sadanon

ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน

             ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สำหรับท่านที่ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร หรือนั่งทำงานอยู่กับที่ในสำนักงานนานๆ ก็คงเคยมีประสบปัญหา ตาล้า ปวดตา ถ้าในระยะยาว ก็อาจจะเกิดความผิดปกติกับสายตาได้ หรือแบบใกล้ตัวเลยก็อาจประสบภาวะ Computer Vision Syndrome ที่มีต้นเหตุจากการจ้องคอมพิวเตอร์หรือตั้งใจทำบางสิ่งบางอย่างเป็นเวลานานๆ ประกอบกับอยู่ในห้องแอร์ การกระพริบตาน้อยลง ตาเริ่มแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายในตา ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ เห็นอาการแล้วก็น่ากังวลใช่ไหครับ วันนี้แอดมินมีวิธีบริหารดวงตาระหว่างวันเพื่อลดความล้า ผ่อนคลายดวงตา มาให้ทุกท่านปฏิบัติกันแบบง่ายๆกันครับ มาเริ่มฝึกบริหารดวงตา ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้ 1.กะพริบตาทุก 4 วินาที เมื่อจ้องคอมพิวเตอร์ นานเกินไปไม่กระพริบตาเลย ทำให้ตาแห้งและกระพริบตาลดลงจาก 20-22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง/นาที ทำให้เกิดความรู้สึกเพลียสายตา และทำให้ตาแห้งจนเกิดอาการแสบตา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตาแห้ง จนต้องเพ่งสายตาทำงานมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้คุณกะพริบตาทุกๆ 4 วินาที 2.เหลือบตาไปมาซ้าย-ขวา เหลือบตาขึ้นลง 1 นาที มองตรงไปด้านหน้า แล้วกลอกตาไปทางด้านซ้ายโดยไม่ต้องขยับศีรษะพยายามโฟกัสในสิ่งที่มองเห็นเป็นเวลา 1 นาที จากนั้นให้กรอกตาไปทางด้านขวาโฟกัสในสิ่งที่เห็น เป็นเวลา 1 นาที เหลือบหรือกลอกลูกนัยน์ตามองบนโฟกัสในสิ่งที่เห็น จากนั้นให้มองลงล่าง และมองสลับบนลงล่างเป็นเวลา 1 นาที ทำสลับกัน 3-5 ครั้ง 3.ประคบตาด้วยฝ่ามือ ถูฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อให้ฝ่ามืออุ่น วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนดวงตาของเราโดยให้ปลายนิ้วแตะบริเวณดวงตา หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด พยายามปล่อยใจให้โล่ง เอามือออกและค่อยๆ ลืมตาเพื่อให้ดวงตาของเราปรับโฟกัสอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถทำซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ 4.พักสายตาทุก 20 นาที ลดตาล้า แสงสีฟ้าจากหน้าจอ ล้วนทำให้เราปวดตา ดังนั้นควรพักสายตาทุกชั่วโมง โดยการมองไปทางอื่น 5.กวาดสายตาระยะไกล ในขณะเพ่งหน้าจอ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้จอมากแค่ไหน ซึ่งการที่เราใช้สายตาในระยะใกล้ๆ นั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่พาให้สายตาล้า และเพลียมากๆ แนะนำ ให้ถอยห่างออกจากจอคอมพิวเตอร์เท่าที่จะเป็นไปได้ และปรับระยะโฟกัสสายตาด้วยตัวเองบ่อยๆ โดยวิธีก็แค่ถอยออกไปอยู่หน้าประตูห้อง หรือมุมไหนของห้องก็ได้ ที่จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของห้องกว้างที่สุด แล้วกวาดสายตามองสิ่งของต่างๆหรือมองไปมุมที่มีสีเขียวเยอะๆ จะช่วยให้อาการตาล้าดีขึ้นได้ประมาณ 5-10 นาที ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน กลับสู่หน้าหลักบทความ

ฝึกบริหารดวงตา ช่วงเวลาทำงานกัน Read More »

ออกกำลังกายอย่างไร ให้ดีต่อ(หัว)ใจ

ออกกำลังกายอย่างไร ให้ดีต่อ(หัว)ใจ การออกกำลังกายมอบประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติได้หลายประการ ได้แก่ 1. สุขภาพดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย ป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ 2. ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น อารมณ์ไม่แปรปรวน 3. ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล 4. ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น 5. ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น 6. ทำให้กระฉับกระเฉง มีพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 7. ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายดีขึ้น ลดการปวดเมื่อย และคุณภาพชีวิตดีขึ้น 8. ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น 9. เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น 10. ช่วยลดความเลี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุได้ 11. ช่วยกินอาหารได้มากขึ้น โดยที่ยังรักษารูปร่างได้ 12. ช่วยให้ดูเด็กกว่าอายุจริง การออกกำลังกายอย่างพอดีช่วยให้หัวใจแข็งแรงได้ ดังที่หัวข้อได้กล่าวไว้การออกกำลังกายอย่าง”พอดี”จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในทางตรงกันข้าม ในช่วงหลายปีมานี้ท่านอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากการการออกกำลังกายซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้คือ “หัวใจ” โดยปกติแล้วอัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate) ในขณะที่เราอยู่เฉยๆ ปกติจะอยู่ที่ 70-90 ครั้งต่อนาที แต่เมื่อออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นถี่ขึ้นเป็น 100-135 ครั้งต่อนาที การ Workout ที่ดีต่อใจจะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น โดยที่การออกกำลังกายนั้นต้อง “หนักพอ” ที่จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นจนถึง “เป้าหมาย” และ “นานพอ” (ประมาณ 15 นาทีขึ้นไป หากสูงกว่าค่าเฉลี่ยแน่นอนว่าอาจส่งผลต่อเสียมากกว่าส่งผลดีเป็นแน่ TIPs : วิธีการวัดชีพจรง่าย ๆ ทำได้โดยการวางนิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนข้อมือ กดลงไปเบา ๆ จะรับรู้ได้ถึงสัญญาณชีพที่เต้นตุ้บ ๆ อยู่ ให้จับเวลา 30 วินาทีแล้วนับว่าหัวใจเต้นไปกี่ครั้ง จากนั้นนำตัวเลขที่วัดได้มาคูณสอง (x2) ผลลัพธ์ที่ออกมาคือจำนวนการเต้นหัวใจภายใน 1 นาที และเพื่อความแม่นยำแนะนำให้ทำซ้ำอย่างน้อย 2-3 ครั้งแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย ในปัจจุบันยังมีเครื่องมือช่วยในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่แสดงข้อมูลและคำแนะนำแก่ผู้ออกกำลังกายผ่านเทคโนโลยี และแอปพลิเคชั่น ระดับบุคคลซึ่งช่วยให้เรากำหนดรูปแบบการออกำลังกายไปสู่เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เผยเคล็ดลับทางโภชนาการบำรุงหัวใจ ที่สำคัญไม่แพ้กัน รับประทานผลไม้แช่เย็นเป็นของว่างแทนคุกกี้ เบเกอรี่ หรือขนมที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง อาจจิ้มดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้รับประทานง่ายยิ่งขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงซอส ชีสดิป หรือพริกเกลือที่มีน้ำตาล เกลือ และแคลอรี่สูง จำกัดการรับประทานเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ เพียง 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 7% ของแคลอรี่ทั้งหมดในแต่ละวัน เช่น หากควรได้รับพลังงานวันละ 2000 แคลอรี่ ควรได้รับไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 15 กรัม (ไขมัน 1 กรัม = 9 แคลอรี่) ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ออกกำลังกายอย่างไร ให้ดีต่อ(หัว)ใจ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ออกกำลังกายอย่างไร ให้ดีต่อ(หัว)ใจ Read More »

สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ จากการขาดการออกกำลังกาย

อาการของภาวะมวลกล้ามเนื้อพร่อง เป็นอย่างไร ?         ภาวะมวลกล้ามเนื้อพร่อง (Sarcopenia) ซึ่งโดยปกติแล้วมักพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันกลับพบว่าภาวะนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในกลุ่มอายุน้อยกว่า 60 ปีได้มากขึ้น ยิ่งในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ตลอดช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้กิจวัตรที่ปฏิบัติประจำถูกจำกัด บางท่านขาดการออกกำลังกาย หรือหลายท่านรับประทานอาหารที่มีโปรตีนไม่เพียงพอ ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้ กลุ่มอาการที่พบจะประกอบด้วย หนื่อยล้าง่าย เดิน วิ่งได้ระยะทางสั้นลง ลุกยืนลำบาก ขึ้นลงบันไดลำบาก ทรงตัวได้ไม่ดี เซล้มง่าย น้ำหนักลดลง กล้ามเนื้อเหลว ยกของได้น้อยลง ล้าแขนง่าย คุณภาพชีวิตลดลง และอาจเกิดโรคซึมเศร้า นำไปสู่ภาวะกระดูกพรุนหรือภาวะติดเตียงได้เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นภาวะกล้ามเนื้อพร่อง ควรรีบพบแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อเข้ารับการตรวจประเมินมวลกล้ามเนื้อ ด้วยเครื่องมือ Bioelectrical Impedence Analysis (BIA) หากพบว่ามวลกล้ามเนื้อน้อยแพทย์จะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดด้วยโปรแกรมเฉพาะบุคคล เพื่อฟื้นฟูมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อให้สามารถกลับมาทำกิจกรรมต่างๆ หรือเล่นกีฬาได้ดังเดิม การป้องกันภาวะมวลกล้ามเนื้อบกพร่อง (Sarcopenia) ภาวะ Sarcopenia อาจป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อและร่างกายส่วนต่าง ๆ  แต่ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม และควรทำควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารและอาหารเสริมก็มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะมวลกล้ามเนื้อบกพร่อง ได้เช่นกัน ผู้ป่วยภาวะ Sarcopenia อาจเพิ่มการรับสารอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เช่น 1.โปรตีนอย่างเนื้อสัตว์ ปลา ไข่หรือถั่วเหลือง จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อและเพิ่มความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ อีกทั้งโปรตีนยังมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มการสร้างกล้ามเนื้อ 2.ไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยเพิ่มการสร้างและช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ โดยผู้ป่วยสามารถรับประทานได้จากอาหารทะเลหรือในรูปแบบอาหารเสริม 3.วิตามินดี เป็นวิตามินที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่กระดูกและกล้ามเนื้อ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียการทรงตัว 4.ครีเอทีน เป็นสารอาหารที่พบได้มากในเนื้อสัตว์ หรืออาจรับประทานในรูปแบบอาหารเสริม ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ จากการขาดการออกกำลังกาย กลับสู่หน้าหลักบทความ

สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ จากการขาดการออกกำลังกาย Read More »

วิธีวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น

5 วิธีวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น การหายใจควรหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าหายใจไม่ทันแสดงว่าวิ่งเร็วเกินไปให้ลดความเร็วในการวิ่งลง การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม ( Abdominal Breathing ) คือ เวลาหายใจเข้ากล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวลงทำให้ลมเข้าไปในปอด หน้าท้องจะพองหรือขยายตัว ( พุงป่อง ) และ เวลาหายใจออก กล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น พุงจะยุบ วิธีการหายใจแบบนี้จะทำให้ไม่จุกเสียดชายโครงถ้าวิ่งนาน ๆ รองเท้าและชุดวิ่งรองเท้าต้องเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งเท่านั้น เพราะออกแบบสำหรับวิ่ง เพื่อรับแรงกระแทกและน้ำหนักของร่างกายได้ดี ควรเผื่อไซส์ให้หลวมเล็กน้อยไม่พอดีจนเกินไป พอที่จะเอานิ้วคั่นระหว่างส้นเท้ากับส่วนหลังของรองเท้าได้ เพราะหากรองเท้าคับเกินไป เท้าอาจพองหรือเจ็บได้ ส่วนชุดที่สวมใส่ขณะวิ่งควรเลือกที่มีน้ำหนักเบา สบายผิว ระบายความร้อนได้ดี เลี่ยงชุดที่มีตะเข็บแข็งๆ หรือรัดแน่นจนเกินไป การจัดมือเรียงนิ้วเหมือนการฟันมือแบบคาราเต้ เพื่อความลู่ลมในการเหวี่ยงแขน หากพื้นที่วิ่งไม่ค่อยเรียบหรือทัศนวิสัยไม่ค่อยดีหากวิ่งตอนเช้ามืดหรือตอนกลางคืนแล้วมองพื้นไม่ค่อยเห็น ให้ลองยกเท้าให้สูงขึ้นอีกนิด 15-20 นาทีแรกควรวิ่งช้าๆ เบาๆก่อนวิ่งช้าๆ เบาๆ วอร์มร่างกายเพื่อปรับให้สภาพร่างกายและการเต้นของหัวใจให้ค่อยๆ แรงขึ้น รวมไปถึงแขนขาด้วย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 5 วิธีวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีวิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น Read More »

อยากวิ่งลดหุ่นตอนเย็น แต่เข่าไม่ดีทำไง ?

        อยากวิ่งลดหุ่นตอนเย็น แต่เข่าไม่ดีทำไง ? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ มีคำถามจากท่านผู้รักสุขภาพมากมายครับ และหนึ่งในคำถามที่แอดมินจะหยิบยกมาไขข้อข้องใจในวันนี้คือ อยากวิ่งลดหุ่นตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่เข่าไม่ดีทำอย่างไร ? กรณีนี้จะอธิบายทั้งตัวแปรด้านนำหนักกายและภาวะโรคเกี่ยวกับเข่านะครับว่าจะสามารถออกกำลังกายแบบเซฟตี้อย่างไร แบบไหนบ้าง ติดตามไปพร้อมกันครับ เหตุใดผู้ที่เจ็บเข่าไม่ควรวิ่ง ?           นั่นเพราะในขณะที่วิ่งบางท่านจะมีจังหวะก้าวที่ยาว และการก้าวยาวเกินไปนั้น หรือที่เรียกว่า Overstride นั่นคือ การวิ่งลงส้นในขณะที่เข่าตึง ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกระแทกขึ้นมาถึงบริเวณเข่าได้มาก ทำให้กล้ามเนื้อช่วยรับแรงได้น้อย เปรียบเสมือนการตอกเสาเข็มที่หากวิ่งลักษณะนี้เป็นเวลายาวนานต่อเนื่องจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ครับ แต่ก็มีเทคนิคครับ ขณะวิ่งให้ท่านงอลำตัวไปข้างหน้า15 องศา จะทำให้ก้าวยาวยากขึ้น จะช่วยลดโอกาสการเกิด Overstride ได้ครับ และจะต้องมีการฝึกวิ่งลงเท้าโดยค่อนไปทางหน้าเท้าแทนการวิ่งลงส้นครับ เทคนิคการเดินเร็วสำหรับท่านที่น้ำหนักตัวมาก         การเดินเร็วหรือ Brisk Walking เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอรูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจและเพิ่มการเผาผลาญ หากทำเป็นประจำอาจช่วยลดน้ำหนักตัวและไขมันได้ดีด้วย1.เริ่มจากการการอบอุ่นร่างกายหรือวอร์มอัพ (Warm up) โดยเน้นการยืดเหยียดและขยับร่างกายราว 10‒15 นาที การเดินย่ำเท่าอยู่กับที่ และการแกว่งแขน โดยทำท่าละ 1‒2 นาที⏱️และสลับไปเรื่อย ๆ2.พอเริ่มเดินเร็ว ควรจัดการเคลื่อนไหวให้เหมาะสม ด้วยการตั้งศีรษะให้ตรง มองไปด้านหน้าไม่เดินก้มหน้า ผ่อนคลายคอ ไหล่ และหลัง ตั้งลำตัวให้ตรง เกร็งหน้าท้องเล็กน้อย ไม่แอ่นหรือโค้งหลัง ระหว่างเดินเร็วควรใช้ส้นเท้าลงก่อนเสมอ ตามด้วยฝ่าเท้าและปลายเท้าตามลำดับ ไม่ควรกระแทกส้นเท้าและพยายามเดินให้เกิดแรงกระแทกน้อยที่สุด สามารถแกว่งแขนได้เหมือนการเดินปกติ หรือยกและแกว่งแขนให้คล้ายกับการวิ่งก็ได้เช่นกัน เดินเร็วด้วยความเร็วปานกลางต่อเนื่องกันอย่างน้อย 30 นาที3.คูลดาวน์ (Cool Down) เป็นกิจกรรมหลังการเดิน ทำเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจอาจเริ่มต้นจากการเดินช้าลงหรือเดินด้วยเร็วปกติ จากนั้นค่อยยืดเหยียดร่างกาย โดยอาจเป็นการนั่งเหยียดขาและก้มแตะปลายเท้า หรือการยกส้นเท้าขึ้นมาแตะก้น แล้วผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมออกกำลังกายแบบไหนดี ? 1.ปั่นจักรยานอยู่กับที่ เป็นวิธีช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ขาและข้อเข่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป2.เดิน เลือกสถานที่ที่ปลอดภัย เดินสะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวาง ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการทรงตัวสามารถเดินบนลู่วิ่งสายพานแทนได้ โดยปรับความชันให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด3.ออกกำลังกายในน้ำ เช่น ว่ายน้ำ หรือเดินในน้ำ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรง เนื่องจากน้ำจะช่วยลดแรงกดทับที่ข้อเข่า การเดินในน้ำที่มีความสูงระดับเอวอาจช่วยลดแรงกดทับได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นได้ว่าแม้ว่าเราจะไม่ได้วิ่งเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน แต่การเดินเร็วและการขยับอย่างต่อเนื่องก็สามารถเป็นเส้นทางสู่สุขภาพที่ดีได้และแม้แต่น้ำหนักตัวหรือโรคภัยก็ไม่สามารถเป็นอุปสรรคสำคัญเช่นเดียวกับท่านผู้รักสุขทุกท่านที่เลือกออกกำลังกายเพื่อตนเองอย่างเหมาะสม อย่าลืมนะครับเดินเร็วทำอย่างต่อเนื่อง 30 นาที และสม่ำเสมอ ควบคู่กับการควบคุมอาหาร สุขภาพดีสร้างได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อยากวิ่งลดหุ่นตอนเย็น แต่เข่าไม่ดีทำไง ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

อยากวิ่งลดหุ่นตอนเย็น แต่เข่าไม่ดีทำไง ? Read More »

กินตามใจ วิ่งเท่าไหร่ถึงเผาผลาญหมด

 กินตามใจ วิ่งเท่าไหร่ถึงเผาผลาญหมด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้มาดูเกร็ดข้อมูลเกี่ยวกับการบริโภคอาหารกันครับ อาหารยอดนิยมที่หากทานแล้วนำไปสู่โรคอ้วน หากทานในปริมาณมากๆต่อเนื่องยาวนาน แต่ถึงกระนั้นวินัยช่วยได้ครับ การวิ่งเพื่อเผาผลาญพลังงานไม่ใช่แค่ไขมัน แต่คือการเผาผลาญแป้งและน้ำตาลด้วย การเผาผลาญพลังงานจากการกิน จึงสรุปได้ดังนี้ครับ 1.การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด ซึ่งช่วยในการลดน้ำหนักตัว หรือควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสม โดยการวิ่ง 1 กิโลเมตรจะเผาผลาญพลังงานประมาณ 100-150 กิโลแคลอรี่ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและความเร็วของการวิ่ง 2.การเผาผลาญพลังงาน เพื่อลดน้ำหนักตัว จำเป็นต้องเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่บริโภค โดยค่าเฉลี่ยอย่างที่ทราบกันคือ คนทั่วไป ทานไม่เกิน 2000 กิโลแคลอรี่ ทานมากกว่านี้นั่นหมายความว่าอาจเป็นพลังงานส่วนเกิน ปฏิบัติโดยการลดปริมาณอาหารที่บริโภคหรือจัดสัดส่วนโภชนาการในแต่ละมื้อให้เหมาะสม และ เพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกาย  เพื่อให้  มีการเผาผลาญพลังงานที่มากขึ้น 3.ความสำคัญของโภชนาการในการวิ่ง เพื่อให้สามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องรักษาสมดุลของโภชนาการ การบริโภคอาหารที่มีปริมาณโปรตีน  คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ อาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่เพียงพอสำหรับการวิ่ง และต่อไปนี้คือตัวอย่างอาหารพลังงานสูงที่เมื่อเปรียบเทียบ ด้วยการทดแทนด้วยการวิ่งเป็นระยะทางต่างๆ น้ำอัดลม (130-140 kcal วิ่ง 2 km.) ชานมไข่มุก  (360 kcal วิ่ง 7 km.) โกโก้เย็นใส่นม  (334 kcal วิ่ง 6.6 km.) ข้าวขาหมู (690 kcal วิ่ง 11 km.) ข้าวมันไก่  (596 kcal วิ่ง 9.6 km.) เค้กชิ้นเล็ก  (160 kcal วิ่ง 2.3 km.) คุกกี้ช็อคชิพ (63 kcal วิ่ง 1.2 km.) ทั้งนี้เป็นการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากการเผาผลาญพลังงานยังมีตัวแปรด้านน้ำหนักตัว อัตราความเร็วในการวิ่ง และปัจจัยอื่นๆ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : กินตามใจ วิ่งเท่าไหร่ถึงเผาผลาญหมด กลับสู่หน้าหลักบทความ

กินตามใจ วิ่งเท่าไหร่ถึงเผาผลาญหมด Read More »

เป็นโรคไตดื่มชากาแฟเป็นประจำได้มั๊ย ?

              เป็นโรคไตดื่มชากาแฟเป็นประจำได้มั๊ย ? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้ว่าด้วยเรื่องของชา กาแฟ ซึ่งคนไทยนิยมดื่มกันเป็นที่แพร่หลาย สำหรับท่านที่มีร่างกายแข็งแรงไม่ได้เป็นโรคไตก่อนก็สามารถที่จะดื่มชาดื่มกาแฟได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องของน้ำตาล ครีมเทียม นมข้นกันสักหน่อยครับ เนื่องจากความหวานอาจนำพาท่านไปสู่โรคเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือดและปัญหาอ้วนลงพุงได้ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงการดื่ม ชากาแฟสำหรับท่านที่เป็นโรคไตกันครับ ว่าสำหรับหรับท่านที่เป็นโรคไตโดยเฉพาะระยะท้ายๆ สามารถดื่มชากาแฟเป็นประจำได้หรือไม่ ติดตามไปพร้อมกันครับ เป็นโรคไตดื่มกาแฟดื่มชาเป็นประจำได้หรือไม่ ? สำหรับท่านที่เป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรังระยะท้ายๆ “ต้องระมัดระวัง” การดื่มชาและกาแฟครับ สำหรับท่านที่เป็นโรคไตเสื่อมระยะแรกๆ ระยะ 1 ระยะ 2 อาจจะยังพอดื่มได้ครับ(ชา กาแฟไม่เติมน้ำตาล) แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตเสื่อมระยะท้ายๆตั้งแต่ระยะที่ 3,4 หรือ 5 ต้องระมัดระวังในการเลือกดื่มครับ เนื่องจากชาและกาแฟจะมีส่วนประกอบของ “โพแทสเซียม” และ “ฟอสฟอรัส” ที่สูง คนที่เป็นโรคไตเสื่อมระยะท้ายๆ ไตซึ่งทำหน้าที่ในการขับของเสียต่างๆก็จะมีความสามารถในการขับฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมลดลงด้วย หากรับประทานอาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมมากๆหรือติดต่อกันนานๆ ก็จะขับออกได้ไม่ดีครับ ถ้าระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงมากเกินไปอาจจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้นได้ (ระดับโพแทสเซียมในเลือดควรน้อยกว่า 5 mEq/L) และฟอสฟอรัสที่สูงขึ้นจะทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง เมื่อแคลเซียมถูกดึงออกมาจากกระดูก ก็ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสจะจับกับแคลเซียมที่อยู่ในเลือดเกิดเป็นหินปูนอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจและข้อ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจตามมาได้ครับ นอกจากชา กาแฟ แล้ว ท่านควรลดหรืองดการรับประทาน นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย คุกกี้ ขนมปัง ไอศกรีม ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วต่างๆ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ผงชงรสช็อคโกแลตต่างๆ โกโก้ โคล่า เบียร์ น้ำแร่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวโพด งา ทองหยิบ ทองหยอด ไข่แดง เมล็ดพืช แมลงทอดต่างๆ แต่ท่านสามารถเลือกทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำได้ เช่น สัปปะรด แอปเปิ้ล ส้มเช้ง เงาะ สละ ลูกท้อ เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถชะลอความรุนแรงของโรค ควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เป็นโรคไตดื่มชากาแฟเป็นประจำได้มั๊ย ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

เป็นโรคไตดื่มชากาแฟเป็นประจำได้มั๊ย ? Read More »

ภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ป้องกันอย่างไร

                ภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ป้องกันอย่างไร วันนี้มาดูกันว่าเด็กวัยใดขาดสารอาหารมากที่สุด? จากข้อมูลที่มีอยู่พบว่า “เด็กก่อนวัยเรียน” เป็นวัยที่เผชิญภาวะนี้มากที่สุด ซึ่งวัยนี้มีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายที่รวดเร็ว ความต้องการโปรตีนและสารอาหารต่อน้ำหนักตัวจะสูงกว่าวัยอื่นๆ ปัจจัยที่ไม่อาจละเลยคือความใส่ใจของปกครอง เนื่องจากเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถกินอาหารด้วยตนเองได้อย่างเต็มที่ ผู้ปกครองจึงควรให้ความสำคัญกับมื้ออาหารให้มีโภชนาการที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอ นอกจากนั้นเด็กวัยนี้ยังมีโอกาสติดเชื้อมากกว่าวัยอื่นๆ การเสริมภูมิต้านทานโรคจึงสามารถกล่าวได้ว่ามีความสอดคล้องกับโภชนาการส่วนบุคคลของเด็กเป็นอย่างมาก หมั่นสังเกตสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเด็กๆกำลังประสบ ภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ? 1. มีอาการซึมเศร้า ไม่ร่าเริง2. น้ำหนักน้อยกว่าปกติ3. รู้สึกกระสับกระส่าย ไฮเปอร์อยู่ตลอดเวลา4. มีอาการตาเหลือง5. มีภาวะพูดช้า6. ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม7. ผิวหนังแห้ง8. มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมบาง ผมขาดง่าย ไม่เเข็งแรง9. รู้สึกเบื่ออาหาร10. ผิวหนังเหี่ยวย่น ตาลึก แก้มตอบ ความต้องสารอาหารของเด็กเป็นอย่างไร ?           ทารกในขวบปีแรก ต้องการกำลังงานต่อวันประมาณ 80-120 กิโลแคลอรี/กก./วัน อันประกอบไปด้วยสารอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต 40-60 จากโปรตีน 7-15% และจากไขมัน 30-35% จากนั้น ความต้องการจะค่อยๆ ลดลงประมาณ 10 กิโลแคลอรี/กก./วัน ทุกช่วง 3 ปีของอายุที่เพิ่มขึ้น ก้าวไปพร้อมกันด้วยการปรับพฤติกรรม และทางเลือกโภชนาการ          เมื่อเด็กๆยังไม่สามรถจำแนกประโยชน์หรือผลกระทบจากการรับประทานได้บทบาทสำคัญจึงเริ่มต้นที่ผู้ปกครองก้าวไปพร้อมๆกันกับเด็กๆ ผู้ปกครองควรปรับเปลี่ยนอาหารในแต่ละมื้อให้มีความหลากหลาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ หากลูกไม่ค่อยกินข้าว กินยาก ยังปรับพฤติกรรมการกินไม่ได้ ควรเสริมด้วยวิตามินสำหรับเด็กให้ลูก อาจจะเลือกวิตามินรวม ที่มีวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นกับร่างกายของลูก เพราะก้าวแรกของผู้ปกครองก็คือก้าวแรกของเด็กๆเช่นกัน การเจริญเติบโตอาจไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารเท่านั้นแต่รวมถึงการจัดสิ่งแวดล้อมและสร้้างแรงจูงใจภายในให้เด็กรักที่จะทานอาหารและเมื่อถึงวัยที่สามารถเลือกโภชนาการสำหรับตนเองได้แล้วเด็กๆจะสามารถค่อยๆพัฒนาทักษะการเลือกโภชนาการที่มีประโยชน์ให้กับตนเองอย่างมีคุณภาพ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ป้องกันอย่างไร กลับสู่หน้าหลักบทความ

ภาวะขาดสารอาหารในเด็ก ป้องกันอย่างไร Read More »

สัญญาณเตือนของการ แก่ก่อนวัย

                  สัญญาณเตือนของการ แก่ก่อนวัย สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกท่านลองเช็คสัญญาณเตือนว่าร่างกายของเรานั้น แก่ก่อนวัยกันกันหรือไม่ เพราะบางทีการที่คุณไม่สดชื่นไม่กระปรี้กระเปร่า อาจเป็นเพราะร่างกายของคุณเกิดภาวะเสื่อมสภาพโดยที่คุณไม่รู้ตัวมาก่อน มาติดตามไปพร้อมกันครับ สัญญาณเตือนของการ แก่ก่อนวัย ข้อ 1 เหนื่อยง่ายกว่าปกติ😩 หากพบว่าเมื่อก่อนเคยเดินขึ้นบันไดหรือยกของหนักก็ยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ว่ามาระยะหลังนั้นขึ้นบันไดไม่กี่ชั้นก็เหมือนกำลังปีนเขา หายใจไม่ทัน นอกจากจะเหนื่อยง่ายแล้วก็ยังจะมีอาการอ่อนแรงลงไปอีก เช่นจากเคยเปิดขวดน้ำได้สบายๆ แต่ช่วงหลังๆนั้น บิดแล้วบิดอีก ก็เปิดไม่ได้สักที เคยถือของหนักได้หลายกิโลกรัม ก็กลายเป็นถือของหนักไม่ค่อยจะไหว ปวดเมื่อยเนื้อตัวแปลกๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณแก่ก่อนวัยที่ชัดเจนครับ ข้อที่ 2 ตาแดง 👁️ คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกตาของคุณไม่ขาวใสเหมือนปกติ แต่กลายเป็นสีแดงๆ ดูอ่อนล้าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้สายตามากเกิน จากการใช้ชีวิตประจำวันหรือจาการทำงาน โดยเฉพาะการใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนล้าและเส้นเลือดฝอยที่ตาทำงานหนักจนเกินไป จนทำให้เกิดอาการตาแดงเรื้อรังได้นั่นเองครับ ข้อ 3 ผิวหมองคล้ำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ⚫ ⚪ แลดูไม่สดใสอาจบ่งบอกถึงสภาวะของตับที่ทำงานผิดปกติไป จนทำให้การขับของเสียในร่างกายไม่ดีเหมือนแต่ก่อน สัญญาณนี้บ่งชี้ถึงความเสื่อมสภาพของร่างกายอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าในกรณีที่มีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่นมีอาการบวมหรือน้ำหนักลดลง ถ้าเป็นเช่นนี้ขอแนะนำให้คุณรีบปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดนะครับ ข้อที่ 4 ผิวเป็นรอยช้ำบ่อยๆ💢💪 ในวัยหนุ่มสาวนั้นเซลล์ผิวจะค่อนข้างแข็งแรงถ้าเกิดรอยช้ำก็จะหายไว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เซลล์ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ รอยช้ำจะเกิดได้บ่อย และหายยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งว่าเซลล์ผิวของคุณเสื่อมสภาพไปบางส่วนแล้วนั่นเอง ข้อ 5 มีอาการนอนไม่หลับ 🛏️🤦‍♂️ หากก่อนหน้านี้สามารถโต้รุ่งติดกัน 3 คืนได้ แต่ตอนนี้ สามสี่ทุ่ม ก็เริ่มง่วงแบบเอาไม่อยู่แล้ว ต้องเข้านอนเร็ว แต่พอเข้านอนได้ไม่เท่าไหร่ก็ตื่นไวแถมยังนอนไม่ค่อยจะหลับ แบบนี้บ่งบอกถึงภาวะฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดเยอะเกินไปและเมื่อมีความเครียดสูงคุณก็จะแก่เร็วขึ้นนั่นเอง ข้อ 6 สำหรับคุณผู้หญิง คุณอาจจะมีประจำเดือนผิดปกติ 🩸 📅 สำหรับประจำเดือนนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความแก่ได้เช่นกัน โดยเมื่ออายุมากฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลงส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาน้อยหรือมามากเกินไปก็ได้ โดยอายุเฉลี่ยของผู้หญิงไทยที่จะหมดประจำเดือน คือ ประมาณ 50 ปี โดยฮอร์โมนเพศหญิงจะเริ่มลดก่อนหมดประจำเดือนประมาณ 5 ปี ช่วงนี้จะมีอาการกวนใจต่าง ๆ หลายประการ แต่สำหรับใครที่มีอาการตั้งแต่ก่อน 40 ปีเราถือว่าเข้าข่ายหมดประจำเดือนก่อนวัย            สัญญาณเหล่านี้เป็นเพียงสัญญาณเบื้องต้นเท่านั้น ว่าร่างกายของคุณนั้นแก่ก่อนวัยหรือเปล่า ทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติอื่นๆเช่นปวดหัวบ่อย ไม่สบายบ่อย แอดมินแนะนำให้ท่านเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพกันครับ หากว่ามีปัญหาสุขภาพใด ก็จะสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีนั่นเองครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สัญญาณเตือนของการ แก่ก่อนวัย กลับสู่หน้าหลักบทความ

สัญญาณเตือนของการ แก่ก่อนวัย Read More »

เจ็บคอไม่หาย เช็คด่วน

               เจ็บคอไม่หาย เสี่ยงโรค เช็คด่วน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ เรื่องของอาการเจ็บคอเรื้อรัง เป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ป่วยอยู่บ่อยครั้ง โดยผู้ป่วยเองอาจไม่ทราบภาวะสุขภาพของตนเองเนื่องจากไม่ค่อยได้ตรวจสุขภาพ วันนี้ Admin World med ได้นำสาระเกี่ยวกับโรคที่มีอาการเจ็บคอเรื้อรังมาฝากแฟนเพจทุกท่านครับ ลองสังเกตดูว่าท่านมีอาการตรงตามโรคใดบ้างหรือไม่ ติดตามไปพร้อมๆกันครับ เจ็บคอไม่หาย เสี่ยงโรค อะไรบ้าง 1.โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง โรคนี้จะทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุจมูกเรื้อรัง ทำให้เยื่อบุจมูกบวม มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง ทำให้ต้องหายใจทางปากตลอด เกิดเยื่อบุลำคอแห้ง มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้ นอกจากนั้นสารคัดหลั่งจากไซนัสและจมูกที่อักเสบที่ไหลลงคอ จะทำให้มีอาการอักเสบ ระคายเคืองของผนังคอ ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้เช่นกัน 2.โรคเนื้องอกของคอและกล่องเสียง เนื้องอกอาจไปกดเบียดเส้นประสาท ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้ นอกจากนั้นผู้ป่วยมักมีอาการ กลืนลำบาก น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อาจมีเสมหะปนเลือด หรือปวดร้าวไปที่หูได้ 3.โรคกรดไหลย้อน ซึ่งกรดอาจไหลย้อนขึ้นมาที่ผนังคอ ทำให้เยื่อบุและกล้ามเนื้อของผนังคอมีการอักเสบ ทำให้มีอาการเจ็บคอเป็น ๆ หาย ๆได้ นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการเสียงแหบ กลืนติด กลืนลำบาก มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลาร่วมด้วย 4.ช่องคออักเสบ และ/หรือสายเสียงอักเสบเรื้อรัง จากการระคายเคืองจากการสัมผัสกับฝุ่น ควันบุหรี่ อาหารรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด หรือเกิดจากการใช้เสียงผิดวิธี หรือเกิดจากการไอเรื้อรัง ทำให้มีการกระแทกกันของสายเสียง และมีการใช้กล้ามเนื้อของผนังคอมากเกินไป 5.การติดเชื้อของลำคอ และ/หรือต่อมทอนซิลเรื้อรัง เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งดื้อต่อยาต้านจุลชีพที่รับประทาน หรือเกิดจากผู้ป่วยรับประทานยาต้านจุลชีพไม่ครบตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น หรือมีแหล่งของเชื้อโรคอยู่ในช่องปาก เช่น มีฟันผุ หรือโรคเหงือก นอกจากนั้นการติดเชื้อบางชนิดอาจทำให้เจ็บคอเรื้อรังได้ เช่น การติดเชื้อราบางชนิด,เชื้อวัณโรค,เชื้อโรคเรื้อน หรือเชื้อซิฟิลิส อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อดังกล่าวนี้พบได้น้อย      จะเห็นได้ว่าอาการเจ็บคอเรื้อรัง เกิดได้จากหลาย หากท่านมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก เพื่อหาสาเหตุของอาการต่อไปครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เจ็บคอไม่หาย เสี่ยงโรค เช็คด่วน กลับสู่หน้าหลักบทความ

เจ็บคอไม่หาย เช็คด่วน Read More »