคม และการมีโรคประจำตัว สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาวะโภชนาการของผู้สูงอายุ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะทุพโภชนาการได้ง่าย ซึ่งผลกระทบของภาวะทุพโภชนาการในผู้สูงอายุ เช่น เกิดภาวะขาดสารอาหารในผู้สูงอายุ มีความอยากอาหารลดลง น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ง่วงซึม ไข้สูง มีอาการอาเจียนที่ไม่สามารถควบคุมได้ และถ้าเกิดบาดแผลจะหายช้ากว่าปกติ มีจ้ำเลือดขึ้นตามตัวง่าย การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันบกพร่องและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ เป็นต้น ทำอย่างไรหากผู้สูงอายุเบื่ออาหารและวิธีป้องกันภาวะขาดสารอาหาร เปลี่ยนรูปแบบอาหารให้รับประทานง่ายขึ้น จากเนื้อสัตว์ที่เป็นชิ้นๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นเนื้อสัตว์สับละเอียดหรือเป็นชิ้นเล็กๆ แทน หรือปรุงให้มีลักษณะค่อนข้างเหลว เปื่อยนุ่ม เคี้ยวง่าย กลืนง่าย ไม่ฝืดคอ หลีกเลี่ยงการกินผักสด ให้เปลี่ยนมาเป็นผักต้มแทน ซึ่งย่อยง่ายกว่า ปรุงรสชาติตามความชอบของแต่ละคน ผู้สูงอายุแต่ละคนจะมีการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบอาหารที่มีรสหวานมากขึ้น บางคนชอบรสขมๆ ทั้งที่ในวัยหนุ่มสาวไม่ชอบ เช่นนั้น รสชาติที่ปรุงควรจะปรับเปลี่ยนไปตามความชอบของแต่ละคน เช่น หวานขึ้นเล็กน้อย จืดลง ไม่ควรเค็มมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ควรจัดอาหารที่มีรสจัด หรือมีเครื่องเทศมากให้แก่ผู้สูงอายุเพราะจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายได้ สลับ ปรับเปลี่ยนเมนูให้มีความหลากหลาย เมื่อผู้สูงอายุมีความเบื่ออาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่รับประทานอะไรที่เหมือนเดิมบ่อยๆ ก็ยิ่งจะเพิ่มความไม่อยากอาหารมากขึ้น เช่นนั้นต้องเปลี่ยนเมนู เปลี่ยนวัตถุดิบในการนำมาประกอบอาหาร ก่อนมื้ออาหารลองกระตุ้นความอยากอาหารด้วยน้ำขิง น้ำใบเตย หรือน้ำมะตูม ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ ลองเปลี่ยนให้กินอาหารมื้อเล็กๆ แบ่งเป็น 4-5 มื้อต่อวัน แทนอาหารจานใหญ่หรือมื้อใหญ่ๆ หรือจัดเวลารับประทานอาหารและของว่างอย่างตรงเวลา วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผู้สูงอายุรับรู้ถึงเวลาอาหาร และอาจจะรับประทานได้มากขึ้น เพิ่มคุณค่าของอาหารในแต่ละมื้อที่รับประทาน เช่น เพิ่มสัดส่วนของไขมันดี โดยการเติมน้ำมันมะกอกลงในเครื่องปรุงรส ผักสด ธัญพืช และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะทำให้ไม่รู้สึกอยากรับประทานอาหารต่อ รับประทานอาหารเสริมเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารชนิดต่างๆ ในปริมาณที่เพียงพอ เช่น วิตามิน และเกลือแร่ เป็นต้น หมั่นดูแลรักษาฟันและเงือก รักษาความสะอาด ปากและฟัน ก่อน-หลังอาหาร จัดให้ได้พักก่อนมื้ออาหาร จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ผ่อนคลายและสดชื่น 3.ถ้าหนูเป็นคุณครูแล้วเจอเด็กดื้อไม่ฟังไม่ตั้งใจเรียนหนูจะทำอย่างไรคะ ? หมู่ที่ 1 โปรตีน ประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผู้สูงอายุต้องการสารอาหารกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะอาหารกลุ่มนี้จำเป็นในการซ่อมแซม ทดแทนส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ หมู เนื้อ ควรได้รับ 120-160 กรัมต่อวัน ถ้าจะให้ดีควรเป็นเนื้อปลา เพราะย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ดื่มนมอย่างน้อยวันละ 250 มล. หรือ 1 แก้ว และเป็นนมพร่องมันเนย บริโภคไข่ไก่ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ฟอง สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวไขมันในเลือดสูง ควรลดจำนวนหรือเลือกทานเฉพาะไข่ขาวเท่านั้นหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต ประเภทแป้งและน้ำตาล ควรเลือกรับประทาน ข้าวกล้อง เผือก มัน ธัญพืช และผลิตภัณฑ์จากแป้งที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่ มักกะโรนี ฯลฯหมู่ที่ 3 ผักต่างๆ โดยรับประทานผักหลากหลายสี ด้วยวิธีนำไปต้มหรือนึ่งให้สุกหั่นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้เคี้ยวง่าย อาทิ ผักใบเขียวปริมาณ 2 ทัพพีต่อวัน เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ฯลฯ ผักสีเหลือง สีส้มปริมาณ 1 ทัพพีต่อวัน เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ เป็นต้นหมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ ผู้สูงอายุสามารถรับประทานผลไม้ได้ทุกชนิด และควรรับประทานผลไม้ทุกวัน เพื่อให้ได้รับวิตามินซีและเส้นใยอาหาร เลือกรับประทานผลไม้ที่เคี้ยวง่าย เนื้อนุ่ม เช่น มะละกอ กล้วยสุก ส้ม วันละไม่เกิน 3 กำมือหมู่ที่ 5 ไขมัน ควรบริโภคไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ และเลือกกินไขมันที่มาจากพืช เลือกใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหารแทนน้ำมันจากไขมันสัตว์และน้ำมันมะพร้าว ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ทานอย่างไรถึงจะดี ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ ทานอย่างไรถึงจะดี Read More »

อันตรายจากไขมันทรานส์

               อันตรายจากไขมันทรานส์ ไขมันทรานส์ หรือ Trans Fat เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวจากการเรียงตัวของไฮโดรเจนอะตอมอยู่ตรงข้ามกัน สามารถพบได้ทั้งในธรรมชาติและจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในน้ำมัน มักพบในอาหารที่มีส่วนผสมของ เนยเทียม (Magarine) เนยขาว (Shortening) ครีมเทียม วิปครีม (Non-dairy Creamer) ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น ขนมปังกรอบ เค้ก พาย พัฟ ส่วนที่หลายท่านเข้าใจผิด คือ น้ำมันทอดซ้ำ มิใช่แหล่งไขมันทรานส์ แต่เป็นแหล่งของสารก่อมะเร็งนั่นเอง ทานไขมันทรานส์ มีผลอย่างไร ? 1.ลดระดับไขมันชนิดดีในเลือด (HDL cholesterol)2.เพิ่มระดับไขมันชนิดเลวในเลือด (LDL cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ให้สูงขึ้น3.เพิ่มระดับโคเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol)4.เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด5.เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 26.เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง7.เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคอ้วน ป้องกันตัวเองจากไขมันทรานส์อย่างไร ? ในแต่ละวันปริมาณไขมันทรานส์ ที่รับประทานไม่ควรเกิน 2 กรัม– ไขมันไม่อิ่มตัว ไม่ควรเกิน 20 กรัมอ่านฉลากอาหารและฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ โดยหลีกเลี่ยงฉลากที่มีคำว่า Hydrogenated Oil เปรียบเทียบปริมาณไขมันทรานส์กับผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน เลือกที่เป็น 0เลี่ยงอาหารที่ทำจากเนยเทียม เช่น ครัวซองต์ คุกกี้เลือกรับประทานไขมันดี โอเมก้า-3 ได้แก่ ปลา เต้าหู้ แซลมอน น้ำมันคาโนลา และอาหารที่มีไขมันต่ำ กากใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชขัดสีน้อยเลือกใช้น้ำมันให้ถูกประเภท โดยใน 1 ครัวเรือน ควรมีน้ำมันมากกว่า 1 ขวด– เมนูผัด ทอดธรรมดา ใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ในปริมาณน้อย– เมนูทอดกรอบ ใช้น้ำมันปาล์ม เพราะทนความร้อนได้นานกว่า– ไม่ควรใช้น้ำมันถั่วเหลือง เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทำให้เกิดเป็นควันง่าย ที่อุณหภูมิการทอดที่ต้องใช้ความร้อนสูง และทำให้เกิดสารโพลาร์ ตัวการสำคัญของสารก่อมะเร็ง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อันตรายจากไขมันทรานส์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

อันตรายจากไขมันทรานส์ Read More »

อาหารคลีนที่คุณทาน คลีนจริงหรือ ?

           อาหารคลีนที่คุณทาน คลีนจริงหรือ ? อาหารคลีน หมายถึง การกินอาหารที่ผ่านกรรมวิธีปรุงและแปรรูปน้อยที่สุด กล่าวได้ว่ามันคือการคืนรูปแบบในการปรุงอาหารที่เรียบง่าย เหมือนได้มาจากธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้วัตถุดิบยังคงเป็นวัตถุดิบที่คงไว้ซึ่งสารอาหารครบถ้วนนั้นเอง แบบไหนถึงเรียกว่า “คลีน”?             การกินคลีนจะเน้นโปรตีนจากปลา ไก่ ไข่ งดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หลีกเลี่ยงการทอดที่ใช้น้ำมันมากๆ มาเป็นการทอดด้วยกระทะเทฟลอนที่ใส่น้ำมันน้อยๆ การต้ม หรือย่าง สารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรต ควรเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มาจากธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือเป็นน้ำตาลจากผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูง เช่น แอปเปิล ผลเบอร์รี่ต่างๆ ไขมันดีจากปลาทะเลน้ำลึกหรือไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว เป็นต้น เน้นบริโภคแต่น้อยเพียงเพื่อให้ดูดซึมสารอาหารได้ครบถ้วน และเน้นบริโภคไขมันดี (HDL) เป็นหลัก เพราะไขมันไม่ดี (LDL) อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลในร่างกายสูงได้นอกจากนี้ควรงดขนมขบเคี้ยวที่เป็นคาร์ปและโซเดียมสูง และเปลี่ยนมากินถั่วและเมล็ดพืชที่ไม่โรยเกลือแทนการกินผักผลไม้จะเน้นผักสดหรือผลไม้สด หรือผ่านการปรุงแต่งที่น้อยที่สุด เมนูอาหารคลีน ที่อาจไม่คลีนอย่างที่เข้าใจ 1.สลัดปลาแซลม่อน เป็นอีกหนึ่งเมนูที่แสนอร่อย โดยที่ใครหลายๆ คนที่รักในการกินและรักษาสุขภาพ ซึ่งด้วยความเป็นจริงแล้วตัวเนื้อปลาแซลม่อนถึงแม้จะประโยชน์ มีโอเมก้าสามที่จำเป็นกับร่างกายของเราแต่ก็สอดแทรกด้วยไขมันเป็นจำนวนมากเลยหลาะครับ เพราะฉะนั้น ทานในปริมาณที่พอดีจะดีที่สุด 2.กราโนล่า กราโนล่าที่เราเห็นในซุปเปอร์มาเก็ตที่ระบุไว้ว่ามีไฟเบอร์สูง มีโฮลเกรน และมีส่วนผสมของผลไม้แห้งที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายนั้น จริง ๆ เมื่อมองไปที่ฉลากแล้วคุณอาจจะตกใจก็ได้เมื่อพบว่าบางแบรนด์นั้นมีน้ำตาลที่สูงมากกกกก และแคลอรี่ก็สูงมากเช่นเดียวกัน ราว ๆ 400 แคลอรี่ ยังไม่รวมนมสดที่คุณต้องใส่ลงไปอีกนะ ดังนั้นหากคุณต้องการเลือกซื้อกราโนล่าแบบเฮลตี้จริง ๆ ควรดูฉลากที่บอกไว้ด้วยว่ามีประมาณน้ำตาลเท่าไหร่ แคลอรี่กี่แคลเพื่อจะได้ทานกราโนล่าแบบอร่อยไม่มีอ้วน 3. น้ำสลัดไขมันต่ำ น้ำสลัดไขมันต่ำที่เรานำมาราดกินกับผักสด ๆ นั้น ใครจะรู้ว่าน้ำตาลที่อยู่ในรสชาติน้ำสลัดแสนอร่อยนั้นสูงมากถึง 14 กรัมกันเลยทีเดียว แม้จะมีไขมันต่ำตามที่ระบุไว้ แต่ปริมาณน้ำตาลที่อยู่ในน้ำสลัดก็จะสูงอยู่ดี เพื่อรสชาติที่อร่อย ดังนั้นหากเพื่อน ๆ ต้องการทานสลัดจริง ๆ แนะนำให้ทำสลัดเองง่าย ๆ ที่บ้านได้นะคะ โดยใช้กรีกโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาลเลย รสชาติอาจจะเปรี้ยวหน่อย ๆ แล้วอาจจะเติมเกลือนิดหน่อย ใส่น้ำผึ้งตามธรรมชาติลงไปเพิ่มรสชาติ แค่นี้ก็จะได้ทานน้ำสลัดแบบเฮลตี้กันแล้ว 4.โยเกิร์ต โยเกิร์ตไขมันต่ำรสผลไม้ต่าง ๆ นั้น มีหลักการไม่ต่างจากน้ำสลัดเลยค่ะ เพราะแม้ว่าจะมีไขมันที่ต่ำถึง 0% ก็จริง แต่ก็มีน้ำตาลที่สูงด้วยอีกทั้งยังมีการแต่งสี แต่งกลิ่น เพื่อให้รสชาติหอมอร่อยอีกต่างหาก 1 หน่วยบริโภค 135 g รสธรรมชาติมีน้ำตาล 8 กรัม หากเพื่อน ๆ ทานรสผลไม้อื่น ๆ น้ำตาลจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก หากอยากทานโยเกิร์ตจริงๆ แนะนำให้ทานกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติแล้วเติมน้ำผึ้งธรรมชาติหรือผลไม้สด ๆ แทนจะดีกว่า 5.ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตที่เราฮิตนำไปทำเมนูสุขภาพสุดฮิตอย่าง Overnight Oatmeal นั้น มีหลากหลายรสชาติให้เลือกมากตามความชอบของเรานะคะ แต่ข้อแนะนำในการเลือกเมนูสุขภาพอย่างข้าวโอ๊ตให้เฮลตี้สุด ๆ นั้นแนะนำให้เลือกแบบธรรมดาที่สุด ไม่แต่งกลิ่น แต่งรสชาติ หรือเติมผลไม้แห้งลงไป เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแต่งเติมกลิ่น รสชาติลงไป นั้นหมายความว่าน้ำตาลจะยิ่งสูงมากขึ้นไปด้วย 6.ผลไม้แห้ง ผลไม้แห้งที่เห็นในท้องตลาดนั้นใครจะรู้ว่า ก่อนที่จะถูกนำมาแปรรูปนั้น มีการเติมน้ำตาลลงไปด้วยเพื่อให้รสชาติหวานอร่อย เว้นเสียแต่ว่าคุณจะทำผลไม้แห้งไว้ทานเอง ก็จะมั่นใจได้ว่าไม่มีการเติมน้ำตาลลงไป ข้อแนะนำคือ หากคุณอยากทานผลไม้เพื่อเติมลงไปในเมนูอาหารสุดเฮลตี้ของคุณแนะนำว่าให้ทานเป็นผลไม้สด ๆ ไม่ผ่านการแปรรูปจะดีกว่า เช่น กล้วยหอม แอปเปิ้ล มะละกอ หรือส้ม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารคลีนที่คุณทาน คลีนจริงหรือ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารคลีนที่คุณทาน คลีนจริงหรือ ? Read More »