sadanon

ทานสิ่งนี้ดีต่อปอด

            ทานสิ่งนี้ดีต่อปอด PM2.5 ฝุ่นร้ายอานุภาคจิ๋ว ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งระบบ และหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นตัวร้ายนี้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น “พี่ปอด” พี่ใหญ่แห่งกระบวนการหายใจ ปอดทำงานอย่างหนักหน่วงทั้งแลกเปลี่ยนก๊าซรับเอาก๊าซออกซิเจนจากลมหายใจเข้าร่างกายเพื่อไปสู่อวัยวะต่างๆใช้ผลิตพลังงาน เเละกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากกระบวนการต่างๆของเซลล์ และแน่นอนว่าปอดสามารถลดประสิทธิภาพลงได้ จากการเผชิญ มลพิษ ควันบุหรี่ สารเคมี สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับปอดเช่น วัณโรค ถุงลมโปงพอง และ มะเร็งปอด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็มีอาหารใกล้ตัวบางกลุ่มที่มีสารอาหารสำคัญในกระบวนการขจัดเชื้อโรคไม่ให้ไปสะสมที่ปอด จะมีอะไรบ้างนั้นวันนี้มีคำตอบครับ 1.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เช่น สตรอว์เบอรี บลูเบอร์รี มีฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นต้น 2.ขมิ้นชัน มีสารเคอร์คูมินเป็นส่วนประกอบหลักการศึกษาวิจัยพบว่าการบริโภคเคอร์คูมินมีความสัมพันธ์กับการทำงานของปอดที่ดีขึ้น 3.แอปเปิ้ลมีใยอาหาร วิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ ในเปลือกแอปเปิลสีแดงจะมีสารแอนโทไซยานิน ที่ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค และเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี ทั้งนี้มีงานวิจัยออกมาว่าสารนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ด้วย 4.ขิงหรือน้ำขิง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ดี 5.แครอท การทานแครอทสุกจะช่วยให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนมากกว่า โดยสารตัวนี้จะไปเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ สร้างภูมิต้านทานโรค และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ              นอกจากนี้ยังมีอาหารที่มีประโยชน์อีกหลากหลายชนิดที่มีส่วนช่วยในการบำรุงปอดไม่ว่าจะเป็น เลมอน แคนตาลูป มะเขือเทศ หอยนางรม เป็นต้น หากทานอย่างถูกสุขลักษณะ Admin worldmed เชื่อว่านอกจากจะทำให้ปอดของท่านมีประสิทธิภาพดีเป็รปรกติแล้วยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมของท่านดีขึ้นอีกด้วย   ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานสิ่งนี้ดีต่อปอด กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานสิ่งนี้ดีต่อปอด Read More »

ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่แก้ง่วง

             ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่แก้ง่วง สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เอาใจท่านผู้เป็น Coffee person หรือคอกาแฟ และสำหรับท่านที่กำลังหันมาบริโภคกาแฟครับ เพราะแน่นอนครับว่า “กาแฟไม่ใช่แค่แก้ง่วง”นั่นก็เพราะว่าเจ้าคาเฟอีนในกาแฟ จะช่วยในเรื่องของการตื่นตัว โดยทำหน้าที่บล็อก อะดีโนซิน (adenosine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกง่วงและอ่อนเพลีย นั่นจึงทำให้เราไม่ง่วงนั่นเอง แต่นอกจากนั้นแล้วคาเฟอีนก็ยังมีประโยชน์อีกมากมายดังนี้ครับ 1.ช่วยการเผาผลาญในร่างกายได้ดีขึ้น และออกกำลังกายได้นานมากขึ้น           คาเฟอีนจะไปช่วยกระตุ้น อะดรีนาลิน (adrenaline) ซึ่งเป็นสารในร่างกายที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวและพร้อมสำหรับการใช้แรงมากกว่าเดิม ซึ่งมีการยืนยันว่า สารคาเฟอีนจะไปช่วยย่อยสลายหรือเพิ่มการเผาผลาญเซลล์ไขมัน แต่ทั้งนี้แล้วควรเป็นการดื่มกาแฟดำที่ไม่ใส่น้ำตาลจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี 2.ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อต่างๆ ในร่างกาย          คาเฟอีนจะช่วยในเรื่องของการแก้ปัญหาปวดหัวในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นไมเกรน ภาวะเครียด เป็นต้น โดยในทางการแพทย์นั้นจะมีการใช้คาเฟอีนในการรักษาร่วมกับตัวยาค่อนข้างบ่อย โดยแพทย์บางรายอาจจะมีการแนะนำให้รับประทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพื่อบรรเทาอาการปวดให้ลดลง หรือหลังการผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ แพทย์บางรายก็จะมีการแนะนำให้ดื่มคาเฟอีนเพื่อลดอาการปวดหลังผ่าตัด หรือใช้ฉีดเข้าเส้นเลือด💉บริเวณช่องเหนือไขสันหลัง เป็นต้น 3.ช่วยในเรื่องของระบบหายใจ          โดยสำหรับท่านใดที่เป็นโรคหอบหืด การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนจะช่วยให้สามารถบรรเทาอาการหอบหืดลงไปได้ซึ่งจะต้องเป็นคาเฟอีนธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งมีผลวิจัยได้ระบุว่า การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนจะช่วยให้รับบทางเดินหายใจดีขึ้นแต่จะแค่ในระยะเวลาสั้น 4 ชั่วโมง อีกทั้งในทางการแพทย์ก็ยังมีการให้คาเฟอีนในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดและมีปัญหาในเครื่องของการหายใจอีกด้วย 4.ช่วยในการบำรุงสมอง              สมอง เป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานตลอดเวลาไม่มีพัก ดังนั้นหากไม่มีการบำรุงหรือพักผ่อนก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้ ซึ่งคาเฟอีนนั้นสามารถช่วยบำรุงได้โดยการที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ไปกดประสาทประเภท ส่งผลให้สารโดปามีน(สารแห่งความสุข) กับนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ทำให้สมองทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยให้มีอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่านั่นเอง             จะเห็นว่าการดื่มกาแฟนั้นมีคุณประโยชน์มากเลยใช่หรือไม่ครับแต่หากอยากให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือปริมาณคาเฟอีนไม่ควรเกินวันละ 400 มิลลิกรัม/วัน (กาแฟสำเร็จรูป 1 ช้อนชา = 50-80 mg. , กาแฟชงสด 1 แก้ว =100-120 mg., กาแฟกระป๋อง 1 กระป๋อง = 150-160 mg.) หากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป จะทำให้หัวใจสั่นเร็วโดยเฉพาะในท่านที่เป็นโรคความดันสูง 🩸 ดังนั้นแล้วเลือกดื่มกาแฟแบบที่ชอบในปริมาณที่เหมาะสมกันครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ประโยชน์ของกาแฟ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ใช่แค่แก้ง่วง Read More »

วิตามินกินตอนไหนดี

             วิตามินกินตอนไหนดี สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้สาระเป็นประโยชน์กับท่านที่ทานวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารเสริมเป็นประจำ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการทานวิตามินและแร่ธาตุ เนื่องจากจะสามารถดูดซึ่มได้ดีนั่นเองครับ เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ติดตามไปพร้อมกันครับ วิตามินและแร่ธาตุแต่ละชนิดทานเวลาไหนกันบ้าง ? วิตามินเอ วิตามินเอ วิตามินเอ : วิตามินที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมัน ดังนั้นกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที ได้เลย วิตามินซี วิตามินซี : ควรรับประทานพร้อมอาหารเช้าหรือเที่ยง และแบ่งรับประทานเช่นวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้คงระดับวิตามินในเลือดให้อยู่ตลอดวัน และช่วยป้องกันไม่ให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารหากต้องการปริมาณวิตามินซีในปริมาณมากเช่น 1000 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นต้น และวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม แต่อาจลดการดูดซึมของวิตามินบี 12 ดังนั้นหากจำเป็นต้องรับประทานวิตามินบี 12 ควรรับประทานให้ห่างกัน วิตามินดี วิตามินดี : ควรรับประทานพร้อมอาหารประเภทไขมันเช่นเดียวกับวิตามินละลายในไขมันตัวอื่นคือ เอ, อีและเค เพราะไขมันในอาหารจะช่วยเพิ่มการดูดซึม และพบบางการศึกษาแนะนำว่าควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อเย็น เนื่องจากโดยปกติอาหารมื้อเย็นเป็นอาหารมื้อที่หนักที่สุด เพราะจะช่วยเพิ่มระดับวิตามินในเลือดถึง 50% แต่ไม่ควรรับประทานร่วมกับอาหารมื้อดึก เพราะวิตามินดีจะไปรบกวนการสร้างเมลาโตนินในร่างกาย และส่งผลถึงการนอนหลับได้ วิตามินอี วิตามินอี : ทานให้ได้ผลสูงสุด คือ การทานในช่วงหลังมื้ออาหารเช้า กลางวัน หรือระหว่างทานอาหาร และหากทานคู่กับอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน ก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมวิตามินอีเข้าร่างกายได้อย่างดีมากขึ้น วิตามินเค วิตามินเค : หากจะกินวิตามินเคก็ควรกินระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะเป็นวิตามินชนิดที่ละลายได้ดีในไขมันเช่นกัน วิตามินบีรวม วิตามินบีรวม : เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ซึ่งต่างจากวิตามินที่ละลายในไขมัน และช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ควรรับประทานก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง แต่หากบางคนอาจรู้สึกไม่สบายท้อง แนะนำให้รับประทานอาหารก่อนรับประทานวิตามินบีรวมเล็กน้อยได้ แคลเซียม แคลเซียม : ควรรับประทานก่อนอาหารเช้า หรือพร้อมอาหารเย็น เพราะจะช่วยเพิ่มการดูดซึม และลดการเกิดนิ่วในไตได้อีกด้วย นอกจากนี้ การรับประทานในขนาดที่ต่ำ จะดูดซึมได้ดีกว่าขนาดสูง ถ้าเป็นไปได้ ควรรับประทานแคลเซียม ให้ห่างจากสังกะสีและธาตุเหล็ก เนื่องจากจะช่วยให้สารคีเลตอาจจับกับประจุบวกของสังกะสีและธาตุเหล็กทำให้คุณสมบัติของแคลเซียมเปลี่ยนไป เหล็ก เหล็ก : ควรรับประทานตอนท้องว่างดีที่สุด หรืออาจรับประทานก่อนอาหารพร้อมกับดื่มน้ำส้มเพราะวิตามินซีจากน้ำส้มจะช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็กได้ และไม่ควรรับประทานพร้อมเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนผสมอยู่ เช่น ชาหรือกาแฟ เนื่องจากจะไปลดการดูดซึมของเหล็ก นอกจากนี้เพื่อป้องกันท้องผูกซึ่งเป็นอาการข้างเคียงจากเหล็ก อาจหลีกเลี่ยงการรับประทานเหล็กในรูปแบบเฟอร์รัสซัลเฟต (ferrous sulfate) และควรดื่มน้ำตามมากๆ สังกะสี หรือ Zinc สังกะสี หรือ Zinc : ที่เรามักจะกินเพื่อลดสิว ผิวมัน โดยปกติควรกินตอนท้องว่างเช่นกัน เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดีที่สุด แต่หากมีหลายคนมักมีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร รู้สึกคลื่นไส้ จึงแนะนำให้กิน Zinc หลังอาหารได้ แต่ไม่ควรกิน Zinc พร้อมกับธาตุเหล็กหรือแคลเซียม น้ำมันปลา น้ำมันปลา : อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน หรืออาหารไม่ย่อยได้ ดังนั้น ควรรับประทานพร้อมอาหารมื้อเช้าหรือเที่ยง และควรเป็นอาหารประเภทไขมันเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึม นอกจากนี้เพื่อป้องกันอาหารไม่ย่อย ควรแบ่งรับประทานเช่นวันละ 2 ครั้ง แต่ไม่ควรรับประทานก่อนออกกำลังกายหรือก่อนนอน เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ หรือไม่ควรรับประทานร่วมกับยาที่ต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น ยาวาร์ฟาริน เป็นต้น คอลลาเจน คอลลาเจน : แนะนำให้กินคอลลาเจนตอนท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ คอลลาเจนจะดูดซึมเข้าร่างกายได้ โดยไม่ถูกกรดในกระเพาะทำลาย และเพื่อการดูดซึมที่ดีขึ้น ควรกินคอลลาเจนคู่กับวิตามินซี โดยควรเลือกกินคอลลาเจนสายสั้น (Hydrolyzed collagen) เพราะร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนสายยาว นอกจากนี้ปริมาณที่ควรกินคอลลาเจนก็อยู่ที่ 5,000 -7,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ไม่เกิน 10,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ โปรไบโอติกส์ โปรไบโอติกส์ : ควรรับประทานก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หรือพร้อมอาหาร แต่ไม่ควรรับประทานหลังอาหาร และควรเลือกรับประทานโปรไบโอติกส์ที่มีหลายชนิด โดยเฉพาะชนิด L. acidophilus, B. Longum, B. bifidum, L. rhamnosus, และ L. fermentum เป็นต้น  โคเอนไซม์ คิว 10 (Co-enzyme Q10) โคเอนไซม์ คิว 10 (Co-enzyme Q10) : ก็ละลายได้ดีในไขมัน เหมือนกับวิตามินเอ, ดี, อี และเค ดังนั้นจึงแนะนำให้กินหลังมื้ออาหารไม่เกิน 30 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ร่างกายกำลังดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ Grape seed (สารสกัดจากเมล็ดองุ่น) Grape seed (สารสกัดจากเมล็ดองุ่น) : ควรกินในขณะท้องว่าง โดยอาจจะกินตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เพราะโปรตีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปอาจไปจับสารสำคัญใน Grape seed จนทำให้ร่างกายดูดซึมได้ไม่เต็มที่ และหากกิน Grape seed ก็ต้องงดกินยาแอสไพรินหรือยาที่มีฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดด้วย เพราะ Grape seed อาจไปเสริมฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด จนเสี่ยงต่ออาการเลือดออกเยอะมาก หรือเลือดไหลไม่หยุดได้ มัลติวิตามิน (Multivitamin) มัลติวิตามิน (Multivitamin) : การกินมัลติวิตามิน ที่มีหลากหลายวิตามินและสารอาหารในเม็ดเดียว สามารถกินมัลติวิตามินหลังอาหารกลางวันไม่เกิน 30 นาที เพื่อลดอาหารระคายเคืองกระเพาะอาหารจากวิตามินบางตัว และเพื่อให้ไขมันจากอาหารมื้อใหญ่ในตอนเที่ยงที่กินเข้าไปช่วยเป็นตัวละลายให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน แร่ธาตุได้ดีขึ้นด้วย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : วิตามินกินตอนไหนดี กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิตามินกินตอนไหนดี Read More »

คนที่อายุยืน เค้ากินอะไรกันนะ ?

                   คนที่อายุยืน เค้ากินอะไรกันนะ ? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ทุกท่านเคยสงสัยหรือไม่ครับว่าเพราะเหตุใดคนบางกลุ่มถึงมีช่วงอายุที่ยืนยาว ตัวแปรคืออะไรกันแน่ ไลฟ์สไตล์ สิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่เค้ารับประทานกัน วันนี้แอดมิน Worldmed จะหยิบยกบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการมีช่วงอายุที่ยืนยาวของกลุ่มประชากรประเทศต่างๆ ผ่านข้อสงสัยที่ว่า “คนที่อายุยืน เค้ากินอะไรกันนะ ?” ติดตามไปพร้อมกันที่นี่วันนี้ครับ คนอายุยืนแต่ละประเทศเค้าทานอะไรกันบ้าง ? 1.เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ ปกติอาหารของชาวกรีกทั่วไปนิยมกินเนื้อแกะย่าง คู่กับซ็อสข้นๆทำจากมะเขือยาว แต่ว่าชาวเกาะอิคาเรีย กินอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ปรุงด้วยส่วนผสมเช่น นมแพะ  น้ำผึ้ง พืชตระกูลถั่ว ผักใบเขียว  มะนาว  เฟตาชีส  มาจอร์แรม (คล้ายใบมิ้นต์ ) และปลาตัวเล็ก 2.เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่นหมู่เกาะแห่งนี้มีจำนวนคนอายุ 100 ปีมากที่สุดในโลก อาหารในแต่ละวันประกอบด้วย เต้าหู้ มะระ กระเทียม ข้าวกล้อง ชาเขียว และเห็ดชิตาเกะ 3.เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี คนบนเกาะนี้ ผู้ชายที่อายุโดยเฉลี่ย 100 ปีมีจำนวนมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติผู้หญิงจะอายุยืนกว่าผู้ชาย สิ่งที่พวกเขานำมาประกอบอาหารคือ นมแพะ ชีสจากนมแพะ ขนมปังที่ใส่แป้งน้อยเช่น ขนมปังแผ่นบาง  ขนมปังแป้งเปรี้ยว  ถั่วปากอ้า ถั่วลูกไก่ มะเขือเทศ  อัลมอนด์ ชาสมุนไพรมิลค์ ทิสเซิล และไวน์ทำจากองุ่นเม็ดเล็กพันธุ์เกรอนาซ 4.เมืองโลมา ลินดา รัฐแคลิฟอร์เนียเมืองนี้มีชื่อเป็นภาษาสเปน มีความหมายว่า หุบเขาอันสวยงาม ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเซเว่นเดย์ แอดเวนตีสท์ พวกเขางดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอลล์ ดูหนังและทีวีน้อยมาก เน้นการทำกิจกรรมหลากหลายนอกสถานที่ สำคัญที่สุดคืออาหารมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อยมาก รวมทั้งการดื่มน้ำเยอะๆ  เป็นสิ่งที่ทำจนเป็นนิสัย ในชีวิตประจำวันคนเมืองนี้ชอบกิน เต้าหู้ อโวคาโด  ปลาแซลมอน ถั่วเปลือกแข็ง และถั่วฝัก  ข้าวโอ๊ต น้ำเต้าหู้ ขนมปังโอลวีท 5.แหลมนิโคยา ประเทศคอสตา ริกาชาวเมืองแห่งนี้มีสุขมภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าชาวอเมริกากลางที่อยู่ในเขตอื่น เพราะสิ่งที่พวกเขาชอบกินมากที่สุดคือพีชปาล์ม (ผลจากต้นปาล์มชนิดหนึ่ง)ซึ่งปลูกมากสุดที่นี่ และยังมีที่กินเป็นประจำคือ ไข่  มะละกอ มันเทศ กล้วย สค็อช ถั่วฝัก และข้าวโพด   เรามาวิเคราะห์ดูครับว่า อาหารส่วนใหญ่ที่ประชากรกลุ่มอายุยืนทานคล้ายๆกันนั้นมีคุณสมบัติอย่างไรกัน ? เต้าหู้ : อุดมไปด้วยโปรตีนสูง หากเป็นเต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลระบบฮอร์โมนเหมาะสำหรับผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป จึงช่วยต้านมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก โฮลวีท และ ข้าวโอ๊ต : ต่างก็มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ในปริมาณมาก ซึ่งข้อดีของไฟเบอร์ตัวนี้ก็คือช่วยพาเอาคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกไปจากร่างกายโดยการขับถ่าย และเมื่อระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลวในหลอดเลือดลดลง ก็เท่ากับว่าช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ นมแพะ  : นมแพะมีโปรตีนมากกว่านมวัว  มีโปรตีนชนิดเบต้าเคซีน ที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ไวกว่านมวัว 2 เท่า และช่วยลดโอกาสการสะสมของคอเลสเตอรอลและไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังที่พบในผู้สูงอายุ ชาเขียว : มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยป้องกันภาวะสุขภาพเรื้อรังได้ ช่วยต้านอาการการอักเสบ ป้องกันตับจากสารพิษต่าง ๆ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ภายในลำไส้ ฯลฯ มาจอร์แรม : ใบสดมาจอร์แรมสามารถนำมาชงชาดื่ม โดยใช้ก้านพร้อมใบสด 2-3 ก้านใบ แช่ในน้ำร้อนประมาณ 3-5 นาที กลิ่นหอมหวานของมาจอร์แรมจะช่วยให้ผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี น้ำผึ้ง : เป็นยาอายุวัฒนะของทุกชนชาติ เนื่องจากน้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตาลฟรักโทสกับกลูโคส มีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง สังกะสี น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ความเข้มข้นนี้เองช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย นี่เองคือสาเหตุที่ทำให้น้ำผึ้งไม่มีวันหมดอายุ ไม่เน่า ไม่เสีย และเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า น้ำผึ้งคือยาอายุวัฒนะนั่นเอง          โดยสรุปแล้วไม่เพียงการ “เลือกกิน” เท่านั้น  “การเลี่ยงกิน” ก็เป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ประชากรมีอายุที่ยืนยาวได้ และการมีสุขภาวะที่ดีสามารถเริ่มสร้างได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอคำว่าสูงอายุ ท่านสามารถปรึกษานักโภชนาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านคุณค่าทางอาหารเพื่อวางแผนสร้างสุขภาวะของท่านได้อย่างยั่งยืน Worldmed ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ห่างไกลจากโรคครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : คนที่อายุยืน เค้ากินอะไรกันนะ ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

คนที่อายุยืน เค้ากินอะไรกันนะ ? Read More »

ผิวขาวใสด้วย ไลโคปีน

           ผิวขาวใสด้วย ไลโคปีน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระวันนี้โดนใจชาวไบรท์ สายสกินแคร์แบบธรรมชาติๆ เพราะนี่คือรหัสลับผิวสวยใส ที่ชื่อว่า “ไลโคปีน” ครับ บางท่านอาจเคยได้ยินผ่านหูบ้างจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และเครื่องสำอาง วันนี้เรามาเจาะลึกกันครับว่าเจ้าสารไลโคปีนมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง รู้จักกับไลโคปีน        ไลโคปีน เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในไขมัน พบในพืชหรือผลไม้มีสีแดง เหลือง หรือส้ม โดยเฉาพในมะเขือเทศ โดยไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุดในกลุ่มแคโรทีนอยด์ โดยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเบต้าแคโรทีน (-carotene) 2 เท่า การศึกษาวิจัยทางคลีนิก พบว่า ไลโคปีน ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด : การรับประทานไลโคปีน หรือมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีนในปริมาณ 8 – 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 10 – 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดด โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากผิวได้รับแสงแดด และช่วยดูดซับรังสียูวีเอ และ รังสียูวีบี ทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้มากขึ้น และช่วยลดอาการผิวไหม้อันเกิดจากแสงแดด ทำให้ผิวไม่คล้ำเสียง่าย คุณประโยชน์จากไลโคปีน        ปกป้องผิวลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) : การรับประทานมะเขือเทศเข้มข้นที่มีไลโคปีน 16 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีในแสงแดดได้ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ (DNA) โดยช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ไมโตคอนเดรียล (Mitochondrial) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ต่างๆในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ผิวด้วย และช่วยเพิ่มโปรคอลลาเจน (Procollagen) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผิวแข็งแรง กระชับ และยืดหยุ่น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้ เพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ : ยังมีการวิจัยพบว่า การรับประทานสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเช่น ไลโคปีน ร่วมกับ วิตามินอี จะเสริมฤทธิ์กันในการปกป้องเซลล์จากการถูกทำร้ายด้วยอนุมลอิสระ ช่วยลดอาการผิวไหม้แดดและช่วยให้ผิวไหม้แดดหายได้เร็วขึ้น รวมทั้ง วิตามินอี ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอีกด้วย คุณประโยชน์จากส่วนต่างๆของมะเขือเทศซึ่งอุดมด้วยไลโคปีน ใบ : ใช้รักษาหน้าเกรียมเนื่องจากถูกแดดเผา ผล : ใช้เป็นยาระบาย ช่วยให้เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยย่อยอาหาร และใช้ฟอกเลือดน้ำมะเขือเทศที่คั้นใหม่ๆ : สามารถใช้ทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียน จึงนิยมนำมะเขือเทศมาพอกหน้า และปัจจุบันก็มีการใช้น้ำมะเขือเทศเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางด้วย ในมะเขือเทศมีกรดอินทรีย์ น้ำตาล วิตามิน A, B, C และสารสำคัญในกลุ่มแคโรทีนอยด์อย่างไลโคปีน (lycopene) ที่ทำให้มะเขือเทศมีความโดดเด่นเหนือพืชผักอื่นๆ และยังมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาระบุอีกว่า มะเขือเทศและสารสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ สารไลโคปีน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ต้านการอักเสบ ช่วยลดไขมันและน้ำตาลในเลือด และมีฤทธิ์ต้านมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งต่อมลูกหมาก และยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็งดังกล่าวด้วย สำหรับการบริโภคนั้นมีการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารไลโคปีนในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะเขือเทศ (ที่น้ำหนักเท่ากัน) เช่น ซอสมะเขือเทศ (Tomato ketchup) น้ำมะเขือเทศ ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ซุปมะเขือเทศเข้มข้น มะเขือเทศปรุงสุก มะเขือเทศผง และมะเขือเทศสด ทำให้สามารถเรียงลำดับปริมาณของไลโคพีนจากน้อยไปมากได้ดังนี้ มะเขือเทศสด < มะเขือเทศปรุงสุก < ซุปมะเขือเทศเข้มข้น < น้ำมะเขือเทศ < ซอสมะเขือเทศ < มะเขือเทศผง < ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น         จะเห็นได้ว่ามะเขือเทศที่ผ่านกระบวนการและความร้อน จะมีปริมาณของสารไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศสด แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคมะเขือเทศสดก็จะทำให้ได้วิตามินและสารอื่นๆ ที่สลายไปในระหว่างกระบวนการผลิตแทนนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  ผิวขาวใสด้วย ไลโคปีน กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผิวขาวใสด้วย ไลโคปีน Read More »

อาหารเสริมสร้าง ฮอร์โมนเพศชาย

                 อาหารเสริมสร้าง ฮอร์โมนเพศชาย สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้สาระมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง ดุดัน ไม่เกรงใจใคร แบบฉบับคุณผู้ชายสายสุขภาพ เพราะเป็นเรื่องราวของอาหารที่จะช่วยให้คุณผู้ชายมีสุขภาพองค์รวมแข็งแรง เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ การสร้างอสุจิ การเจริญของขน เส้นผม และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ อีกด้วยครับ ติดตามพร้อมกันวันนี้ครับก่อนจะไปสู่เรื่องของอาหารมาทำความรู้จัก”ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน”หรือฮอร์โมนแห่ง”เพศชาย”มากขึ้นกันครับเพราะเป็นพระเอกในเรื่องนี้ โดยระดับปกติของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ควรอยู่ระหว่าง 350-1000 ng/dl (นาโนกรัมต่อเดซิลิตร) แต่หลังจากที่ผู้ชายมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อยๆลดลงประมาณ 1-2% ต่อปี ทำให้มีโอกาสแสดงอาการจากการขาดฮอร์โมนได้มากขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น อาหารช่วยเสริมสร้าง ฮอร์โมนเพศชาย มีอะไรบ้าง ? 1.ปลาทูน่า (Tuna) อุดมไปด้วยวิตามินดี ซึ่งพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมความแข็งแรงต่อสุขภาพหัวใจ และอุดมไปด้วยโปรตีนที่มีพลังงานต่ำ คุณสามารถเลือกรับประทานปลาทูน่าได้ทั้งแบบกระป๋อง หรือปลาทูน่าสด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันหรือหากคุณไม่ชื่นชอบปลาทูน่า คุณอาจจะเลือกรับประทานปลาชนิดอื่นแทน เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน แต่ควรรับประทานในระดับปานกลาง ไม่ควรรับประทานเกิน 2-3 ครั้งต่อวันเพื่อลดการได้รับสารปรอทซึ่งพบในอาหารทะเล 2.นมไขมันต่ำ (Low fat milk) เป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียมชั้นดี ทั้งยังมีปริมาณไขมันอิ่มตัวน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากควบคุมน้ำหนักด้วย การดื่มนมไม่ได้จำกัดแค่ในผู้ชายเท่านั้น แต่รวมไปถึงเด็กและผู้หญิงซึ่งควรดื่มนมเพื่อให้มีสุขภาพของกระดูกที่แข็งแรง ส่วนประโยชน์ของนมที่มีต่อฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนนั้น ปริมาณวิตามินดีที่พบในนมสามารถมีส่วนช่วยทำให้ระดับเทสโทสเทอโรนเป็นปกติได้ 3.ไข่แดง (Egg yolk) นั้นเป็นอาหารอีกชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินดี และให้สารอาหารมากกว่าไข่ขาว ถึงแม้ว่าไข่แดงจะมีปริมาณคอเลสเตอรอล (cholesterol) ค่อนข้างสูงก็ตาม แต่คอเลสเตอรอลในไข่แดงนั้นสามารถรักษาผู้ป่วยที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนต่ำได้ 4.ซีเรียล (Cereal) นั้นไม่ได้เป็นแค่อาหารเช้ายอดนิยมเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ต่ำอยู่สูงขึ้นจนอยู่ในระดับปกติได้ นอกจากนี้มีซีเรียลบางยี่ห้อยังมีการผสมกันของวิตามินดี และอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจด้วย 5.หอยนางรม ปู และ กุ้งล็อบสเตอร์ ในสัตว์ทะเลมีเปลือกมีธาตุอาหารสังกะสีสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นในช่วงวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในช่วงวัยผู้ใหญ่อยู่ในระดับที่เหมาะสมไปตลอดวัยด้วย ส่วนผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนต่ำ หากรับประทานหอยนางรมก็จะช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้สูงขึ้นได้ 6.เนื้อวัว และ เนื้อกวาง เพราะเนื้อวัวบางส่วนนั้น มีสารอาหารที่ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนได้ ส่วนตับวัวก็เป็นแหล่งรวมของวิตามินดี ในขณะที่เนื้อส่วนสันคอ (Beef chuck) กับเนื้อบด (Ground beef) นั้นก็มีธาตุอาหารสังกะสีประกอบอยู่ แต่ควรเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อส่วนที่ไม่ติดมันและหลีกเลี่ยงการรับประทานทุกวัน ส่วนเนื้อกวางนั้นให้คำตอบที่ดีกว่าเพราะเต็มไปด้วยโปรตีนและไม่ส่งผลเสียต่อการผลิตฮอร์โมนเพศชาย แต่อาจหารับประทานได้ยากในเมืองไทย แต่มีข้อควรคำนึงก็คือ ถึงแม้ว่าการรับประทานเนื้อเหล่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่หากรับประทานมากเกินไป ก็อาจนำพาไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ 7.ถั่วขาว (White kidneys bean) และถั่วดำ (Vigna mungo) นั้นเป็นแหล่งของวิตามินดีและสังกะสี นอกจากนี้ อาหารประเภทถั่วยังอุดมไปด้วยโปรตีนจากพืช ที่จะช่วยบำรุงสุขภาพของหัวใจให้แข็งแรงขึ้น 8.กระเทียม กระเทียมมีสารที่เรียกว่าอัลลิซิน ซึ่งมีความเข้มข้นสูง คอยขัดขวางการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังสามารถใช้เสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้มากมาย หากกินกระเทียมดิบที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุกจะได้รับสารอัลลิซินเพิ่มมากกว่าแบบการปรุงสุก สารอัลลิซินช่วยลดปริมาณไขมัน, ลดความข้นของเลือด, ลดความดันโลหิตสูง, ต่อต้านมะเร็งและเสริมฮอร์โมนเพศชายให้ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม 9.กะหล่ำปลี ผักเต็มไปด้วยสารเคมีที่เรียกว่า indole-3-carbinol ซึ่งช่วยในการทำความสะอาดกระแสเลือดของเอสโตรเจน ดังนั้นจึงช่วยฟื้นฟูปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายของคุณ มีงานวิจัยหนึ่งพบว่าการทานอินโดล -3-carbinol 500 มก. ต่อวันเป็นเวลา 7 วันมีผลทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงลดลง 50% ส่งผลให้ผู้ชายมีสุขภาพที่ดีขึ้น 10.อะโวคาโด ผลไม้ที่ช่วยเรื่องลดน้ำหนัก ยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิคที่เป็นสารเพิ่มความต้องการทางเพศ สามารถช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ อีกทั้งยังสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ตัวการของโรคหัวใจและหลอดเลือด) ได้          การรับประทานอาหารบางชนิดอาจช่วยเรื่องการปรับระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนที่ต่ำอยู่ให้สูงขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำให้หายขาดได้ หากคุณหมอวินิจฉัยว่าคุณผู้ชายเป็นภาวะนี้ อาจต้องได้รับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเสริมจากแพทย์ ซึ่งอยู่ทั้งในรูปแบบเม็ด  แบบแผ่นแปะ แบบเจลทาผิว และ แบบยาฉีด แต่อย่างไรก็ตาม ฮอร์โมนเสริมเหล่านี้อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้  จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาหรืออาหารเสริม สำคัญที่สุดคือ ควรปรับอาหารที่รับประทาน เลี่ยงอาหารแปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  น้ำอัดลม พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเท่านั้น ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารเสริมสร้าง ฮอร์โมนเพศชาย กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารเสริมสร้าง ฮอร์โมนเพศชาย Read More »

อาหาร บำรุงกระดูกVSทำลายกระดูก

              อาหาร บำรุงกระดูกVSทำลายกระดูก สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้พบกับเรื่องราวของอาหารที่จะทำให้ทุกท่านไหวตัวทันจากภาวะกระดูกพรุนนั่นเอง โดยจะจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คืออาหารที่บำรุงกระดูกและอาหารที่ทำลายกระดูก เพราะหากปรับพฤติกรรมช้า ไม่แน่ว่าสุขภาพกระดูกของท่านอาจวิกฤติแล้วก็เป็นได้ ติดตามไปพร้อมกันวันนี้ครับ มาเริ่มจากฝั่งของอาหารบำรุงกระดูก อาหารบำรุงกระดูกถือได้ว่าพวกเยอะ ตัวเลือกมากมายทีเดียวสามารถแบ้งเป็น 6 กลุ่มสารอาหาร ได้แก่ 1.แคลเซียม : มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างกระดูกที่แข็งแรงให้ ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000-1,200 มิลลิกรัม อาหารกลุ่มแคลเซียมได้แก่ : นม  โยเกิร์ต  ชีส บรอกโคลี เทอร์นิพ ผักเคล ผักกาดกวางตุ้ง ถั่วฝัก ทูนากระป๋อง แซลมอน ซีเรียลหรือน้ำผลไม้แบบฟอร์ติไฟด์ 2.โปรตีน : เนื่องจากโครงสร้างของกระดูกประมาณครึ่งหนึ่งมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับโปรตีนเพื่อสร้างเสริมกระดูกใหม่เมื่อมีการสึกหรอ อาหารกลุ่มโปรตีนได้แก่ : เนื้อสัตว์(พยายามเลี่ยงไขมัน) เนื้อปลา คอททาจชีส เมล็ดพันธุ์ 3.วิตามินดี : มีส่วนช่วยให้เลือดรับและใช้แคลเซียมรวมถึงสร้างแร่ธาตุในกระดูก หากอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายหลังกระดูกหัก ควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 600 IU ต่อวัน และคนที่มีอายุเกิน 70 ปี ควรได้รับสารอาหารชนิดนี้อย่างน้อยวันละ 800 IU อาหารกลุ่มวิตามินดีได้แก่ : แซลมอน น้ำมันตับปลา ปลาซาร์ดีน ตับ  นมและโยเกิร์ตแบบฟอร์ติไฟด์  ไข่แดง น้ำส้มแบบฟอร์ติไฟด์ 4.โพแทสเซียม : การรับประทานแร่ธาตุชนิดนี้อย่างเพียงพอจะช่วยให้คุณไม่เสียแคลเซียมเมื่อปัสสาวะ ซึ่งมีผลไม้สดหลายชนิดที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม อาหารกลุ่มโพแทสเซียม ได้แก่ : กล้วย  น้ำส้มคั้น มันฝรั่ง ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพันธุ์  ปลา เนื้อ นม 5.วิตามินซี : วิตามินซีช่วยร่างกายผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญสำหรับกระดูก ทำให้กระดูกที่หักหายเป็นปกติ ซึ่งคุณสามารถพบวิตามินซีได้ในผลไม้และผักหลายชนิด เช่น ส้ม กีวี เบอร์รี น้ำมะเขือเทศ พริกไทย มันฝรั่ง ผักใบเขียว หมายเหตุ * วิตามินซีสลายไปได้โดยง่าย ควรรับประทานแบบสดหรือแช่แข็ง โดยไม่ผ่านความร้อน 6.ธาตุเหล็ก : มีส่วนสำคัญในการทำเซลล์เม็ดเลือดแดงมีคุณภาพเพียงพอที่จะไปเลี้ยงบำรุงบาดแผลต่างๆ ธาตุเหล็กช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพื่อสร้างกระดูกใหม่อีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปในกระดูกเพื่อช่วยในการเยียวยาได้ อาหารกลุ่มธาตุเหล็ก ได้แก่ : เนื้อแดง  ไก่งวง  น้ำมันปลา ไข่  ผลไม้แห้ง ผักใบเขียว ขนมปังโฮลเกรน มาดูทางฝั่งของ อาหารทำลายกระดูกกันบ้างครับ แม้ว่าการทานโปรตีนจะเป็นการรับคุณประโยชน์เพื่อเสริมสร้างกระดูก แต่หากทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ในปริมาณสูงและต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้แคลเซียมถูกดึงออกจากกระดูกเพื่อควบคุมความเป็นกรดในเลือด ผู้ที่กำลังลดน้ำหนักโดยการรับประทานโปรตีนอาจต้องระมัดระวังเนื่องจากความเสี่ยงที่สูงขึ้น ควรพิจารณาการรับประทานโปรตีนจากพืชแทน เช่น เต้าหู้ ถั่วเมล็ด เป็นต้น อาหารบางประเภทอาจนำไปสู่โรคทางกระดูกและข้อบางโรค เช่น โรคเกาต์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ และยอดผักที่มีปริมาณกรดยูริคสูง เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดข้อ บวมและเจ็บปวดได้ รวมถึง อาหารรสเค็มจัดที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง เช่นผงชูรส สามารถทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น ผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้อาจจะต้องใส่ใจรายละเอียดของส่วนประกอบอาหารที่บริโภคมากยิ่งขึ้นครับ การดื่มก็เช่นเดียวกันครับ 1.การดื่มน้ำอัดลมไม่ว่าทั้งแบบปกติหรือไร้น้ำตาล สามารถทำให้กระดูกบางเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำอัดลมสามารถดึงแคลเซียมออกจากกระดูกได้พอๆกัน 2.เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่นกาแฟ สามารถทำให้แคลเซียมถูกดึงออกจากกระดูก การดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวันอาจเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหักได้สูงถึง 3 เท่าของผู้ที่ไม่ดื่มหรือดื่มน้อยลง 3.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สามารถเป็นอันตรายต่อกระดูก แอลกอฮอล์สามารถทำลายเซลล์กระดูกโดยตรง และการดื่มเบียร์ และสุราทุกชนิดสามารถเพิ่มอัตราเสี่ยงการหักของกระดูกสะโพกและแขนได้ ผู้หญิงที่ดื่มเบียร์วันละ 2 ขวดมีอัตราเสี่ยงการเกิดกระดูกหักสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มหรือดื่มน้อยอีกด้วย         จะเห็นได้ว่าในกลุ่มสารอาหารสำหรับบำรุงกระดูกมีตัวเลือกที่สามารถเลือกจัดรวมกันได้ค่อนข้างใกล้เคียงอาหารหลัก 5 หมู่เลยที่เดียว นั่นสามารถสรุปได้ว่านอกจากจะเป็นการป้องกันโรคทางกระดูกแล้วยังส่งเสริมการรับโภชนาการอย่างครบถ้วนอีกด้วย และการเริ่มต้นบำรุงตั้งแต่วันนี้ย่อมดีกว่าการมาฟื้นฟูในภายหลัง แอดมินขอเป็นกำลังใจให้ผู้รักในสุขภาพทุกท่านครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหาร บำรุงกระดูกVSทำลายกระดูก กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหาร บำรุงกระดูกVSทำลายกระดูก Read More »

ทานเนื้อสัตว์อย่างไร ห่างไกลโรค

                ทานเนื้อสัตว์อย่างไร ห่างไกลโรค สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้มาพูดถึงการทานเนื้อสัตว์กันสักเล็กน้อยครับ อย่างที่ทุกท่านทราบว่าเนื้อสัตว์ต่างๆล้วนเป็นแหล่งสารอาหารชั้นดีโดยเฉพาะโปรตีน ที่มีส่วนช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ช่วยรักษาสมดุลของปริมาณน้ำตาลในเลือด ช่วยสร้างและบำรุงกล้ามเนื้อ เพิ่มการเผาผลาญ ช่วยลดน้ำหนัก หากแต่การจะได้มาซึ่งโปรตีนคุณภาพนั้น จะต้องมาจากการปรุงอาหารที่เหมาะสมและมาจากหล่งอาหารที่ปลอดภัย วันนี้เรามาดูทริคเล็กๆในการทานเนื้อสัตว์กันครับ ว่าทานอย่างไรได้ประโยชน์และห่างไกลโรค ติดตามไปพร้อมกันครับ เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ควรกินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อย 0.8-1 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน โดยที่เนื้อสัตว์สุกประมาณ 30 กรัมจะมีโปรตีนประมาณ 7 กรัมไข่ไก่เบอร์ 4-5 1 ฟองจะมีโปรตีนประมาณ 7 กรัมเนื้อวัว 100 กรัม มีปริมาณโปรตีน 22 กรัม เนื้อไก่ 100 กรัม มีปริมาณโปรตีน 23 กรัม เนื้อปลา 100 กรัม มีปริมาณโปรตีน 13 กรัม เทคนิคเลือกประเภทเนื้อสัตว์ให้เหมาะสมแนะนำดังนี้ เลือกกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง เน้นกินเนื้อปลา ไก่ ไข่ เป็นหลัก สลับการกินเนื้อหมู เนื้อวัว โดยเนื้อแดง(หมู วัว แกะ แพะ) แนะนำกินไม่เกิน 5 ช้อนกินข้าว/วัน หรือ 3 ครั้ง/สัปดาห์ โดยปริมาณต่อสัปดาห์คือน้ำหนักเนื้อสุกไม่เกิน 350-500 กรัม หรือน้ำหนักเนื้อดิบ 700-750 กรัม เลือกการปรุงประกอบด้วยวิธีการที่ดีกว่าดังนี้           ควรใช้การ ต้ม นึ่ง ลวก ตุ๋น มากกว่า ย่าง ผัด ทอด เนื่องจากการปรุงประกอบที่ใช้ความร้อนสูง (ย่างหรือทอด) โดยสัมผัสกับอาหารโดยตรง นั้นก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง เช่น PAH (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) และ HAC (Heterocyclic Aromatic Amines) ทั้งนี้การปรุงประกอบโดยใช้น้ำมันในปริมาณมาก (ผัดหรือทอด) เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป            เนื้อสัตว์แปรรูป คือ เนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการหมักเกลือ การบ่ม การหมัก การรมควัน หรือกระบวนการอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติหรือการปรับปรุงการเก็บรักษา เช่น ไส้กรอก แหนม กุนเชียง แฮม เบคอน ลูกชิ้น เนื้อสัตว์กระป๋อง ซอสที่ปรุงประกอบจากเนื้อสัตว์ จากผลการศึกษาวิจัยพบว่าการกินเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้ โดยการกินเนื้อสัตว์เนื้อสัตว์แปรรูปทุก ๆ 50 กรัม/วัน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักถึงประมาณ 18% นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง เนื่องจากมีไขมันและโซเดียมปริมาณมาก ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานเนื้อสัตว์อย่างไร ห่างไกลโรค กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานเนื้อสัตว์อย่างไร ห่างไกลโรค Read More »

ดื่มนมแบบไหน ใช่สำหรับคุณ

         ดื่มนมแบบไหน ใช่สำหรับคุณ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เหมาะสำหรับท่านที่ชื่นชอบการดื่มนมครับ โดยปกติแล้วนมที่เราสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้ามักจะเป็นนมวัวและนมถั่วเหลืองเสียส่วนใหญ่ แต่บางท่านที่อยากจะดื่มนมก็อาจมองหานมชนิดอื่นๆด้วยเหตุผลด้านความชอบ หรือบางท่านอาจแพ้แลคโตสในนมวัว วันนี้เรามาติดตามไปพร้อมกันครับว่า นมชนิดอื่นๆ ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดนั้นมีนมชนิดใดอีกบ้าง และให้คุณประโยชน์อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกบริโภคครับ ดื่มนมแบบไหน ใช่สำหรับคุณ นมวัว มีโปรตีนสูงให้แคลเซียมที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งยังอดมด้วยสารอหารที่มีคุณค่าอย่าง ✅วิตามินบี 12 สูง มีส่วนช่วยการทำงานของระบบประสาทและสมอง ✅วิตามินบี 2 สูง ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตโปรตีนและไขมัน ✅แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง ✅ฟอสฟอรัสสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง ✅ไอโอดีนสูง 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมวัว : บางท่านอาจมีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย แพ้นมวัว นมแพะ มีโปรตีนที่ย่อยง่าย และดูดซึมง่าย ✅มีงานวิจัยพบว่านมแพะอาจส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อันเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับอาการที่ไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นรุนแรงจนส่งผลถึงเสียชีวิต นมแพะจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีต่อการเสริมภูมิคุ้มกัน ต่อต้านเชื้อภายนอกและลดการเกิดสารก่อภูมิแพ้ได้นั่นเอง ✅มีประโยชน์ในเรื่องของ การเสริมสร้างพัฒนาการของทารก ✅วิตามิน A ในนมแพะต่างจากวิตามิน A ในนมวัว เพราะวิตามิน A ในนมวัวจะอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน แต่นมแพะอยู่ในรูปของวิตามิน A โดยตรง จึงช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ดักจับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และยังทำหน้าที่เป็นด่านป้องกันเชื้อโรคในส่วนเยื่อบุปาก ปอด และลำไส้ อีกด้วย 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมแพะ : ในนมแพะเองก็มีน้ำตาลแลคโตส (Lactose) เช่นเดียวกับนมวัว ดังนั้น จึงไม่เหมาะกับผู้แพ้น้ำตาลแลคโตส เพราะอาจทำให้มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ หรือท้องเสียเช่นกัน นมถั่วเหลือง ✅มีโปรตีนสูง วิตามินA, B12, D โพแทสเซียม และแมกนีเซียมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้แพ้นมวัว ✅นมถั่วเหลืองมีส่วนช่วยในการลดปริมาณการละลายแคลเซียม และช่วยลดภาวะกระดูกพรุนได้ดีอีกทั้งวิตามินอื่นๆในนมถั่วเหลืองยังเป็นส่วนสำคัญในการซ่อมแซมกระดูกและฟันได้อีกด้วย ✅นมถั่วเหลืองเสริมสร้างระบบประสาทและป้องกันโรคนิ่ว ‘เลซิทิน’ ในนมถั่วเหลืองถือเป็นสารสำคัญที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มการเรียนรู้และการจดจำในวัยเด็กและวัยสูงอายุได้ 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมถั่วเหลือง : ไม่ควรดื่มนมถั่วเหลืองเกินวันละ 280-300 กรัมหรือเกิน 1 แก้วครึ่ง การดื่มนมถั่วเหลืองในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อร่างกายดังนี้คือ ทำให้ระบบฮอร์โมนขาดความสมดุล ทำให้อ้วนง่าย ทำให้มีอาการท้องเสีย หรือในบางรายอาจมีผื่นลมพิษและคันปาก นมอัลมอนด์ ✅อุดมไปด้วยไขมันอิ่มเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้แลคโตสในนมวัว ✅เนื่องจากนมอัลมอนด์มีเส้นใยอาหารในปริมาณมาก มันจึงช่วยในการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี ✅ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้ถึง 25% ✅มีโปรตีนสูงมาก ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างความเจริญเติบโต ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยรักษาสมดุลของกรดด่างในร่างกาย ✅มีสารฟลาโวนอยด์สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจ 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมอัลมอนด์ : ไม่เหมาะสำหรับเด็กทารก ที่อายุต่ำกว่า 1 ปีเนื่องจากการให้สารอาหารที่จำเป็นไม่ครบถ้วนเพียงพอ อีกประการ คือ ส่งผลต่อไทรอยด์ เนื่องจากนมอัลมอนด์เป็นแหล่งของไทโรซีนซึ่งอาจทำให้อาการปวดหัวไมเกรนรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อระดับฮอร์โมนผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ได้ นมน้ำข้าว ✅มีคาร์โบไฮเดตสูงและโปรตีนต่ำ ไม่มีคอลเลสเตอรอล ✅มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอันควร ✅สารอาหารในน้ำนมข้าวช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมอง สารกาบา (GABA) ในน้ำนมข้าวช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมน้ำข้าว : นมข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าวอื่นๆ อาจมีสารอนินทรีย์สารหนูสูงกว่าอาหารอื่นๆ ซึ่งผลข้างเคียงจากการบริโภคสารหนูในระยะยาวและในปริมาณที่มากได้แก่ มะเร็งปอด,มะเร็งกระเพาะปัสสาวะและมะเร็งผิวหนัง อย่างไรก็ตามปริมาณสารหนูในนมข้าว ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใหญ่ ขอแนะนำให้เก็บห่างจากทารกและเด็กเล็ก และไม่เหมาะสำหรับมารดาที่ให้นมบุตรแก่ทารก การศึกษาพบว่าผลของสารหนู ต่อเด็กเล็กคือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทเสื่อมลง นมข้าวโพด มีไฟเบอร์สูง อุดมไปด้วยวิตามิน A, B และเบตาแคโรทีน โดย ✅วิตามิน เอป้องกันโรคสายตาต่างๆ เช่น โรคสายตาสั้น,โรคมองที่มืดไม่เห็น,โรคหัวใจ ✅วิตามิน บี 1ป้องกันกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื่อ ✅วิตามิน บี 2ป้องกันตาอักเสบและอาหารแพ้แสงแดด ✅วิตามิน บี 6ป้องกันโรคเหงือ,ฟัน,โรคโลหิตจาง,โรคผิวหนังและโรคระบบประสาท ✅สารโคลีน ป้องกันโรคสมองเสื่อม,ขี้ลืม ✅เบต้าแคโรทีน ป้องกันผิวไหม้จากแสงแดดต่อต้านโรคมะเร็ง 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมข้าวโพด : นมข้าวโพดอาจจะหาซื้อยากสักหน่อย รวมถึงอาจจะมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรสหวานซึ่งหากบริโภคมากๆก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน นมมะพร้าว ✅มีแคลรอรี่ต่ำ และมีไขมันที่ดีที่ร่างกาย ✅บำรุงหัวใจ: ส่วนประกอบของกรดลอริกซึ่งเป็นกรดไขมันดีที่พบได้ในนมมะพร้าว ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยบำรุงหัวใจ ✅ต้านการติดเชื้อ: ร่างกายของเรายังสามารถแปลงกรดลอริกให้กลายเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่ชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งเป็นสารเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดา มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัส ✅ลดความดัน: แร่ธาตุ แมกนีเซียม ที่พบได้ในนมมะพร้าวและน้ำมะพร้าว สามารถช่วยลดความดันและเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ✅ช่วยควบคุมเบาหวาน: นมมะพร้าวยังอาจมีสรรพคุณต่อต้านเบาหวาน โดยช่วยชะลออัตราการปล่อยน้ำตาลสู่กระแสเลือดและสามารถควบคุมระดับอินซูลินได้อีกด้วย ✅บำรุงร่างกาย: นมมะพร้าวมีส่วนประกอบของโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการเร่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวและแดง เกล็ดเลือด และส่วนประกอบที่ร่างกายต้องใช้ในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข้มแข็ง ✅บำรุงสมอง: นมมะพร้าวมีส่วนประกอบของกรดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ขนาดกลาง ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการรักษาโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมมะพร้าว : เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวนั้นไวต่อการทำปฏิกิริยากับอากาศ หากไม่ได้ผ่านการแปรรูปที่ถูกวิธี อาจทำให้น้ำมะพร้าวบูด และเสียคุณค่าทางสารอาหารได้ง่าย กระบวนการผลิตและบรรจุแบบปลอดเชื้อ นมถั่วพิสทาชิโอ ✅มีวิตามิน E แคลเซียม และใยอาหารสูง ✅อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดเช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ทองแดง แมงกานีส และพบวิตามินเค สูงโดยมีประมาณ 13.2 มิลลิกรัม / 100 กรัม และหลายงานวิจัยศึกษาถั่วพิสตาชิโอพบว่ามีประโยชน์ในการควบคุมความดันโลหิต (BP) และโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก 🔎ข้อควรพิจารณาเมื่อเลือกดื่มนมถั่วพิสทาชิโอ : เนื่องจากปัญหานมพิสตาชิโอมีสารอาหารต่ำกว่านมอื่นๆ ทำให้ผู้ผลิตได้ทำการใส่สารอาหารอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต, ใยอาหาร, วิตามินอี หรือการผสมถั่วชนิดอื่น ๆ ลงไปในน้ำนม เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ให้มากขึ้น ผู้บริโภคจึงควรตรวจสอบฉลากให้ถี่ถ้วนว่าแพ้ส่วนผสมใด หรือมีสัดส่วนพลังงานที่เกินความจำเป็นหรือไม่ 5.ถ้าแม่โกรธแล้วหนูจะทำยังไงให้แม่หายโกรธคะ ?    โดยสรุปครับ คำถามเหล่านี้อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกรู้จักสื่อสาร และรู้ว่าเขาสามารถแบ่งปันเรื่องราวให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้ทุกเรื่อง เพราะพ่อคุณแม่พร้อมที่จะรับฟังเขาเสมอ การที่พ่อคุณแม่สอนให้ลูกแบ่งปันเรื่องราวตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจพ่อคุณแม่มากขึ้นเมื่อเจอเรื่องราวต่างๆ ตอนที่เขาโตขึ้น เขาก็พร้อมจะแบ่งปันเรื่องราวให้พ่อคุณแม่ฟัง เป็นการสร้างพลังที่แข็งแกร่งให้กับครอบครัวได้อย่างมั่นคงนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ดื่มนมแบบไหน ใช่สำหรับคุณ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ดื่มนมแบบไหน ใช่สำหรับคุณ Read More »

ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน

             ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับท่านที่ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร หรือนั่งทำงานอยู่กับที่ในสำนักงานนานๆ ก็คงเคยมีประสบปัญหา ตาล้า ปวดตา ถ้าในระยะยาว ก็อาจจะเกิดความผิดปกติกับสายตาได้ หรือแบบใกล้ตัวเลยก็อาจประสบภาวะ Computer Vision Syndrome ที่มีต้นเหตุจากการจ้องคอมพิวเตอร์หรือตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่างเป็นเวลานานๆ ประกอบกับอยู่ในห้องแอร์ การกระพริบตาน้อยลง ตาเริ่มแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายในตา ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ เห็นอาการแล้วก็น่ากังวลใช่ไหครับ วันนี้แอดมินมีวิธีบริหารดวงตาระหว่างวันเพื่อลดความล้า ผ่อนคลายดวงตา มาให้ทุกท่านปฏิบัติกันแบบง่ายๆกันครับ มาเริ่มฝึกบริหารดวงตา ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ 1.กะพริบตาทุก 4 วินาที เมื่อจ้องคอมพิวเตอร์ นานเกินไปไม่กระพริบตาเลย ทำให้ตาแห้งและกระพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง/นาที ทำให้เกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งจนเกิดอาการแสบตา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้คุณกะพริบตาทุกๆ 4 วินาที 2.เหลือบตาไปมาซ้าย-ขวา เหลือบตาขึ้นลง 1 นาที มองตรงไปด้านหน้า แล้วกลอกตาไปทางด้านซ้ายโดยไม่ต้องขยับศีรษะพยายามโฟกัสในสิ่งที่มองเห็นเป็นเวลา 1 นาที จากนั้นให้กรอกตาไปทางด้านขวาโฟกัสในสิ่งที่เห็น เป็นเวลา 1 นาที เหลือบหรือกลอกลูกนัยน์ตามองบนโฟกัสในสิ่งที่เห็น จากนั้นให้มองลงล่าง และมองสลับบนลงล่างเป็นเวลา 1 นาที ทำสลับกัน 3-5 ครั้ง 3.ประคบตาด้วยฝ่ามือ ถูฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อให้ฝ่ามืออุ่น วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนดวงตาของเราโดยให้ปลายนิ้วแตะบริเวณดวงตา หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด พยายามปล่อยใจให้โล่ง เอามือออกและค่อยๆ ลืมตาเพื่อให้ดวงตาของเราปรับโฟกัสอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถทำซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ 4.พักสายตาทุก 20 นาที ลดตาล้า แสงสีฟ้าจากหน้าจอ ล้วนทำให้เราปวดตา ดังนั้นควรพักสายตาทุกชั่วโมง โดยการมองไปทางอื่น 5.กวาดสายตาระยะไกล ในขณะเพ่งหน้าจอ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ๆ นั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้า และเพลียมากๆ แนะนำ ให้ถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อยๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆหรือมองไปมุมที่มีสีเขียวเยอะๆ จะช่วยให้อาการตาล้าดีขึ้นได้ประมาณ 5-10 นาที ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน กลับสู่หน้าหลักบทความ

ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน Read More »