Health Tips

ทานพืชผักกลุ่มนี้มาก น้ำตาลในเลือดสูงไม่รู้ตัว

             ทานพืชผักกลุ่มนี้มาก น้ำตาลในเลือดสูงไม่รู้ตัว สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกลับมาพบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้นำเสนอบทความสุขภาพมาระยะหนึ่งครับ วันนี้ Admin Worldmed จึงหยิบเอาสาระเบาๆที่เป็นประโยชน์มาฝากครับ วันนี้ว่าด้วยเรื่องของ พืชผักที่ทานมากไปน้ำตาลในเลือดอาจพุ่งสูงไม่รู้ตัวครับ บางท่านอาจสงสัยครับว่าปกติแล้วกินผักนี่แหละดีไม่ใช่เหรอ ? วันนี้เราจึงมาไขข้อสงสัยให้กระจ่างครับว่ามีพืชผักใดบ้างที่เผลอทานมากไป อาจพาน้ำตาลในเลือดสูงได้ ทานพืชผักกลุ่มนี้มาก น้ำตาลในเลือดสูงไม่รู้ตัว ข้อที่ 1 มันฝรั่ง 🥔 : มันฝรั่งเป็นพืชชนิดหัว ซึ่งเวลาเรารับประทานเข้าไปแล้ว น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงแน่ๆ เนื่องจากพืชผักที่เป็นหัวแบบนี้จะเป็นแป้ง และเวลาแป้งเข้าสู่ร่างกาย ก็จะย่อยกลายเป็นน้ำตาลแล้วก็ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดนั่นเองครับ ดังนั้น สำหรับท่านที่เป็นเบาหวาน หากทานมันฝรั่งเข้าไปเยอะๆไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งต้มหรือว่าเป็นมันฝรั่งแปรรูป ก็อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ต้องระมัดระวังในการทานครับ ถ้าต้องการทานอาจจะทานได้แต่น้อยครับและไม่ทานติดต่อกันนานๆ ก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินเกณฑ์ครับ ข้อที่ 2 เผือก 🍠 : เผือกเป็นพืชผักชนิดหัวเช่นเดียวกับมันฝรั่งครับ การที่เรารับประทานเผือกมากๆก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้เช่นกัน นอกจากนี้เผือกก็เอาก็ถูกนำไปชุบน้ำตาล เอาไปต้มไปเชื่อม แปรรูปอะไรต่างๆ ให้ทานอร่อย ยิ่งให้น้ำตาลในเลือดสูงครับ ข้อที่ 3 ข้าวโพด 🌽: ข้าวโพดเป็นพืชผักชนิดนึงที่ได้รับความนิยม เพราะว่ามีรสชาติหวานมันมากๆ ทานแล้วอร่อย แต่ต้องบอกว่าข้าวโพดก็เองก็จัดอยู่ในสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหรือว่าแป้งเหมือนกันครับถ้าทานเข้าไปมากๆแล้วน้ำตาลก็จะขึ้นสูงได้ แต่หากเทียบกับมันฝรั่งหรือเผือก ข้าวโพดก็อาจจะดีกว่าหน่อยครับ โดยในแต่ละมื้อไม่ควรทานเกินครึ่งฝักหรือว่า 1 ฝักครับ โดยเฉพาะในท่านที่เป็นโรคเบาหวานหรือว่าท่านที่น้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วครับ ด้วยความห่วงใยจาก Admin Worldmed คร้าบบบ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ทานพืชผักกลุ่มนี้มาก น้ำตาลในเลือดสูงไม่รู้ตัว กลับสู่หน้าหลักบทความ

ทานพืชผักกลุ่มนี้มาก น้ำตาลในเลือดสูงไม่รู้ตัว Read More »

3อาหาร ตัวการกรดไหลย้อน

 3อาหาร ตัวการกรดไหลย้อน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระสุขภาพวันนี้ครับว่ากันถึงกรดไหลย้อน โรคยอดฮิตวัยทำงานหรือวัยอื่นๆก็เกิดขึ้นได้ โดยโรคกรดไหลย้อนก็คือการที่น้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหารของเรา เป็นเหตุให้ระคายเคืองขึ้นมา มีอาการแสบร้อนกลางอก🔥 จุกท้อง เรอเหม็นเปรี้ยว🤢ท้องอืดและหลายท่านทราบดีอยู่แล้วว่าหากรับประทานอาหารรสจัดก็เสี่ยงที่จะเป็นกรดไหลย้อนได้ และท่านทราบหรือไม่ครับว่ามีอาหารอีกถึง 3 กลุ่มที่กระตุ้นกรดไหลย้อนไม่แพ้อาหารรสจัด🌶️ แถมมีอยู่มากมายในชีวิตประจำวัน วันนี้เราไปติดตามกันครับว่ามีอาหารประเภทใดบ้าง กินอะไรแล้วเป็นกรดไหลย้อน ? ข้อที่ 1 ของทอดต่างๆ🍟🍗 : ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอด หมูทอด เฟรนฟราย เหล่านี้จะกระตุ้นเลยทำให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้นมาได้ โดยไปทำให้หูรูดส่วนปลายของหลอดอาหารนคลายตัว ต้องบอกว่าโดยปกติแล้วนั้นหลอดอาหารของเราจะมีหูรูดอยู่ครับ ตรงส่วนปลายคอยปิดไม่ให้พวกอาหารหรือว่ากรดต่างๆไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ⬆️แต่ถ้าเราบริโภคของทอด ของมันมากๆ หูรูดนี่แหละครับก็จะคลายตัว พอคลายและตัวกรดก็จะไหลขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้เรามีอาการแสบร้อนกลางอก จุกคอขึ้นมาได้ครับ 😣และนอกจากของทอดแล้วสิ่งที่ต้องระวังก็คือพวกเนื้อสัตว์ติดมันครับ เพราะอาหารเหล่านี้กระตุ้นน้ำย่อยมากทีเดียวครับ ข้อที่ 2 ช็อกโกแลต🍫🍫 : ช็อกโกแลต ถือเป็นผลิตผลที่ได้จากการแปรรูปเมล็ดโกโก้ (Cocoa) ซึ่งในเมล็ดโกโก้นั้น มีสารในกลุ่ม Methylxanthines และคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย จึงทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวและกระตุ้นให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มมากขึ้นได้ นอกจากนี้ ในช็อกโกแลตยังมีเนยโกโก้ (Cocoa butter) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาหารไขมันสูง ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระเพาะต้องใช้เวลาในการย่อยอาหารนานขึ้น⏰และกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนได้นั่นเองครับ ข้อที่ 3 น้ำผลไม้🍹 : น้ำผลไม้ต่างๆโดยเฉพาะผลไม้ที่เปรี้ยวๆ เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว แบบนี้ต้องระวังครับ หากดื่มทุกวัน ดื่มเข้าไปมากๆจะเป็นการเพิ่มกรดในกระเพาะ เพราะว่าตัวน้ำผลไม้มีกรดเยอะมากๆครับ จะทำให้กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้นมาได้ ดังนั้นข้อแนะนำคือ หากจะดื่มน้ำผลไม้ ไม่ควรที่จะดื่มติดต่อกันทุกวันครับ หากอยากรับประทานผลไม้ลองมองหาทางเลือกสำหรับผลไม้ที่มีกรดต่ำเช่น มะพร้าว 🥥 อโวคาโด้🥑 แคนตาลูป 🍈เป็นต้นครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 3อาหาร ตัวการกรดไหลย้อน กลับสู่หน้าหลักบทความ

3อาหาร ตัวการกรดไหลย้อน Read More »

ระวัง4โรค พาน้ำหนักลดฮวบ

           ระวัง4โรค พาน้ำหนักลดฮวบ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ พูดกันถึงเรื่องน้ำหนักตัว หากเรานั้นมีสุขภาพที่ดี น้ำหนักก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม แต่จะมีอยู่บางสาเหตุที่การลดลงของน้ำหนักบ่งบอกถึงโรคมากกว่าจะเป็นการลดลงของน้ำหนักทั่วไป บางคนลดลงเป็น 10 กิโลกรัมภายในไม่กี่เดือน การที่น้ำหนักลดลงมากๆ แบบผิดปกติแบบนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาจจะเป็นโรคอันตรายแล้วก็ได้หากเราไม่รีบรักษาครับ ระวัง 4 โรค พาน้ำหนักลดฮวบ โรคที่ 1 โรคมะเร็ง ♋โรคมะเร็งทุกโรคไม่ว่าจะเป็นมะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งอะไรต่างๆ อาการหลักเลยนะครับนั่นก็คือ น้ำหนักลดครับ ซึ่งผู้ป่วยก็จะมีอาการเบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอาหาร 🍽️แต่ละมื้ออาจจะทานได้แค่ 2-3 คำ กินน้ำหรือกินอะไรได้นิดๆหน่อยๆ ลดลงเรื่อย ๆเป็น 10 กิโลกรัมครับ ภายใน 1 เดือนหรือว่า 3 เดือนแบบนี้อันนี้อันตรายครับ แนะนำว่าให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยต่อไป เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งก็ได้ครับ โรคที่ 2 โรคไทรอยด์เป็นพิษ😣โรคนี้พบได้บ่อยเหมือนกันครับ ส่วนใหญ่จะพบในเพศหญิงวัยกลางคน ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากกว่าปกติ โดยปกติแล้วฮอร์โมนไทรอยด์มีหน้าที่ในการทำเมตาบอลิซึมต่างๆในร่างกาย และเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน🔥 กลไกเหล่านี้จะไปเผาผลาญพวกไขมันพวกกล้ามเนื้อต่างๆ ส่งผลให้น้ำหนักลดลง ลดลงเรื่อยๆนั่นเองครับ ดังนั้นสังเกตดูครับหากใครมีน้ำหนักลดลงผิดปกติ ร่วมกับมีอาการใจสั่น มือสั่น เหงื่อแตกง่าย 😰หงุดหงิดอารมณ์เสีย 👿รวมทั้งมีอาการเหนื่อยง่ายด้วย 🥵 นั่นคือเป็นสัญญาณหนึ่งที่เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณอาจจะเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษแล้วก็ได้ครับ โรคที่ 3 โรคเบาหวาน 🩸🌡️โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากๆ อาการนึงที่เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นโรคเบาหวานนั่นก็คือน้ำหนักลดลงมานั่นเองครับ แม้ว่าในแง่กายภาพส่วนใหญ่เรามักจะติดภาพโรคเบาหวานกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ โรคเบาหวานเกิดจากร่างกายของเราผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้น้อยลง หรือว่าไม่ผลิตเลย และตัวฮอร์โมนอินซูลินซึ่งมีหน้าที่ในการนำน้ำตาลไปสลายกลายเป็นพลังงานให้แก่ร่างกายของเรา แต่พอเราขาดอินซูลิน ร่างกายไม่สามารถที่จะสลายน้ำตาลให้มาเป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงปรับเปลี่ยน ไปสลายอย่างอื่น นั่นก็คือไขมันโปรตีนต่างๆออกมาเป็นพลังงานจึงทำให้บริเวณกล้ามเนื้อและไขมันต่างๆ ในร่างกายของเราโดนสลายไปจึงส่งผลครับทำให้น้ำหนักของเราลดลงลดลงเรื่อยๆนั่นเองครับ ดังนั้นใครที่น้ำหนักลดลงนะครับร่วมกับ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย หรือว่าอยากดื่มแต่น้ำหวานๆ แบบนี้ให้สงสัยไว้ครับว่าเป็นโรคเบาหวานและควรให้แพทย์ได้ตรวจดูครับว่าน้ำตาลในเลือดของเราสูงหรือไม่ โรคที่ 4 โรคติดเชื้อวัณโรค 🫁 ☣️เมื่อร่างกายของเราติดเชื้อ Tuberculosis ที่เรียกกันว่า TB หรือว่าเชื้อวัณโรคมาแล้ว ก็จะส่งผลทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลงลดลงเรื่อยๆ ซึ่งวัณโรคสามารถติดเชื้อได้ทั่วร่างกายครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะติดเชื้อบริเวณปอดของเรา ส่งผลทำให้มีอาการน้ำหนักลด ประมาณ 10 กิโลกรัมขึ้นไป นอกจากนั้นแล้วก็จะมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่นมีอาการไอเสมหะ ไอเรื้อรัง ไอไม่หายสักทีแล้วก็เริ่มมีอาการเหนื่อยมีอาการไข้เรื้อรัง ดังนั้นท่านใดที่มีอาการไข้เกิน 2 สัปดาห์ ไอมากผิดปกติ เลยนะครับแล้วก็เสมหะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับน้ำหนักลดแบบนี้ให้รีบพบแพทย์ เพื่อทำการเอกซเรย์ปอด ดูว่ามีการติดเชื้อวัณโรคหรือไม่นะครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ระวัง4โรค พาน้ำหนักลดฮวบ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ระวัง4โรค พาน้ำหนักลดฮวบ Read More »

5 สัญญาณเตือนอันตรายของไข้เลือดออก

5 สัญญาณเตือนอันตรายของไข้เลือดออก สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวครับสำหรับ โรคไข้เลือดออกในขณะนี้ 🇹🇭 ประเทศไทยของเรา ได้มีการระบาดของเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ไวรัสร้ายที่ทำให้ก่อโรคไข้เลือดออกขึ้นมานั่นเองครับ ซึ่งพาหะนำโรคที่ท่านทราบกันดี ก็คือ”ยุงลาย 🦟”นั่นเอง เมื่อยุงลายไปกัดคนที่เป็นโรคไข้เลือดออกแล้วก็มากัดเรา เราก็จะติดเชื้อไข้เลือดออกได้ครับ ซึ่งอาการของโรคมีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่รุนแรง ไปจนรุนแรงมากๆต้องนอน ICU เลยทีเดียวครับ ดังนั้นการสังเกตสัญญาณเตือนโรคไข้เลือดออก จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากๆครับ มาดูว่ามีสัญญาณใดกันบ้าง👀 เพื่อที่จะได้รับมือและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงทีครับ ไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไรบ้าง ? สัญญาณที่ 1 ไข้สูง อาการไข้สูงเป็นอาการหลักของโรคไข้เลือดออก ใครที่มีอาการไข้สูงมากๆ สูงถึงประมาณ 38-39 องศาเซลเซียส🌡️ รับประทานยาลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น เช็ดตัวก็แล้วทานยาก็แล้ว ไข้ยังสูงอยู่ อันนี้แหละครับเป็นอาการหนึ่งนะของไข้เลือดออกครับ แล้วก็อาการไข้นั้นอาจจะยาวนานได้ครับประมาณ 3-7 วันดังนั้นลองสังเกตตนเองดูครับ หากมีไข้เกิน 3 วันขึ้นไปแนะนำว่าควรมาพบแพทย์ครับ เพื่อเจาะเลือด 🧪 🩸 เพราะคุณอาจจะเป็นโรคไข้เลือดออกก็ได้ครับ สัญญาณที่ 2 ปวดกระบอกตา🤦‍♀️👁️ ใครที่มีอาการปวดศีรษะแล้วก็ร้าวมาที่กระบอกตา ปวดกระบอกตามากๆร่วมกับอาการข้อแรก อันนี้ก็เป็นอาการหนึ่งของโรคไข้เลือดออกได้ครับ ซึ่งโรคไข้เลือดออกพวกอาการไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไม่ค่อยพบครับ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะปวดกระบอกตามากๆ ดังนั้นใครที่มีอาการเหล่านี้แนะนำว่าให้รีบพบแพทย์นะครับเพื่อทำการตรวจรักษาต่อไปครับ🚑 สัญญาณที่ 3 เบื่ออาหาร😒🍱 สำหรับโรคไข้เลือดออก อาการอีกอาการหนึ่งก็คือการที่เราเบื่ออาหารครับ ไม่อยากรับประทานอาหาร บางทีอาหารที่เราชอบ เราทานได้แค่คำสองคำ นี่ก็เป็นอาการหนึ่งของโรคไข้เลือดออกครับ สัญญาณที่ 4 ปวดตัวปวดหลัง 🧎‍♂️☚😣 เมื่อเราติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ก็จะทำให้เรามีอาการปวดเนื้อปวดตัว แล้วก็จะปวดหลังเยอะมากครับดังนั้นเนี่ยใครที่มีไข้สูงประกอบกับปวดหลังเยอะๆก็อาจจะเป็นโรคไข้เลือดออกได้ครับ สัญญาณที่ 5 มีจุดเลือดออก🔴 🩸 เมื่อเราติดเชื้อไวรัสเดงกี☣️ ตัวเชื้อไวรัสมันจะไปทำให้เกล็ดเลือดในร่างกายของเราลดต่ำลงเรื่อยๆ โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะมีเกล็ดเลือดมากกว่าแสนเซลล์ แต่เมื่อเราติดเชื้อแล้ว ตัวเกล็ดเลือดของเราก็จะต่ำลง เมื่อน้อยกว่า1แสนเซลล์ลงไป ↙️ ก็จะทำให้เราเลือดออกง่ายครับ อยากให้ลองสังเกตหากมีจุดเลือดออกตามแขนขาเป็นจุดเล็กๆสีแดง แล้วก็บางทีอาจจะมีเลือดออกตามไรฟัน 🪥 🩸 เวลาเราแปรงฟันหรือว่าบางคนอาจมีเลือดออกรุนแรงเลยครับ มีเลือดออกในทางเดินอาหารทำให้มีอาเจียนออกมาเป็นเลือดหรือว่าถ่ายออกมาเป็นเลือด แบบนี้แนะนำว่าให้รีบมาพบแพทย์โดยด่วนครับ คุณอาจจะเป็นโรคไข้เลือดออกก็ได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  5 สัญญาณเตือนอันตรายของไข้เลือดออก กลับสู่หน้าหลักบทความ

5 สัญญาณเตือนอันตรายของไข้เลือดออก Read More »

4 โรคเสี่ยงเลี่ยงกาแฟด่วน

               4 โรคเสี่ยงเลี่ยงกาแฟ ด่วน! สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ หลังจากที่แอดมินได้เคยเสนอสาระเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของกาแฟไปในหัวข้อก่อนๆ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่ามีท่านที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคบางโรค ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้แนะนำให้เลี่ยงกาแฟไปก่อน จะมีโรคใดบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกันครับ มีโรคใดบ้างที่ควรงดการดื่มกาแฟ โรคที่ 1 โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใครที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ หัวใจเต้นเร็วมากๆ เต้นพริ้วมากๆแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟครับ เพราะว่ากาแฟอย่างที่ทราบกันคือจะมีคาเฟอีนที่จะยิ่งการกระตุ้นให้หัวใจของเราเต้นเร็วมากขึ้นครับ ส่งผลที่ไม่ดีต่อคนที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เมื่อรักษาหายแล้วหรือว่าควบคุมการเต้นหัวใจให้อยู่ในระดับปกติได้แล้ว ก็อาจจะดื่มกาแฟได้ครับ แต่อย่างไรก็ตามแนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนดีที่สุดครับ โรคที่ 2 โรคนอนไม่หลับ ใครที่นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับอีกเลย ลักษณะนี้แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟเช่นกันครับ และเช่นเดียวกับข้อแรกครับ คาเฟอีนไปจะกระตุ้นประสาทของเราทำให้เราตื่นตัวอยู่เสมอ ดังนั้นหากเรายิ่งดื่มกาแฟเข้าไป ยิ่งถ้าดื่มก่อนนอนหรือช่วงหลังบ่ายสามเป็นต้นมา ก็จะทำให้คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ ยิ่งนอนไม่หลับหนักเข้าไปอีกครับ โรคที่ 3 โรคไตเสื่อมระยะท้ายๆ ใครที่เป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรังอยู่ยิ่งระยะท้ายๆนะตั้งแต่ 3B(อัตราการกรองลดลงปานกลางถึงมาก) ลักษณะนี้ต้องระมัดระวังในการดื่มกาแฟครับ เพราะว่าคนที่เป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรังระยะท้ายๆ ความสามารถในการขับฟอสเฟตออกจากร่างกายก็จะต่ำลง ตัวกาแฟจะมีส่วนประกอบของฟอสเฟตอยู่เยอะ เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วก็จะส่งผลทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น และทำให้ฟอสเฟตเพิ่มสูงขึ้นในเส้นเลือดของเรา และเมื่อฟอสเฟตมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกของเราทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนในคนที่เป็นโรคไตเสื่อมเรื้อรัง ดังนั้นใครที่เป็นโรคไตเสื่อมอยู่ต้องระมัดระวัง อาจจะดื่มกาแฟได้แต่ดื่มได้น้อยมากๆครับ โรคที่ 4 โรคกระดูกพรุน คนที่เป็นโรคกระดูกพรุนอยู่ ต้องลดปริมาณการดื่มกาแฟลงอย่างเร่งด่วนครับเพราะว่ากาแฟจะไปลดการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย แถมยังมีฤทธิ์ในการขับแคลเซียมออกไปในปัสสาวะด้วย ทำให้แคลเซียมในร่างกายของเราลดลงได้ ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยที่ยิ่งไปกระตุ้นโรคกระดูกพรุนให้หนักกว่าเดิมครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 4 โรคเสี่ยงเลี่ยงกาแฟ ด่วน! กลับสู่หน้าหลักบทความ

4 โรคเสี่ยงเลี่ยงกาแฟด่วน Read More »

นอนกรนชนิดอันตราย เป็นอย่างไร?

นอนกรนชนิดอันตราย เป็นอย่างไร ? สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้เป็นเรื่องของการนอนกรนครับ อาการที่อาจสร้างความกังวลใจให้หลายๆท่าน โดยบางท่านอาจไม่ทราบว่าตัวเองกำลังนอนกรน หรือไม่ทราบว่า เริ่มกรนตั้งแต่เมื่อไหร่ และการนอนกรนนั้นส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่ วันนี้แอดมินจะพาทุกท่านมาไขคำตอบกันครับ นอนกรนชนิดอันตราย แสดงอาการลักษณะใดบ้าง ทำไมเราจึงนอนกรน โดยปกติคนเราเมื่อนอนหลับ กล้ามเนื้อต่างๆ จะมีการคลายหรือหย่อนตัวลง ซึ่งอวัยวะในช่องทางเดินหายใจของเราอย่าง เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น ก็จะหย่อนลงมาทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลงได้ โดยเฉพาะเวลาที่เรานอนหงาย พอช่องทางเดินหายใจมันแคบลง เวลาเราหายใจเอาอากาศเข้ามา ลมที่ผ่านช่องที่แคบนี้ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวเกิดการกระพือ (นึกภาพเวลาที่ลมเป่าลมผ่านหลอดเล็กๆ ) เมื่อกล้ามเนื้อเกิดการกระพือ หรือสั่นสะเทือน ก็จะเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น และนี่ก็คือสาเหตุของการนอนกรนนั่นเองครับ ส่วนเสียงกรนที่เราได้ยินนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการสั่น เช่น ถ้าเกิดการสั่นที่เพดานอ่อน หรือลิ้นไก่ ก็จะทำให้เกิดเสียงกรน “ในลำคอ” หรือถ้าเกิดการสั่นที่เนื้อเยื่ออ่อนด้านหลังโพรงจมูก ก็จะทำให้เกิดเสียงกรน “แบบขึ้นจมูก” ท่านที่นอนกรนอาจมีสาเหตุจาก– น้ำหนักตัวเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เบื้องต้นดูได้จากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ครับ– ไขมันในช่องคอหนา– ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนได้– นอนกรนมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น– สูบบุหรี่เป็นประจำ– ความเหนื่อยล้า – นอนหงายเป็นประจำ การนอนกรนนั้นมีอันตรายอย่างไร ?จริงๆแล้วการนอนกรนจะอันตรายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับความผิดปกติของการนอน ถ้าเป็น “ชนิดไม่อันตราย” อันเกิดจากเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ในช่องคอ เช่น ลิ้น ลิ้นไก่ เนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนจะตกไปทางด้านหลัง ในคนที่ช่องคอแคบกว่าปกติ เนื้อเยื่อเหล่านี้จะขวางกั้นทางเดินผ่านของอากาศจึงเกิดเสียงกรนขึ้นก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อความรำคาญให้คนใกล้ชิดเท่านั้น แต่หากเป็น “ชนิดอันตราย” ก็จะเกิดภาวะที่เรียกว่า หยุดหายใจขณะหลับ อันเนื่องมาจากมีการอุดตันของทางเดินหายใจขณะหลับ ภาวะอุดตันทางเดินหายใจส่วนบน และระบบประสาทส่วนกลางผิดปกตินอนกรนชนิดอันตรายหยุดหายใจขณะหลับ ในเคสที่ผู้ป่วยมีช่องลำคอตีบมากจากอวัยวะต่างๆ ในช่องคอ เช่น ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อนหย่อนยานมากๆ มีการขวางทางเดินหายใจจนถึงขั้นอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการกรนไม่สม่ำเสมอ กรนเสียงดังมาก อาจมีอาการสำลักน้ำลาย หรือสะดุ้งตื่นกลางดึก หรือมีอาการหายใจหอบเหมือนอาการขาดอากาศ การขาดอากาศบ่อยครั้งทำให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องต่อสุขภาพ ร่างกายหลายอย่าง โดยการหยุดหายใจขณะนอนหลับจะเกิดขึ้นโดย– สภาวะที่ไม่มีลมหายใจผ่านเข้า ออกทางจมูก หรือปาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที– หายใจแผ่ว หรือสภาวะที่มีลมหายใจผ่าน เข้าออกทางจมูก หรือปากลดลงร้อยละ 50 หรือมากกว่า เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที โดยสังเกตได้จากการกระเพื่อมของทรวงอกและท้องลดลง(ผู้ประสบปัญหาอาจไม่ได้สังเกต)ผลคือ  ระดับออกซิเจนในหลอดเลือดแดงจะต่ำลง ทำให้ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะหัวใจ สมอง ปอด เมื่อออกซิเจนในเลือดลดลงถึงระดับหนึ่ง ร่างกาย (โดยเฉพาะสมอง) จะมีกลไกตอบสนองภาวะนี้ โดยจะปลุกให้ตื่น มีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง เพื่อเปิดทางเดินหายใจและทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดอีก แล้วสมองก็จะเริ่มหลับอีกครั้ง การหายใจจะเริ่มติดขัดอีก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำลง สมองก็จะปลุกให้ตื่นอีกเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไปตลอดทั้งคืน ทำให้นอนหลับได้ไม่เต็มที่ การนอนหลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมีผลกระทบถึงอวัยวะอื่นๆ เช่น ระบบหัวใจ ระบบไหลเวียนของเลือด สมอง ปอด ทำให้ความดันเลือดสูง เกิดภาวะโรคหัวใจขาดเลือด สุขภาพแย่ลงจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การรักษาการนอนกรนในปัจจุบัน ปัจจุบันจะรักษาโดยเทคนิคการแพทย์ โดยวิธีการผ่าตัด เพิ่มขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างขึ้น การใช้เลเซอร์ หรือการใช้ยาทาน ยาพ่นจมูก ตรงนี้ท่านสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม และสิ่งที่สำคัญคือต้องปรับพฤติกรรมที่นำไปสู่ความผิดปกติที่อาจนำไปสู่การนอนกรน เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ปรับท่านอน นอนศีรษะสูง นอนตะแคง ไม่ควรนอนหงาย และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รวมถึงการพยายามเลิกสูบบุหรี่ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : นอนกรนชนิดอันตราย เป็นอย่างไร ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

นอนกรนชนิดอันตราย เป็นอย่างไร? Read More »

โรคที่มากับหน้าหนาว รับมืออย่างไร

โรคที่มากับหน้าหนาว มีอะไรบ้าง 1. โรคไข้หวัด และ โรคไข้หวัดใหญ่ สาเหตุ : ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ติดต่อจากการสูดละอองฝอยจากการไอจาม อาการ : ปวดศีรษะทั่วไปจึงถึงขั้นรุนแรง ไอ จาม น้ำมูกใส คัดจมูก ไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามตัว 2.โรคปอดบวม สาเหตุ : ปอดบวม คือภาวะปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส จนทำให้มีหนองและสารปนเปื้อนภายในถุงลม อาการ : ผู้ป่วยมักมีอาการ คือ ไอ จาม มีเสมหะมาก แน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก คัดจมูก หนาวสั่น มีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน ปอดบวมมักพบหลังจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรัง และในผู้ป่วยโรคหอบหืด ปอดบวมมักพบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ และเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 – 10 ปี 3. โรคภูมิแพ้ สาเหตุ : หน้าหนาวผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่เดิมอาจมีอาการมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงอากาศเปลี่ยนใหม่ๆ ผู้ที่แพ้ไรฝุ่นจากที่นอน ควันบุหรี่ ขนสัตว์ มีโอกาสได้รับการกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้มากขึ้น อาการ : ทำให้มีอาการคันจมูก คันตา จาม น้ำมูกใส คัดจมูกตลอดเวลา บางรายอาจมีผื่นคัน 4. หัดเยอรมัน (Rubella)  สาเหตุ :เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า “รูบีโอราไวรัส” (Rubeola virus) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก อาการ : อาการของโรคจะคล้ายไข้หวัด คือมีไข้ มีน้ำมูก มักไอแห้งตลอดเวลา ตาและจมูกแดง โดยมักมีไข้สูงประมาณ 3 – 4 วันติดต่อกัน จากนั้นจึงขึ้นผื่นแดง ตามร่างกาย โดยผื่นจะค่อยๆ โตขึ้น และมีสีเข้มขึ้น อาการที่สังเกตได้ว่าจะเป็นหัดคือ ผู้ป่วยมักมีตุ่มใส ๆ ขึ้นในปาก ตรงกระพุ้งแก้มและฟันกราม ซึ่งเป็นตุ่มที่เกิดเฉพาะในโรคหัดเท่านั้น หลังจากผื่นออกประมาณ 2 – 3 วัน อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และหายได้เอง แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ โรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม อุจจาระร่วง สมองอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ เป็นต้น ทั้งนี้หัดจะติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดโรคนี้คือวัยเด็กช่วงอายุ 5 – 9 ปี 5.โรคอีสุกอีใส สาเหตุ : มักระบาดช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม เกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อไวรัสวาริเซลลา ติดต่อผ่านทางการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง สัมผัสของใช้ มีระยะฟักตัวในร่างกาย 10 – 20 วัน พบมากในเด็กอายุ 5 – 15 ปี โดยเกิดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน อาการ : อาการแรกเริ่มจะคล้ายๆ ไข้หวัดใหญ่คือ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่จะมีผื่นแดงหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย มีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้นจะแห้งและตกสะเก็ดภายใน 5 – 10 วัน และอาการไข้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น 6.โรคอุจจาระร่วง สาเหตุ : โรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาวมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น โรต้าไวรัส มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี อาการ :  ถ่ายเหลว ก้นแดง อาเจียน กินได้น้อย ไข้สูง อ่อนเพลีย โรคที่มากับหน้าหนาว รับมือได้อย่างไร 1. โรคไข้หวัด และ โรคไข้หวัดใหญ่ วิธีรับมือ : ไข้หวัดธรรมดา : สำหรับคนส่วนมากมักหายเอง เมื่อเป็นไข้หวัดควรพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำให้บ่อย เช็ดตัวทุกชั่วโมงเพื่อระบายความร้อนในร่างกาย และรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก เหล่านี้เพียงบรรเทาอาการ ไม่ได้รักษา หรือทำให้หายเร็วขึ้น แต่ถ้ามีไข้ขึ้นสูงติดต่อกันนาน ควรพบแพทย์ เพื่อเช็คอาการให้ละเอียดต่อไป ดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลไข้หวัด ควรรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เป็นต้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ ควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่มาจากการ ไอและจาม ไข้หวัดใหญ่ : การรักษาคล้ายกับโรคไข้หวัดนั่นคือ ควรดื่มน้ำให้มาก เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย เช็ดตัวทุกชั่วโมง รับประทานยาตามอาการ และมียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่จำเป็นสำหรับทุกคน แต่ถ้ารับประทานยาลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์ทันที วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีบริการตามโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ช้อน เป็นต้น และควรใส่หน้ากากอนามัย เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่ เจลแอลกฮอลล์ หรือเช็ดมือด้วยทิชชู่เปียก เป็นต้น 2.โรคปอดบวม วิธีรับมือ : หากมีอาการคล้ายเป็นปอดบวม ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และหากแพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการปอดบวมแล้ว จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะ ควบคู่ไปกับยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และยาขยายหลอดลม พร้อมแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำจะช่วยละลายเสมหะได้ อาการปอดบวมส่วนใหญ่มักเริ่มจากการเป็นไข้หวัด ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเริ่มเป็นไข้หวัด ให้รีบรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน พยายามดื่มน้ำอุ่นมากๆ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก สำหรับเด็กเล็กควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวม หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และหมั่นรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย 3. โรคภูมิแพ้ วิธีรับมือ : หลีกเลี่ยงอากาศหนาวจัด สวมเสื้อผ้าป้องกันเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย รับประทานยาแก้แพ้อากาศเพื่อบรรเทาอาการ 4. หัดเยอรมัน (Rubella)  วิธีรับมือ : โรคหัดไม่ใช่โรคร้ายแรงนัก แต่ยังไม่มียารักษาโดยตรง จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ อาการต่างๆ จะทุเลาลงเอง แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น หายใจสั้น เจ็บที่หน้าอกขณะหายใจ ชัก ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน วิธีที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมันและคางทูม จะช่วยป้องกันโรคหัดได้ โดยปัจจุบันเด็กทุกคนจะได้รับวัคซีนนี้เมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และต้องฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 6 ปี 5.โรคอีสุกอีใส วิธีรับมือ : ไข้สุกใส ต้องรักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ งดการใช้ของร่วมกับผู้อื่น และหยุดพักจนกว่าจะหายดี ห้ามแคะ แกะเกา บริเวณตุ่ม เพราะอาจทำให้อักเสบ และเป็นแผลเป็นได้ ส่วนมากผู้ป่วยโรคนี้ไม่ต้องพบแพทย์ เพราะอาการไม่รุนแรง ไม่มีโรคแทรกซ้อน และอาการจะทุเลาลงเอง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้สุกใส โดยฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยเป็น ก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันได้เช่นกัน โรคนี้ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัส ฉะนั้นเมื่อพบผู้ที่เป็นโรคนี้ ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน หรือสัมผัสถูกตัวกัน แต่ผู้ที่เคยเป็นโรคไข้สุกใสแล้วจะไม่เป็นซ้ำ จึงอยู่ร่วมกับผู้ที่เป็นโรคได้ตามปกติ ทั้ง 6 โรคนี้ เป็นโรคที่มักระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะติดต่อได้ง่าย เช่น การไอ จาม สัมผัส หรือใช้สิ่งของร่วมกัน เราจึงควรดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งสกปรก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคโลหิตจาง ควรดูแลร่างกายเป็นพิเศษ เนื่องจากมีระดับภูมิต้านทานต่ำ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง 6.โรคอุจจาระร่วง วิธีรับมือ : ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยตรง จึงทำได้แค่ประคับประคองอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้น โดยควรให้ผู้ป่วยจิบสารละลายเกลือแร่บ่อยๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ แต่หากผู้ป่วยดื่มน้ำไม่ได้ จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดแทน ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ และอาการจะค่อยๆ ทุเลาลง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรต้าไวรัส ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดรับประทาน โดยมีทั้งชนิด 2 หรือ 3 ครั้ง แล้วแต่ชนิดของวัคซีน เด็กสามารถรับได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค และลดความรุนแรงลงได้อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรักษาสุขอนามัยภายในบ้าน เพื่อป้องกันเด็กหยิบจับสิ่งของแล้วติดเชื้อ ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัดหรือย่านชุมชน ก็จะช่วยป้องกันโรคได้ส่วนหนึ่ง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โรคที่มากับหน้าหนาว รับมืออย่างไร กลับสู่หน้าหลักบทความ

โรคที่มากับหน้าหนาว รับมืออย่างไร Read More »

ติดหวาน กินอย่างไรห่างไกลโรค ?

ติดหวาน กินอย่างไรห่างไกลโรค ? พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ีมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งไม่ใช่การบริโภคในปริมาณทั่วๆไป แต่บริโภคในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ข้อมูลจากปี พ.ศ. 2553 พบว่าอัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นถึง 2.7 เท่า เฉลี่ยประมาณ 20-26 ช้อนชาต่อคนต่อวัน ซึ่งเกินจากปริมาณที่แนะนำ(ไม่เกิน 4-8 ช้อนชา) เพราะปริมาณน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังส่งผลต่ิสุขภาพผิวพรรณ ทำให้ผิวของเราแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย เช็คสัญญาณ ติดหวาน หรือเปล่านะ ? ต้องทานอาหารหวานต่อจากอาหารคาวเป็นประจำ เติมน้ำตาลในอาหารทุกเมนู เช่น ก๋วยเตี๋ยว ไข่เจียวเติมน้ำตาล ทำพริกน้ำปลาเติมน้ำตาล มีอาการเพลีย หงุดหงิด หรืออารมณ์ไม่ดี เมื่อขาดอาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งหรือน้ำตาล หิวบ่อย ชอบทานผลไม้แห้ง ผลไม้ดอง หรือผลไม้แช่อิ่ม วิธีลดหวานอย่างปลอดภัยห่างไกลโรค 1.เริ่มลดแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะการเลิกกินของหวานทั้งหมดแบบทันที ร่างกายจะมีอาการขาดน้ำตาล เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ อ่อนแรง คลื่นไส้ เป็นต้น2.ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้รู้สึกหิวและเพิ่มความอยากของหวานมากขึ้น การดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1 แก้ว เมื่อรู้สึกอยากของหวานจะช่วยให้เราลดความอยากลงได้3.กินผักใบเขียว ผักใบเขียวให้หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน เช่น คะน้า กวางตุ้ง บร็อคโคลี่ ฯลฯ เนื่องจากเป็นอาหารที่แคลอรี่ต่ำ มีใยอาหารสูง และทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง อีกทั้งใยอาหารยังช่วยดูดซับน้ำตาลไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป 4.ออกกำลังกาย และกิจกรรมผ่อนคลายคือทางออก หากติดหวานมากๆ ไม่รู้จะแก้ยังไงเวลาโหยน้ำตาล ให้ลองหากิจกรรมทำดู เช่น ออกกำลังกาย ปลูกต้นไม้หรือทำงานบ้าน เพราะเมื่อสมองสั่งการว่าอยากกินอะไรสักอย่าง ความรู้สึกนั้นจะอยู่นานประมาณ 20-30 นาที หากเราเบี่ยงเบนความสนใจไปทำกิจกรรมอย่างอื่นก็อาจจะช่วยให้ความอยากของหวานลดลงได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอนโดรฟินที่ทำให้อารมณ์ดี ซึ่งเป็นฮอร์โมนประเภทเดียวกันกับตอนที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อได้กินของหวาน เพราะหนึ่งในเหตุผลของคนที่ชอบความหวานคือรู้สึกอารมณ์ดีเมื่อได้รับน้ำตาลนั่นเอง จากข้อแนะนำทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่าภาวะติดความหวานนั้น อาจต้องให้เวลากับตัวเองสักหน่อยเพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภค ไม่เพียงเท่านั้นการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะช่วยให้อัตราการเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลดีในการเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน สุขภาพที่ดีก็อยู่ไม่ไกล เพราะสุขภาวะที่ดีเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ติดหวาน กินอย่างไรห่างไกลโรค ? กลับสู่หน้าหลักบทความ

ติดหวาน กินอย่างไรห่างไกลโรค ? Read More »

3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง

           3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ขึ้นชื่อว่ายารักษาโรค ทุกท่านเมื่อทราบถึงสภาวะของตนเองก็จะต้องหายรักษา บางท่านอาจพบเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำ บางท่านอาจใช้ประสบการณ์ป่วยในการตัดสินใจซื้อยามารับประทานเอง แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าแม้ว่ายาบางชนิดจะไม่ได้มีอันตราย แต่หากกินติดต่อกันนานๆก็อาจนำพาไปสู่ ภาวะไตวายหรือไตเสื่อมได้ครับ วันนี้เรามาดูกันครับว่ามียากลุ่มใดบ้างที่หากทานมากๆเข้าอาจพาไตพัง ติดตามไปพร้อมกันครับ 3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง ยาชนิดที่ 1 ยาแก้ปวดในกลุ่ม เอ็นเสด ( NSAIDs)         ยาแก้ปวดในกลุ่ม เอ็นเสด ไม่ว่าจะเป็น ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน  ไดโคลฟีแนค ซึ่งยาเหล่านี้ เราสามารถหาซื้อได้ง่ายมากครับ แล้วก็เป็นที่นิยมใช้กัน เพราะว่าบางคนมีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดเข่า ปวดข้อเท้า หรือว่าปวดกล้ามเนื้อ ก็จะใช้ยาเหล่านี้ ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้ไตวายไตเสื่อมได้เลยทีเดียวนะครับเพราะว่ายาในกลุ่มนี้ มันจะไปออกฤทธิ์ครับบริเวณเส้นเลือดที่ไต ทำให้เส้นเลือดที่ไตหดตัว ขณะเดียวกันนั้นเลือดก็จะไปเลี้ยงไตได้น้อยลง มีโอกาสทำให้ไตวายไตเสื่อมได้นั่นเองครับ หากเรามีอาการปวดเรื้อรังครับแนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่าครับ อย่าเพิ่งไปซื้อยามารับประทานเองติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะว่าจะทำให้ไตวายไตเสื่อมแล้วก็อาจจะต้องฟอกไตในอนาคตได้เลยครับ ยาชนิดที่ 2 ยาขับปัสสาวะ        ยาขับปัสสาวะส่วนใหญ่จะให้กับคนที่เป็นโรคหัวใจครับหรือว่าคนที่เป็นโรคไตเสื่อมเนื่องจากร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายได้น้อย จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานยา จำพวกยาขับปัสสาวะเพราะมิเช่นนั้น น้ำอาจจะท่วมปอดหรือว่าทำให้ขาบวมได้ สำหรับยาขับปัสสาวะนั้นมีนับว่ามีประโยชน์ทีเดียวครับ แต่หากเรารับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือว่าไม่จำเป็น ก็จะส่งผลทำให้ไตวาย ไตเสื่อมได้ครับ ยาชนิดที่ 3 ยาสมุนไพร                 สมุนไพรเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดไตวายได้ ในปัจจุบันครับมียาสมุนไพรเยอะแยะมากมายหลายยี่ห้อ ที่มีวางขายกันในท้องตลาด บางยี่ห้ออาจจะได้มาตรฐานบางยี่ห้ออาจจะไม่ได้มาตรฐานสิ่งที่ต้องทราบคือ แต่ละท่านก็จะเหมาะกับยาสมุนไพรที่แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับสมุนไพรทุกชนิด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ และต้องตรวจสอบว่าในผลิตภัณฑ์นั้น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาหรือ สำหรับใครที่มีโรคประจำตัวเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน เบาหวานหรือที่สำคัญที่สุดคนที่เป็นโรคไตอยู่ แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ก่อนครับ ว่าเราสามารถที่จะรับประทานยาสมุนไพรนี้ได้หรือไม่เพื่อจะได้ปลอดภัยมากที่สุดครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง กลับสู่หน้าหลักบทความ

3 กลุ่มยา อาจพาไตพัง Read More »

ออฟฟิศซินโดรม อาการเรื้อรังกวนใจชาวออฟฟิศ

ออฟฟิศซินโดรม อาการเรื้อรังกวนใจชาวออฟฟิศ ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร ? ออฟฟิศซินโดรม  (Office Syndrome)  คือ ภาวะที่มักพบได้บ่อยในคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งเป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) เนื่องมาจากรูปแบบการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังได้ สัญญาณเตือน ออฟฟิศซินโดรม 1.ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง มักมีอาการปวดแบบว้างๆ ๆไม่สามารถชี้จุดหรือระบุตำแหน่งที่ปวดได้อย่างชัดเจน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก 2.ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือในบางครั้งมีอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียดหรือการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน 3.ปวดหลังเรื้อรัง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมง นั่งไม่ถูกท่า นั่งหลังค้อม อาจทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ เมื่อย เกร็งอยู่ตลอด รวมถึงงานที่ต้องยืนนานๆ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใส่ส้นสูง 4.ปวดตึงที่ขา หรือเหน็บชา อาการชาเกิดจากการนั่งนานๆ ทำให้เส้นเลือดดำถูกกดทับและส่งผลให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ 5.ปวดตา ตาพร่า เนื่องจากต้องมีการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือใช้สายตาอย่างหนักเป็นเวลานาน 6.มือชา นิ้วล็อค ปวดข้อมือ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์จับเมาส์ในท่าเดิมๆ นาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืดทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วหรือข้อมือล็อคได้ การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม ออกกำลังกาย เป็นประจำ พักการใช้กล้ามเนื้อ ลดการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันเป็นเวลานาน จัดท่าทางในการทำงานให้เหมาะสม ปรับโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะกับสรีระ อย่าจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรพักสายตาบ้าง หลีกเลี่ยงการอยู่ในอิริยสบถเดิมเป็นเวลานาน ให้เปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชม. ทำท่าบริการยืดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ สะบัก แขน มือและหลัง เช้า- เย็น ท่าละ 3-4 ครั้ง ทุกวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม การรักษากลุ่มอาการ “ออฟฟิศซินโดรม ( Office Syndrome )” นั้นมีด้วยกันหลายวิธี อาทิ 1.ยา : ได้แก่ กลุ่มลดปวด คลายกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ (ควรทานยาตามคำสั่งแพทย์) 2. การประคบเย็น หรือร้อน เบื้องต้นตามสถานการณ์ 3.การยืดเหยียดบริหารกล้ามเนื้อ แต่ละส่วน 4.พบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรับการรักษาและการกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือ หรือเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ออฟฟิศซินโดรม อาการเรื้อรังกวนใจชาวออฟฟิศ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ออฟฟิศซินโดรม อาการเรื้อรังกวนใจชาวออฟฟิศ Read More »