Health Tips

สัญญาณเตือนอัลไซเมอร์ ที่ไม่ควรมองข้าม

สัญญาณเตือนอัลไซเมอร์ ที่ไม่ควรมองข้าม โรคอัลไซเมอร์ พบมากถึง 60-80% ของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด เกิดจากเซลล์ในสมองตายหรือไม่ทำงาน โดยโรคนี้ไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติเพราะผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน แต่เป็นความเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) ชนิดไม่ละลายน้ำซึ่งเมื่อไปจับกับเซลล์สมองจะส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลง รวมถึงทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหายจากการลดลงของสารอะซีติลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ ทำให้สมองส่วนที่เหลือทำงานได้ไม่เต็มที่ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา จะเกิดภาวะสมองเสื่อมรุนแรงขึ้น จนในที่สุดผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ อาการทั่วไปของโรคอัลไซเมอร์แบ่งได้เป็นสามระยะ คือ ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม สับสนทิศทาง เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า แต่ยังสื่อสารและทำกิจวัตรประจำวันได้ ระยะนี้เป็นระยะที่คนรอบข้างยังสามารถดูแลได้ ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เช่น จากที่เป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นหงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย หรือจากที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชงกาแฟไม่ได้ ใช้รีโมททีวีหรือโทรศัพท์มือถือไม่ได้ คิดอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยู่ในโลกของความจริง เช่น คิดว่าจะมีคนมาฆ่า มาขโมยของ คิดว่าคู่สมรสนอกใจ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ยากต่อการดูแลและเข้าสังคม ระยะท้าย ผู้ป่วยอาการแย่ลง ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด โดยระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่แรกวินิจฉัยจนเสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี 10 สัญญาณเตือน โรคอัลไซเมอร์ มีการหลงลืมที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ลืมในสิ่งที่เพิ่งผ่านเข้ามาเร็วๆ นี้ ลืมวันหรือเหตุการณ์สำคัญ ถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ต้องอาศัยสิ่งช่วยจำ เช่น สมุดจด หรือ บุคคลในครอบครัว คอยช่วยเหลือ เสียความสามารถในการวางแผนหรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ เป็นขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง เช่น ลืมขั้นตอนจ่ายเงินเมื่อไปธนาคาร หรือขับรถ รู้สึกยากลำบากในการทำงานที่คุ้นเคย ไม่ว่าที่บ้าน ที่ทำงาน หรือเวลาพักร้อน เช่น ขับรถไปในสถานที่ที่ไปประจำ จำกฎกติกาของกีฬาที่เล่นประจำไม่ได้ รู้สึกสับสนกับเวลาหรือสถานที่ในขณะหนึ่งๆ เช่น ไม่รู้วันที่ ฤดูกาล และเวลา ลืมสถานที่ที่ตัวเองอยู่หรือไม่รู้ว่าจะไปสถานที่นั้นๆอย่างไร รู้สึกลำบากที่จะเข้าใจในภาพที่เห็นและความสัมพันธ์ระหว่างภาพที่เห็นกับตัวเอง เช่น อ่านหนังสือเข้าใจลำบากขึ้น กะระยะทางยากขึ้น วางของบนโต๊ะแต่มักปล่อยลงก่อนถึงโต๊ะ บอกสีต่างๆ ยากขึ้น รู้สึกมีปัญหาในการค้นหาหรือใช้คำที่เหมาะสมในการพูดหรือเขียน เช่น มักจะหยุดระหว่างกำลังสนทนาและไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ หรืออาจพูดคำ ประโยคซ้ำๆ ลืมของไว้ในที่ที่ไม่ควรวางหรือเก็บไว้และไม่สามารถย้อนนึกกลับไปได้ว่าวางไว้ที่ใด เช่น เก็บโทรศัพท์ไว้ในตู้เย็น ความสามารถในการตัดสินใจลดลงหรือสูญเสียไป เช่น ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับตนเอง ไม่ทำผม ไม่อาบน้ำ เมื่อจะไปงานสำคัญ มีการแยกตัวออกจากงานที่ทำหรือกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น ปกติจะไปเล่นกีฬา พบปะเพื่อนทุกสัปดาห์ แต่วันหนึ่งกลับไม่ไปโดยไม่มีเหตุผลใดๆ รู้สึกว่าอารมณ์และบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป เช่น ดูสับสน วิตกกังวล หวาดกลัว หลายท่านถาม เมื่อไหร่จึงต้องพบแพทย์ ? เมื่อปัญหาด้านความจำที่เกิดขึ้นหรืออาการหลงลืมนั้น ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการจัดการชีวิตประจำวัน เช่น ทำได้ช้าลง ทำผิดบ่อยขึ้น หรืออาการหลงลืมนั้นส่งผลให้เกิดปัญหาในการจัดการชีวิตประจำวันด้วยตนเอง เช่น ต้องการผู้ช่วยเหลือในการจ่ายเงิน ต้องการผู้ช่วยเหลือในการบริหารยาที่ทานประจำ เป็นต้น การป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันโรคจึงเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคดังนี้ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุต่อสมอง การพลัดตกหกล้ม ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจติดตามโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เป็นระยะ ๆ หากมีอาการเจ็บป่วยควรไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สัญญาณเตือนอัลไซเมอร์ ที่ไม่ควรมองข้าม กลับสู่หน้าหลักบทความ

สัญญาณเตือนอัลไซเมอร์ ที่ไม่ควรมองข้าม Read More »

วิธีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในฤดูหนาว

7 วิธีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในฤดูหนาว เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวอุณหภูมิก็จะลดลงผู้สูงอายุควรดูแลสุขภาพของตนเองเป็นพิเศษ มีหลายโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบหรือติดเชื้อ ภาวะผิวหนังแห้ง เช่น ผิวหนังอักเสบและคัน เนื่องจากผู้สูงอายุมีไขมันใต้ผิวหนังน้อยและต่อมไขมันทำงานลดลง ทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นได้ โรคระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคความดันโลหิตสูง ภาวะอุณหภูมิของร่างกายลดลงผิดปกติ ประสาทรับรู้อากาศลดลง ร่างกายไม่ตอบสนองด้วยการหนาวสั่น ส่วนโรคที่เกี่ยวกับกระดูกและข้อ ผู้สูงอายุที่มีอาการปวดกระดูกและข้อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่ออากาศเย็นจะกระตุ้นให้ปวดมากขึ้น เช่น โรคเกาต์ เป็นต้น 1.ดูแลร่างกายให้อบอุ่นสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ 2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดสาเหตุของความดันโลหิตและโรคไต 3.ขยับร่างกาย เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานเป็นปรกติ 4.ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ที่มาโรคหน้าหนาว 5.รับประทานยารักษาโรคประจำตัวตามที่แพทย์สั่ง และมีปฏิทินกำกับ กันลืม หากมีความผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที 6.หลีกเลี่ยงไปในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท 7.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้านหรือไปในสถานที่ชุมชน โรคต่างๆที่มากับหน้าหนาวอาจส่งผลกระทบต่อการใช้่ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ การดูแลอย่างเข้าใจธรรมชาติของผู้สูงอายุ ร่วมกับการเฝ้าระวังและการป้องกันจึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่มีระสิทธิภาพอย่างยิ่ง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 7 วิธีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในฤดูหนาว กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในฤดูหนาว Read More »

วิธีรับมือออฟฟิศซินโดรม

วิธีรับมือออฟฟิศซินโดรม สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆ กับ Admin Worldmed เช่นเคย มาพูดถึงโรคยอดฮิตของชาวออฟฟิศอย่าง ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งเจ้าโรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Myofascial Pain Syndrome) จากการนั่งทำงานนาน ๆ ในอิริยาบถเดิม ๆ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง สามารถรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด หากแต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น Admin worldmed มีวิธีป้องกัน อาการจากโรคออฟฟิศซินโดรมมาแนะนำกันครับ วิธีป้องกัน อาการจากโรคออฟฟิศซินโดรม เปลี่ยนท่าอิริยาบถจากการนั่งทำงาน ยืดเส้น ยืดสาย ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายจากการนั่งเป็นเวลานาน ๆ ปรับสภาพแวดล้อมของโต๊ะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเก้าอี้ หรือคอมพิวเตอร์ ให้ตรงไม่เอียงซ้าย หรือ เอียงขวา มากจนเกินไป และควรจัดวางสิ่งของที่ใช้อยู่เป็นประจำให้อยู่ใกล้มือ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอี้ยวตัวบ่อยครั้งจนเกินความจำเป็น ลดการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการจ้องมองหน้าจอเป็นระยะเวลานาน ๆ ห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 1 ไม้บรรทัด เพื่อลดอาการเมื่อยล้า สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือ การนั่งหลังงอ ควรนั่งตัวตรงให้หลังชิดด้านในขอบเก้าอี้ หรือใช้หมอนที่มีความนิ่มมาหนุนหลัง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และร่างกาย ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : วิธีรับมือออฟฟิศซินโดรม กลับสู่หน้าหลักบทความ

วิธีรับมือออฟฟิศซินโดรม Read More »

โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุ

              โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed เช่นเคย พูดถึงเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็น หนึ่งในโรคพบในผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อย วันนี้มาดูกันว่า ควรเลือกทานอาหารอย่างไรเมื่อตรวจอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุ ควรต้องระวังเรื่องการเลือกทานอาหารมากขึ้นเป็นพิเศษดังนี้ ข้อปฏิบัติสำหรับผู้สูงอายุ 1.หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เช่น หนังสัตว์ เครื่องใน นม เนย ที่ยังไม่ได้สกัดไขมันออก ไข่แดง อาหารกะทิ อาหารแปรรูป อาหารรสจัดและกาแฟ หันมากินเนื้อปลา เนื้อไก่ นมพร่อมมันเนย 2.กินผักผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ได้รับวิตามินซี และเบต้าแคโรทีน เพื่อช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมัน 3.ลดการกินอาหารเค็ม และโซเดียมสูง เช่น เกลือ น้ำปลา ซุปก้อน 4.ควบคุมการขับถ่ายให้เป็นปกติ 5.ควบคุมไม่ให้เกิดความเครียด โดยการออกกำลัง และ พักผ่อนให้เพียงพอ การหมั่นดูแลสุขภาพ แม้ยามป่วยไข้เพื่อที่จะไม่ต้องสร้างภาระให้กับร่างกายมากขึ้น ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุ กลับสู่หน้าหลักบทความ

โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้สูงอายุ Read More »

ผลสำรวจ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโควิท 19 จาก 5 พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติในช่วงเทศกาลปีใหม่

ผลสำรวจจากปี 2565 ก่อนเข้าสู่ปี 2566 เทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลที่หลายคนมีการเฉลิมฉลอง พบปะสังสรรค์ การทำกิจกรรม รวมถึงเดินทางกลับภูมิลำเนา และการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในวันหยุดยาว ที่อาจมีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ซึ่งประชาชนสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับโควิด-19 ในรูปแบบวิถีใหม่ โดยการป้องกันโควิด-19 หากไม่มีการป้องกันอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองสุขศึกษา จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่องการวางแผนชีวิตในช่วงปีใหม่ จำนวน 26,365 คน กลุ่มตัวอย่างจากทุกภูมิภาค ดำเนินการระหว่างวันที่ 9 – 25 ธันวาคม 2565 พบ 5 อันดับที่ประชาชนมีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดังนี้   1)ร้อยละ 7 ไปกินหมูกระทะ ชาบู สุกี้ ร่วมกับเพื่อน ญาติ ครอบครัว 2) ร้อยละ 68.6 ไปจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าหรือตลาดสด 3) ร้อยละ 39.4 ไปร่วมงานเลี้ยงปีใหม่กับที่ทำงาน 4) ร้อยละ 37.8 ไปเคาท์ดาวน์ตามห้างสรรพสินค้า ผับ บาร์ หรือปาร์ตี้ส่วนตัวกับเพื่อนๆ 5) ร้อยละ 33.9 ไปเที่ยวงานประจำปีของพื้นที่ ทั้งนี้ได้ทำการสำรวจการตรวจ ATK ของประชาชนในการเดินทางไปและกลับภูมิลำเนาหรือเดิน ทั้งนี้ได้ทำการสำรวจการตรวจ ATK ของประชาชนในการเดินทางไปและกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยวเทศกาลปีใหม่โดยผลการสำรวจพบว่า 1) ร้อยละ 25.8 คาดว่าจะไม่ตรวจ ATK ก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยว 2) ร้อยละ 20 คาดว่าจะไม่ตรวจ ATK หลังเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยว 3) ร้อยละ 17.7 คาดว่าจะไม่ตรวจ ATK ทั้งก่อนและหลังเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางไปท่องเที่ยว          จากผลการสำรวจพบประชาชนทำกิจกรรมรวมกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และบางส่วนไม่ตรวจ ATK ก่อนและหลังทำกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ ดังนั้น ประชาชนควรป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับบุคคลใกล้ชิด ด้วยการปฏิบัติตามแนววิถีใหม่ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และควรตรวจ ATK ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ผลสำรวจ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโควิท 19 จาก 5 พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติในช่วงเทศกาลปีใหม่ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ผลสำรวจ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโควิท 19 จาก 5 พฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติในช่วงเทศกาลปีใหม่ Read More »

5กลุ่มโรค มากับฤดูฝน

               5กลุ่มโรค มากับฤดูฝน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับ Admin Worldmed กับสาระสุขภาพดีๆอีกเช่นเคย คาดว่าในพื้นที่ของหลายๆท่านเริ่มมีฝนตกกันบ้างแล้วใช่หรือไม่ครับ หน้าฝนนำพาความชุ่มชื่นและเป็นตัวแปรสำคัญกับระบบนิเวศน์ในธรรมชาติ ทำให้รู้สึกเย็นสบายเมื่อได้พักผ่อนหย่อนใจยามฝนตก แต่ก็มีบางปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังครับ เพราะ เชื้อโรคอยู่รอบตัวเราและมากับฝนเสียด้วยครับ จะมีกลุ่มโรคใดบ้าง รับมืออย่างไร ติดตามไปพร้อมกันครับ กลุ่มโรคติดต่อทางน้ำและอาหาร โรคที่พบบ่อย : โรคท้องเดิน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ  ตับอักเสบ เป็นต้น โดยสาเหตุเกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจุลชีพ อันก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารและลำไส้          วิธีป้องกัน : ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ  ใช้ช้อนกลาง และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง โรคที่พบบ่อย : โรคแลปโตสไปโรซิส (โรคฉี่หนู) โรคตาแดง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง การสัมผัสสิ่งปฏิกูลจากการระบายของอุตสาหกรรม และปศุสัตว์ สามารถสังเกตอาการ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง รวมถึงอาการตาแดง คอแข็ง สลับกับไข้ลด หากเป็นมากอาจมีจุดเลือดออกที่เพดานปาก หรือตามผิวหนัง จนกระทั่งตับวาย ไตวายได้ วิธีป้องกัน : หมั่นล้างมือให้สะอาดหลังการสัมผัสต่างๆจากสิ่งแวดล้อม รักษาสุขลักษณะของที่พักอาศัยไม่ให้เป็นที่เพาะพันธุ์ของหนู กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ โรคที่พบบ่อย : โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ และปอดบวม เนื่องจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศชื้นช่วงฤดูฝนจะเป็นพาหะของโรคระบบทางเดินหายใจ การแพร่กระจายของเชื้อโรคก็ยังง่ายมาก เพียงแค่ไอ จาม หรือสัมผัสกับน้ำมูกที่ปนเปื้อนเชื้อก็ป่วยตามกันได้แล้ว วิธีป้องกัน : ดูแลตัวเองด้วยการหาผ้าปิดจมูกมาสวมใส่ เมื่อต้องอยู่ในที่แออัด หรือเมื่อมีอาการป่วยก็ควรต้องสวมหน้ากากเพื่อหยุดการกระจายของเชื้อโรคด้วย ที่สำคัญควรหมั่นล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าด้วยมือ ปัจจุบันมีวัคซีน ใช้สำหรับฉีดป้องกันเชื้อไข้หวัดบางชนิดได้ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีอีกระดับหนึ่งครับ กลุ่มโรคที่มียุงเป็นพาหะ โรคที่พบบ่อย : โรคไข้เลือดออก(ยุงลายเป็นพาหะ) โรคไข้สมองอักเสบ เจอี (ยุงรำคาญเป็นพาหะ) โรคมาลาเรีย(ยุงก้นปล่องเป็นพาหะ) โรคเหล่านี้มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน ก่อนจะมีอาการซึมหรือชัก เคสของมาลาเรียอาจมีอาการไตวาย ตับอักเสบ ปอดผิดปกติ หรือบางเคสอาจมีภาวะมาลาเรียขึ้นสมองได้ วิธีป้องกัน : กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงให้ได้เป็นวงกว้างที่สุด โดยเฉพาะในจุดที่มีน้ำท่วมขัง พยายามอยู่ให้ห่างจากพื้นที่ที่มีต้นไม้ และป้องกันผิวด้วยยาทากันยุง กลุ่มโรคที่มียุงเป็นพาหะ โรคนี้พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ สาเหตุเกิดจากสภาพอากาศที่เย็นและชื้น ไวรัสที่เจริญเติบโตได้ในลำไส้ เช่น คอกซากีไวรัส เอนเทอโรไวรัส ซึ่งเป็นไวรัสตัวการที่ทำให้เกิดโรค มือ เท้า ปาก จะมีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ทำให้เด็กเล็กที่ได้รับเชื้อไวรัสเหล่านี้จากการติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มแผลพุพอง หรืออุจจาระที่ปนเปื้อนเชื้อ ป่วยได้ง่าย วิธีป้องกัน : ฉะนั้นควรป้องกันการเกิดโรคโดยการรักษาสุขอนามัยของเด็กและผู้ดูแลเด็กให้สะอาด ตัดเล็บให้สั้น รวมทั้งหมั่นล้างมือบ่อยๆครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : 5กลุ่มโรค มากับฤดูฝน กลับสู่หน้าหลักบทความ

5กลุ่มโรค มากับฤดูฝน Read More »

สังเกตอาการ ระบบย่อยอาหารมีปัญหา

สังเกตอาการ ระบบย่อยอาหารมีปัญหา สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed เช่นเคย วันนี้แอดมินจะมาชวนขบคิดครับว่าหากท่านเร่งรีบจนทานอาหารไม่เป็นเวลามีความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย และการใช้ยาต่าง ๆเป็นเวลานานๆ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารของเราในรูปแบบ”ภัยเงียบ” และแอดมินจะชวนมาสังเกต อาการที่เป็นสัญญาณบอกว่า “ระบบย่อยอาหาร” ของคุณกำลังมีปัญหา อาการต่อไปนี้คือสัณญาณของระบบย่อยอาหารมีปัญหา 1.ปวดท้อง ลำไส้ที่มีการทำงานที่สมดุล จะมีปัญหาในการลำเลียงและขับถ่ายอาหารน้อยมาก ถ้าคุณมีปัญหาท้องอืด ท้องเสีย ท้องผูก นั่นแปลว่า คุณอาจจะต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขอย่างเร็วที่สุด 2.น้ำหนักแปรปรวน การเพิ่มหรือลดของน้ำหนัก โดยที่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินหรือการออกกำลังกาย เป็นสัญญาณที่บอกถึง ความบกพร่องของลำไส้ที่ทำงานไม่สมดุล ทำให้ความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร ควบคุมน้ำตาลในเลือด และการเผาผลาญและเก็บไขมัน ทำงานได้ไม่เต็มที่ น้ำหนักที่ลดลง อาจเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ขนาดเล็กมีมากเกินไป ขณะที่น้ำหนักที่เพิ่ม อาจเกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน หรือการกระตุ้นให้กินมากเกินไป เนื่องจากดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง 3.นอนไม่หลับ มีอาการเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง เซเรโทนิน (Seretonin) เป็นฮอร์โมนสำคัญที่มีผลต่ออารมณ์ และการนอนหลับ ซึ่งเซเรโทนินส่วนใหญ่ของร่างกายจะผลิตจากลำไส้ ถ้าระดับของเซเรโทนินไม่สมดุล จะส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และเกิดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง 4.ระคายเคืองผิวหนัง มีผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ ระคายเคืองผิวหนัง มีผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ ลำไส้อักเสบในทางเดินอาหาร อาจเกิดจากอาหารที่ไม่สะอาดหรือการแพ้อาหาร สิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดการ “รั่ว” ของโปรตีนบางชนิดในผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง 5.ภูมิต้านทานผิดปกติ ลำไส้ที่ไม่แข็งแรง อาจเพิ่มอาการอักเสบและเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วย ภัยเงียบนี้ สามารถนำไปสู่ ‘โรคแพ้ภูมิตัวเอง’ คือ การที่ร่างกายโจมตีตัวเองมากกว่าที่จะกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก การหมั่นตรวจสอบอาการของร่างกาย จะช่วยให้เรารู้ตัว และสามารถป้องกันได้ทันท่วงที อาการของภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีดังนี้ มือเย็น ตาแห้ง ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดตามข้อ มีผื่นคันตามลำตัว ชาตามมือและเท้า ผมร่วง เปราะ ขาดง่าย 6.ภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance) ภูมิแพ้อาหารแฝง คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อย หรือดูดซึมสารอาหารบางชนิดได้อย่างสมบูรณ์ ทำใหเกิดอาการแพ้ แตกต่างจากการแพ้อาหารซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต่ออาหารบางชนิด ภูมิแพ้อาหารแฝงมีผลกระทบต่อความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งหมายถึง ประสิทธิภาพการย่อยอาหารที่น้อยลง อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก หรืออาเจียนได้ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สังเกตอาการ ระบบย่อยอาหารมีปัญหา กลับสู่หน้าหลักบทความ

สังเกตอาการ ระบบย่อยอาหารมีปัญหา Read More »

ฝ่าวิกฤต ริดสีดวงทวาร

ฝ่าวิกฤต ริดสีดวงทวาร สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้จะมาพูดถึงโรคริดสีดวงทวารที่หลายท่านไม่พึงปรารถนา ผู้เป็นริดสีดวงทวารจะต้องทนทรมาน กับปัญหาติ่งเนื้อที่ยื่นออกมาจากทวารหนัก ขับถ่ายมีเลือดปน  หรือมีอาการปวด เจ็บ แสบ ระคายเคืองบริเวณทวารหนัก ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตสุขภาพระยะหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ เพราะไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน หรือขับถ่ายก็อาจไม่สะดวกนัก วันนี้เรามาทำความเข้าใจถึงวิธีปฏิบัติสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาริดสีดวงทวารกันครับ วิธีปฏิบัติสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาริดสีดวงทวาร 1.หมั่นนั่งแช่น้ำอุ่นเป็นประจำ ในช่วงที่มีติ่งริดสีดวงทวารยื่นออกมา เลือดจะมากระจุกอยู่ในบริเวณติ่งเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหลอดเลือดดำเกิดการโป่งพอง เมื่อพองตัวออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนผิวหนังบางลง และทำให้มีอาการปวดเจ็บทวารหนักมากขึ้นได้ การนั่งแช่น้ำอุ่นเป็นประจำจะทำให้มีการไหลเวียนเลือดได้ดีมากขึ้น  ช่วยบรรเทาอาการปวดเจ็บทวารหนัก และช่วยกระจายเลือดที่กระจุกอยู่บริเวณติ่ง ช่วยให้ติ่งค่อย ๆ ยุบตัวเล็กลงได้วิธีการแช่สามารถทำได้โดยใช้กาละมังสะอาดขนาดพอตัว บรรจุน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ แช่สัก 15-30 นาที  และการนั่งแช่นั้นก็เพื่อให้เกิดการไหลเวียนเลือดนั่นเองครับ กรณีมีแผลเปิด หรือแผลปริออกบริเวณรอบ ๆ รูทวาร  สามารถใส่ด่างทับทิมเข้าไปในน้ำอุ่น ละลายพอให้เป็นสีบานเย็นแล้วนั่งแช่ ด่างทับทิมจะช่วยฆ่าเชื้อบริเวณแผลปริได้ และหลังจากแช่เสร็จแล้วให้ล้างทำความสะอาดบริเวณทวารหนักด้วยน้ำเปล่าปกติ หรือใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผลบริเวณแผลปริ และซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ไม่ควรถูหรือเช็ดแรง ๆ เพราะจะให้เนื้อเยื่ออ่อนระคายเคือง และอักเสบมากขึ้นได้ 2.ทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน และดื่มน้ำให้มากขึ้นควรทานอาหารที่มีกากใยสูงเป็นประจำทุกวัน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ปริมาณผักและผลไม้ในแต่ละวันคือ 400 กรัม หรือเท่ากับปริมาณ 4-6 ทัพพีต่อวัน แต่หากเป็นผักสุกต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือหากเทียบง่าย ๆ คือ ในทุกมื้อจะต้องมีผักผลไม้อย่างน้อย 50% ของมื้อนั้น และแบ่งออกเป็นแป้ง และโปรตีนอีกอย่างละ 25%  สำหรับผักผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น คะน้า บล็อกโคลี  ใบเหลียง ดอกสะเดา ดอกแค ขี้เหล็ก ผักกระเฉด ตำลึง ผักกาดขาว  ผักโขม มะละกอ กล้วยน้ำว้า  ส้ม  แอปเปิ้ล  อะโวคาโด  ฝรั่ง มะม่วง  มะขาม แคนตาลูป  แก้วมังกร ข้าวสาลี ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วลิสง  เป็นต้น ส่วนการดื่มหรือจิบน้ำ ควรดื่มน้ำ(อุณหภูมิห้อง)ราว 5% ของน้ำหนักตัวและควรดื่มเริ่มตั้งแต่ตื่นนอน-ก่อนเข้านอนสัก 1 ชั่วโมง 3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลมในร่างกายได้ดี ธาตุทั้ง 4 ในร่างกายเกิดความสมดุล มีทั้งการนำสิ่งที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ และเป็นการขับของเสียต่าง ๆ ออกจาก การออกกำลังกายที่แนะนำ เช่น การเดิน จ็อกกิ้งเบา ๆ การทำท่ากายบริหาร หรือทำท่าโยคะต่าง ๆ ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิคจังหวะไม่เร็วเกินไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ออกแรงหนักเกินไป หรือทำให้เกิดการเสียดสีช่วงล่างของร่างกาย 4.ปรับเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ ไม่นั่งขับถ่ายนาน ๆการอยู่ในอิริยาบถเดิมนาน ๆ ทั้งการยืน นั่ง หรือนั่งขับถ่ายเป็นเวลานาน ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการริดสีดวงทวารได้ เพราะการอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ จะทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ไม่ดี เกิดการสะสมและคั่งค้างของของเสียภายในลำไส้ และมีอาการท้องผูกตามมา ยิ่งถ้าตอนนี้มีติ่งริดสีดวงอักเสบอยู่ ควรที่จะปรับเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ ทุก ๆ 1 ชั่วโมง  เพื่อให้เลือดที่กระจุกอยู่บริเวณติ่งริดสีดวง หรือบริเวณที่มีการอักเสบ กระจายเลือดออกไปได้ดี อาการริดสีดวงทวารก็จะบรรเทาลงได้ และในระหว่างการขับถ่าย ไม่ควรเบ่งถ่ายแรง และนั่งเข้าห้องน้ำนานเกิน 15 นาทีต่อครั้ง ควรเข้าไปนั่งถ่ายเมื่อมีรู้สึกปวดถ่ายจริง ๆ เท่านั้น สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขับถ่ายคือ ช่วงเวลา 05.00 – 07.00 น.  เพราะลำไส้ใหญ่ทำงานได้ดีมากที่สุด ส่วนนั่งท่านั่งตอนขับถ่ายที่เหมาะสมคือการนั่งทำมุม 35 องศา โดยวางเท้าลงบนเก้าอี้ตัวเล็กสูงจากพื้นประมาณ 20 เซนติเมตร และโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เป็นท่าที่ลำไส้ถูกยืดตรงออก และขับของเสียต่าง ๆ ออกมาได้สะดวกมากกว่าท่านั่งปกติที่ห้อยขาลงมาถึงพื้น หรือทำมุม 90 องศา เพราะมุม 90 องศา  จะทำให้ลำไส้ถูกบีบรัดไปด้วยกล้ามเนื้อรูหูดที่ควบคุมระบบการขับถ่าย จึงทำให้ขับถ่ายยาก ต้องออกแรงเบ่งมากขึ้น และอาการริดสีดวงทวารกำเริบได้ 5.งดอาหารแสลง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม การทานอาหารที่เหมาะสมในช่วงนี้จะเป็นอาหารรสเย็น จืด ขมเป็นส่วนใหญ่ เพราะอาหารรสเย็น จืด ขม (ตัวอย่างผักที่มีฤทธิ์เย็น รสจืด ขม เช่น คะน้า บล็อกโคลี ใบเหลียง ดอกสะเดา ดอกแค ขี้เหล็ก ผักกระเฉด ตำลึง ผักกาดขาว ผักโขม)นำมาปรุงอาหารประเภท แกงจืด ผัดผัก ผัดไข่ จะช่วยปรับสมดุลความร้อนในร่างกายให้กลับสู่ปกติ ธาตุอื่น ๆ ที่ผิดปกติไปก็จะเริ่มเข้าสู่สมดุล การอักเสบในร่างกายก็จะลดลงตามไปด้วย ส่วนอาหารที่ กระตุ้นให้ริดสีดวงทวารอักเสบ ได้อย่างดี คืออาหารรสเผ็ดร้อน อาหารรสจัด ของทอดของมัน อาหารหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม อาหารทะเล เพราะอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่กระตุ้นธาตุไฟ และมีสารกระตุ้นการอักเสบในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อระบบขับถ่ายทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย ทำให้มีอาการปวด เจ็บ แสบ ระคายเคืองทวารหนักมากขึ้น              เหนือสิ่งอื่นใดคือการรักษาความสะอาดครับ ลดความอับชื้น หลังจากการขับถ่ายทุกครั้งจึงควรล้างทำความสะอาดทวารหนักด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำอุ่น แล้วซับให้แห้งด้วยกระดาษชำระแบบนุ่ม  อ่อนโยนต่อผิว หรือผ้าสะอาด ไม่ถูแรง ๆ หรือใช้สายฉีดชำระที่น้ำแรงมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ติ่งริดสีดวงทวารอักเสบ ปวด เจ็บมากขึ้นได้ รวมถึงเลือกสวมชุดชั้นในที่ไม่รัดแน่นเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้มีเหงื่อออกมากขึ้น และหดรัดบริเวณติ่งริดสีดวงทวาร และทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดงมากขึ้น เลือกใช้ชุดชั้นในที่ระบายอากาศได้ดีจะดีกว่า ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ฝ่าวิกฤต ริดสีดวงทวาร กลับสู่หน้าหลักบทความ

ฝ่าวิกฤต ริดสีดวงทวาร Read More »

โรคผิวหนังมากับหน้าฝน

โรคผิวหนัง ที่มากับหน้าฝน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ฝนตกหนักในหลายๆพื้นที่ นอกจากเหล่าสัตว์มีพิษและโรคที่มากับหน้าฝนแล้ว สิ่งที่สร้างความกังวลใจแก่หลายๆท่านก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของโรคผิวหนัง เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวด ระคายเคืองแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วยวันนี้เราจะไปทำความรู้จักและวิธีป้องกันโรคผิวหนังที่มากับหน้าฝนกันครับ โรคผิวหนัง ที่มากับหน้าฝน มีโรคอะไรบ้าง 1.กลาก กลากเกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ มีลักษณะเป็นผื่นวงมีขอบเขตชัดเจน มีขุย เริ่มต้นด้วยอาการคัน ตามด้วยผื่นแดงต่อมาจะลามเป็นวงออกไปเรื่อย ๆ และมักจะคันมากขึ้น ส่วนใหญ่พบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น หนังศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ฝ่าเท้า และซอกนิ้วเท้า การรักษา : มียาหลายชนิดเพื่อใช้รักษากลาก เช่น อีโคนาโซล , ไมโคนาโซล , โคลไทรมาโซล(ซีม่าที่เรารู้จักกันจะเป็นตัวนี้) , ไอโซโคนาโซล , คีโตโคนาโซล , ออกซิโคนาโซล , ไบโฟนาโซล , ซัลโคนาโซล , ลาโนโคนาโซล , ลูลิโคนาโซล, โอโมโคนาโซล, เซอร์ทาโคนาโซล อะโมรอลฟีน ,บิวเทนาฟีน ,เทอร์บินาฟีน, แนฟทิฟีน 2.เกลื้อน : เกลื้อนเกิดจากเชื้อราชื่อ Pityrosporum ที่อาศัยอยู่เป็นปกติในรูขุมขนของทุกคน ลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายวง มีขุยละเอียด สีแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณลำตัว เช่น หลัง หน้าอก ท้อง ไหล่ คอ การรักษา : ยาน้ำทา เช่น 20% โซเนียมทัยโอซัลเฟต เหมาะกับผื่นเกลื้อนที่เป็นมากๆ ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีม ยากลุ่มนี้ได้แก่ Clotrimazole ครีมเหมาะกับผื่นเกลื้อนที่เป็นบริเวณไม่กว้างมาก 3.โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลง โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากแมลง เช่น ยุง หมัด ไร แมลงก้นกระดก หากสัมผัสเข้าอาจเกิดเป็นผื่นผิวหนังอักเสบได้ อย่างพิษของแมลงก้นกระดก เรียกว่า เพเดอริน ซึ่งมีลักษณะเป็นกรดที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เป็นผื่นคันหรือแผลพุพอง ผิวหนังไหม้แดง ปวดแสบปวดร้อน มีไข้ และถ้าถูกพิษบริเวณดวงตา อาจทำให้ตาบอดได้! หากมีอาการแพ้รุนแรงควรรีบพบแพทย์ การรักษา : ทำความสะอาดผื่นที่ถูกกัดด้วยสบู่และน้ำสะอาด ทานยาแก้แพ้เพื่อลดอาการคัน (ถ้าคัน) ถ้ามีการติดเชื้อร่วมด้วย เช่น เป็นหนอง อาจจำเป้นต้องได้รับยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย (กรณีนี้แนะนำให้ไปพบแพทย์นะครับ) 4.โรคเท้าเหม็น โรคเท้าเหม็น เป็นโรคของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นนอก ทำให้เท้าลอกและมีกลิ่นเหม็น เกิดผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด มีอาการเท้าแห้งลอก เท้าจะมีกลิ่นรุนแรงมากกว่าปกติ มีหลุม รูพรุนเล็ก ๆ บริเวณฝ่าเท้าและง่ามเท้า การรักษา : ยาฆ่าเชื้อ/ ยาปฏิชีวนะ ชนิดทา เช่น ยา Clindamycin ยา Erythromycin หรือ ยาทาที่ช่วยให้ผิวหนังลอกตัวเพื่อสร้างผิวหนังขึ้นใหม่และมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย เช่น ยา Benzoyl peroxide หรือ ยาที่เป็นแป้งผงฆ่าเชื้อ โดยทายา เช้า-เย็น จน กว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงภาวะอับชื้นของเท้าด้วย 5.โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่มีการอักเสบของผิวหนังอย่างเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ สาเหตุอาจมาจากพันธุกรรม ภูมิแพ้ และสิ่งแวดล้อม อาการจะมีผื่นแดง แห้งลอก คัน โดยมีอาการคันมากที่บริเวณตามข้อพับแขน  ข้อพับขา ใบหน้า แขน ขา ซอกคอ เนื่องมาจากอุณหภูมิและความชื้นของอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การรักษา : การรักษาขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค ยาที่ได้ผลเร็วคือยาสเตียรอยด์ เมื่อผื่นหายแล้วต้องหยุดยา ไม่ควรซื้อยาสเตียรอยด์มาทานเอง เพราะจะมีผลข้างเคียงในระยะยาว อย่างไรก็ตามควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร 6.โรคน้ำกัดเท้า โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลาก มีอาการระคายระคายเคืองผิวหนังจากความอับชื้น ทำให้เกิดผื่นตามเท้า ซอกนิ้วเท้า อาจมีการติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย การรักษา : รักษาเท้าให้สะอาด ล้างเท้าให้สะอาด พยายามเช็ดแผลให้แห้ง ไม่ควรสวมรองเท้าปิด หรือใส่ถุงเท้า เปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ที่แห้งและสะอาด ใช้ครีม หรือขี้ผึ้งกันเชื้อรา หรือโรยแป้งที่เท้า 7.โรคผื่นกุหลาบ โรคผื่นกุหลาบ เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยในวัย 10-35 ปี โดยพบว่ามีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย การได้รับวัคซีน ผื่นแพ้ยุงและแมลง และยาบางชนิด ส่วนใหญ่มักพบบ่อยในช่วงฤดูหนาว และฤดูฝน เนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นในลักษณะเป็นวงกว้าง กลม รี สีชมพูหรือสีแดง หรือเป็นจุดรูปไข่ ระยะแรกจะพบผื่นใหญ่ขนาดประมาณ 2-6 เซนติเมตร ตรงกลางของผื่นมีขุยขนาดเล็ก โดยมักจะพบขึ้นตามบริเวณลำตัว หน้าอก หน้าท้อง และแผ่นหลัง บางครั้งอาจพบบริเวณคอ แขน หรือขาส่วนบนได้ การรักษา : โรคผื่นกุหลาบสามารถหายได้เอง โดยอาจทิ้งรอยช่วงสั้น ๆ มีการรักษาดังนี้ รักษาตามอาการเป็นหลัก ใช้ครีมชุ่มชื้นผิวที่เหมาะสม ร่วมกับยาทาสเตียรอยด์หรือยารับประทานในกลุ่มยาแก้แพ้ (Antihistamines) สามารถช่วยลดอาการคันได้ แต่ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับผู้ป่วยที่มีผื่นจำนวนมาก อาจใช้การฉายแสง UVB สามารถช่วยควบคุมโรคได้ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :   โรคผิวหนัง ที่มากับหน้าฝน กลับสู่หน้าหลักบทความ

โรคผิวหนังมากับหน้าฝน Read More »

บอกลาเบาหวาน คุมน้ำตาลในเลือด

           บอกลาเบาหวาน คุมน้ำตาลในเลือด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้สาระเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน เรามี 9 วิธีง่ายๆ ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งเสริมให้สุขภาพดีได้อย่างยั่งยืนหากทำได้อย่างต่อเนื่อง มาดูเกณฑ์กันก่อนครับว่าท่านอยู่ในกลุ่มใด ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ระหว่าง 70-100 คุณอยู่ในภาวะปกติ  ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ      100 – 125 มีภาวะความเสี่ยง หรือ เบาหวานแฝง  ระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า     126  คุณมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน  ข้อปฏิบัติเพื่อปรับพฤติกรรมเสี่ยงน้ำตาลในเลือดสูง 1.ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ หากร่างกายขาดน้ำ จะส่งผลทำให้เลือดข้น และส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน จะช่วยดับกระหาย และทำให้โอกาสที่เราจะไปเลือกดื่มน้ำหวานลดกระหายน้อยลง แต่ถ้าหากร่างกายได้รับน้ำเปล่าอย่างเพียงพออยู่แล้ว การดื่มน้ำเปล่าเพิ่มก็ไม่ได้ส่งผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่จะทำให้เราอิ่มน้ำ และไม่ไปดื่มเครื่องดื่มอย่างอื่นแทนได้ 2.ถ้าขาดชา กาแฟ ไม่ได้ ให้ชงเองคุมน้ำตาล หรือสั่งหวานน้อยให้ติดปาก สำหรับผู้ที่ติดการดื่มชา หรือ กาแฟนั้น กรณีชงดื่มเอง ลองสำรวจตัวเองดูว่า เครื่องดื่มที่ตนเองดื่มเป็นประจำนั้น มีการเติมน้ำตาล นมข้นหวาน หรือน้ำผึ้งมากหรือไม่ หากมีปริมาณมากลองลดการเติมจากเดิมครึ่งนึง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไม่เติมเพิ่ม แต่ถ้าสั่งซื้อจากร้าน พึงระลึกว่าน้ำตาลในเลือดเราสูงอยู่ ควรสั่งให้ติดปากว่า ขอหวานน้อย หรือ ไม่เติมน้ำตาล/นมข้นหวานเพิ่ม 3.ก่อนซื้อเครื่องดื่ม อ่านฉลากโภชนาการสักนิด สะกิดตัวเองว่าน้ำตาลเกิน การอ่านฉลากโภชนาการ จะทำให้เราได้รู้ข้อมูลว่าเครื่องดื่มที่เราดื่มอยู่นั้น มีพลังงาน น้ำตาลหรือโซเดียมมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่า จะเลือกกินเครื่องดื่มอะไรแบบไหนได้บ้าง ทางที่ดีก็ควรมองหาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่น้อยที่สุด หรือมองหาเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ 4.กินให้ได้สัดส่วน 2:1:1 หรือจำง่ายๆ กินข้าวเท่ากับเนื้อ กินผักมากกว่าข้าว จานอาหารสุขภาพ 2:1:1 สามารถดูได้ง่ายๆ จากการแบ่งจานอาหารออกเป็น4 ส่วน โดย 2 ส่วนของจานเป็นผัก (หรือผักครึ่งจาน) 1 ส่วนของจานเป็นกลุ่มข้าวแป้ง และอีก 1 ส่วนของจานเป็นกลุ่มโปรตีน เช่น ปลา หมู ไก่ เต้าหู้ หรือไข่ การกินอาหารตามสัดส่วน 2:1:1 จะช่วยควบคุมให้เราไม่ได้รับอาหารกลุ่มข้าวแป้งในปริมาณที่มากเกินไป และยังช่วยเพิ่มใยอาหารจากผักได้อีกด้วย 5.มองหาข้าวไม่ขัดสี ข้าวไม่ขัดสี เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดี ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงเร็วมากนัก 6.กินผลไม้มื้อละ 1 กำปั้นมือ คือ สัดส่วนที่เหมาะสม ผลไม้ เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตอย่างหนึ่ง ที่คนไทยหลายๆ คนมักกินมากเกินไป สำหรับคนที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูง สัดส่วนผลไม้ประมาณ 1 กำปั้น เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะที่ทำให้ร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลจากผลไม้มากจนเกินไป โดยผลไม้ที่แนะนำ ได้แก่ แอปเปิ้ลลูกเล็ก 1 ลูก ฝรั่งครึ่งลูก แก้วมังกรครึ่งลูก มะละกอ 4-6 ชิ้นคำ เป็นต้น 7.เพิ่มกิจกรรมทางกาย ทำง่ายๆ ด้วยการเดิน การเพิ่มกิจกรรมทางกาย ถือว่าเป็นการเพิ่มการใช้พลังงาน ทำให้ร่างกายไม่สะสมพลังงานส่วนเกินที่ได้รับจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไป ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานในอนาคตได้ โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ได้จากการเดินที่เพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มการเดินขึ้นบันได การเดินในระยะทางที่เพิ่มขึ้นแทนการนั่งมอเตอร์ไซค์ นอกจากนั้นยังสามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นได้แก่ ทำสวน ทำงานบ้าน ขุดดิน ต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที 8.ออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน ยืดอายุฉันให้แข็งแรง การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมที่ช่วยทำให้ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการออกกำลังกายระดับหนักปานกลาง วัดง่ายๆ ได้จากการพูด (Talk test) คือระดับที่เหนื่อยหอบนิดๆ สามารถพูดได้เป็นประโยคสั้นๆ สะสมให้ได้อย่างน้อย 150 นาที /สัปดาห์ 9.เสริมกล้ามเนื้อ เล่นเวทวันละนิด สร้างความฟิตเพิ่มการเผาผลาญ ลองออกกำลังกายแบบแรงต้าน เช่น การยกน้ำหนัก ออกกำลังกายด้วยยางยืด ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยออกแรงกล้ามเนื้อของขา แขน หลัง และหน้าท้อง ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  บอกลาเบาหวาน คุมน้ำตาลในเลือด กลับสู่หน้าหลักบทความ

บอกลาเบาหวาน คุมน้ำตาลในเลือด Read More »