Health Tips

โรคที่มักติดจากโรงเรียน

โรคที่มักติดจากโรงเรียน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ช่วงเปิดเทอมหรือเปิดภาคเรียนแบบนี้คุณพ่อคุณแม่อาจกำลังเป็นห่วงสุขภาพของลูกๆอยู่ใช่หรือไม่ครับ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว เรื่องของสุขภาพก็มีอยู่บ้างที่ลูกๆอาจจะป่วยจากการตากฝน เล่นสนุกท่ามกลางแดดร้อนๆ หรือติดหวัดมาจากเพื่อนและบุคคลอื่นๆ แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่ต้องรับมือและสังเกตอาการ เพราะอาการของโรคจะเป็นสัณญาณบอกโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาครับ นี่คือ 6 กลุ่มโรคที่มักจะติดมาจากโรงเรียน 1.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรียไมโครพลาสม่า (Mycoplasma) ไมโครพลาสม่า เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ทำให้เกิดอาการไอ  เจ็บคอ  หลอดลมอักเสบ และปอดบวม ส่วนใหญ่จะติดเชื้อจากที่ชุมชนมีผู้คนจำนวนมากอย่างโรงเรียน หรือ โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น       โดยหลังจากได้รับเชื้อจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-4 สัปดาห์ อาการป่วยจะคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ควรพาลูกมาพบแพทย์หากมีอาการไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ไอรุนแรง หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บางรายมีผื่นแดงตามผิวหนัง โดยโรคติดเชื้อไมโครพลาสม่ารักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolides หรือ doxycycline 2.covid 19 ยังคงประมาทไม่ได้สำหรับ COVID-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ SARS-CoV-2 ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อมนุษย์ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการติดต่อกันระหว่างคนผ่านทางละอองที่แพร่กระจายจากการไอหรือจามของผู้ติดเชื้อ หรือผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีเชื้อปนเปื้อน       อาการของโรค COVID-19 ส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยไข้ อาการไอ หายใจลำบาก คัดจมูก  ครั่นเนื้อครั่นใจ เบื่ออาหาร และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดบวม วิกฤตต่อเนื่องของระบบไต หรือภาวะติดเชื้อระบบประสาทส่วนกลางและอย่างอาการสำคัญของสายพันธุ์ XBB.1.16 (สายพันธุ์ที่ระบาดช่วงปลายปี 2022 ถึง ต้นปี 2023 อาการที่พบส่วนใหญ่ ได้จะแก่ มีไข้สูง หวัดคัดจมูก ไอ ผื่นคัน ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย จมูกไม่ได้กลิ่น อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย เยื่อบุตาอักเสบ คล้ายตาแดง คันตา ขี้ตาเหนียว ลืมเปลือกตาไม่ขึ้น       สำหรับการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 รวมถึงการเฝ้าระวังการแพร่กระจายของไวรัส มีการแนะนำให้ล้างมือบ่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ สวมหน้ากากอนามัย  เว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร และหลีกเลี่ยงการไปที่พื้นที่คับคั่งหรือมีคนมาก เช่น สถานที่ที่ไม่จำเป็น หรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคนมาก และในปี 2024 อาจเป็นสายพันธุ์ โอมิครอน JN.1 3. โรคมือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่พ่อแม่จะต้องระวังให้มาก เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่บ้านและในโรงเรียน และอาการของโรคมือ เท้า ปากก็คล้ายกับโรคหวัดจนพ่อแม่ไม่ทันสังเกตถึงความรุนแรง จนบางครั้งกว่าจะรู้และรักษาให้หาย ที่สำคัญอันตรายถึงชีวิต     อาการโรคมือ เท้า ปาก ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากเป็นไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย อาจมีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ (คล้าย เป็นหวัด) อาเจียนหรือถ่ายเหลวร่วมด้วย  ต่อมาเป็นผื่นและตุ่มน้ำใสที่บริเวณปาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้า บางครั้งอาจจะมีผื่นขึ้นที่บริเวณก้นด้วย ลักษณะสำคัญเฉพาะโรคนี้คือ ตุ่มน้ำใสที่ขึ้นในปากจะมีขนาดเล็กและแตกเป็นแผลตื้นๆ โดยเฉพาะบริเวณลิ้นและกระพุ้งแก้ม ทำให้ลูกกินอาหารได้ลดลง  และน้ำลายไหลมากผิดปกติ  ส่วนตุ่มใสที่มือและเท้าจะไม่แตกเหมือนตุ่มในปาก ถ้าลูกมีไข้โดยไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร และหากเฝ้าดูอาการแล้วพบว่ามีตุ่มขึ้นก็อาจจะเป็นโรคมือ เท้า ปาก ควรให้ลูกหยุดเรียน เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคและพบแพทย์ 4. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไข้หวัดใหญ่  เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อินฟลูเอนซา (Influenza Virus) สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ใหญ่ๆ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการป่วยจะเริ่มปรากฎหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน โดยอาจพบอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าป่วยเป็นระยะเวลานานอาจจะมีอาการไอจากหลอดลมอักเสบ อาการจะรุนแรงและป่วยนานกว่าไข้หวัดธรรมดาเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตได้ และเด็กที่ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการและจะแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน โดยติดต่อทางการหายใจ จากเชื้อที่ออกมาปนเปื้อนอยู่ในอากาศเมื่อผู้ป่วยไอ จาม  หรือพูด รวมถึงการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย 5. โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) โรคเฮอร์แปงไจน่า มักระบาดในช่วงฤดูฝน และพบบ่อยในเด็กอายุ 2 ถึง 10 ปี เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานของเชื้อนี้ โดยเฉพาะเด็กที่ไปโรงเรียนอนุบาล  มักเล่นของเล่นรวมกัน  หยิบจับสิ่งของรวมกัน  จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย โดยตัวเชื้อจะอยู่ได้นานในอากาศเย็นและชื้น จึงระบาดมากในฤดูฝน แต่ก็สามารถพบได้ทุกฤดู โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่อาจจะมีไข้เฉียบพลัน ไข้อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดตามตัว อาจมีอาเจียน และอาการเด่นคือจะมีอาการเจ็บบริเวณเพดานปากและคอนำมาก่อน ต่อมา (ภายใน 1 วัน) จะมีจุดแดงๆ บริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และอาจมีตุ่มแดงที่ทอนซิล หรือบริเวณในลำคอด้วยก็ได้ อย่างไรก็ตาม ไข้จะลดลงภายใน 2 – 4 วัน แต่แผลอาจคงอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์แต่ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเจอได้จากโรคนี้ ควรรีบนำเด็กพบแพทย์ เมื่ออาการไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน หรือไข้สูง, รับประทานอาหารและดื่มนมไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยลง หรือมีอาการซึมลง 6. โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV นับเป็นอีกหนึ่งโรคทางเดินหายใจที่แพร่ระบาดในเด็กในช่วงฤดูฝนของทุกปี เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในปอดและทางเดินหายใจ อาการจะปรากฏหลังจากสัมผัสกับเชื้อโรคประมาณ 4-6 วัน ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงและหลอดลมขนาดใหญ่ อาการจะคล้ายกับเป็นหวัดทั่วไป เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง มีไข้ต่ำ เจ็บคอ ปวดหัวเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่จะหายภายใน 1 -2 สัปดาห์ ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ไวรัส RSV หากลูกมีอาการน่าสงสัย ควรพาไปพบแพทย์ ซึ่งจะมีการเก็บเสมหะจากจมูกไปทดสอบหาเชื้อไวรัส RSV การรักษาจะรักษาตามอาการเช่น เช็ดตัว กินยาลดไข้ พ่นยาเคาะปอด ดูดเสมหะ การแพร่กระจายของไวรัส RSV คล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่น คือผ่านการจามหรือไอที่ก่อให้เกิดละอองเสมหะในอากาศ ผ่านการสัมผัสโดยตรง และผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ เช่น เด็กสัมผัสสิ่งของหรือของเล่นที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ แล้วมาจับปาก จมูก หรือตาของตัวเอง จึงมักติดต่อกันง่ายในโรงเรียนครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โรคที่มักติดจากโรงเรียน กลับสู่หน้าหลักบทความ

โรคที่มักติดจากโรงเรียน Read More »

บำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์

            บำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ทุกท่านอาจรู้จัก อัลไซเมอร์กันว่าเป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งใช่หรือไม่ครับ ท่านทราบหรือไม่ว่าอัลไซเมอร์นั้นมักเกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะสูญเสียความสามารถทางสมอง เช่น ความทรงจำระยะสั้น การใช้เหตุผล ภาษา ความคิด และการตัดสินใจ การประสบภาวะดังกล่าวอาจสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันทีเดียวครับ และต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อทราบแนวทางการบำบัดฟื้นฟู ในขณะที่ท่านที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว สามารถเริ่มดูแลตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ได้ครับ และนี่คือเนื้อหาสาระที่จะมาพูดถึงกันในวันนี้ครับ          คำถามนี้จะช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก  เพราะในวัยเด็กจินตนาการเป็นเรื่องสำคัญ ที่ช่วยหล่อหลอมให้ชีวิตมีความสุข ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การใช้จินตนาการก็ถือเป็นการบริหารสมองอย่างหนึ่ง ดังนั้นในบางครั้งพ่อแม่อาจจะลองตั้งคำถามที่ดูเกินจริงดูบ้าง เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวา ให้ลูกเกิดความคิดสร้างสรรค์ครับ ท่านสามารถลดปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ ดังนี้ 1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง         สาเหตุที่นำไปสู่การเกิดอาการความจำเสื่อม คือ เมื่อระดับคอเลสเตอรอลสูง ก็จะมีผลให้หลอดเลือดตีบ ทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดแดง และการอุดตันของหลอดเลือดแดงนี้เองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดในสมองโดยคอเลสเตอรอลจะไปทำให้เกิดการรวมตัวของโปรตีนที่ชื่อ เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) ที่เชื่อกันว่าเป็นตัวต้นเหตุที่ก่อความเสียหายแก่สมองในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ สำหรับ อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และสมควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารจำพวกที่มีไขมันอิ่มตัว ไข่แดง เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์นม (ยกเว้นนมเปรี้ยว) และกาแฟ 2.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน       น้ำหนักตัวที่ผิดปกติจะมีผลต่อการเป็นอัลไซเมอร์ ดังนั้น เราควรรักษาน้ำหนักตัวให้ได้มาตรฐาน คือมีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนลงพุงหรือผอมเป็นหนังหุ้มกระดูก ใครที่รู้ตัวว่าอ้วนหรือผอมเกินไป ต้องจัดสรรการกิน การนอน และหมั่นออกกำลังกายลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอครับ 3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ       มีงานวิจัยเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มผู้ทดลอง 154,000 คน ในช่วง 11 ปี ที่เป็นคนที่รักการเดินและวิ่ง พบว่าหากคุณวิ่งมากกว่า 25 กิโลเมตร ต่อสัปดาห์ ช่วยลดอัตราการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ถึง 40% คนที่วิ่งน้อยกว่านี้มีอัตราเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยลงประมาณ 25% กล่าวคือ แค่วิ่งวันละ 5 กิโลเมตร เพียง 5 วันต่อสัปดาห์ก็ช่วยได้มากทีเดียวครับ 4.ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีควันบุหรี่       สูบบุหรี่บ่อยๆ และสูดควันบุหรี่เป็นประจำ ทำให้เซลล์สมองฝ่อและเสื่อมได้ง่ายกว่าปกติ โดยการสูบบุหรี่เพียงวันละ 1 – 2 มวน ยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ได้รับควันมือสองก็มีความเสี่ยงเพิ่มด้วยเช่นกัน   5.ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุทางศีรษะและสมอง        สวมใส่หมวกนิรภัยเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนที่สมอง หากเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะ และพฤติกรรมอื่นๆที่อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บทางสมอง 6.ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี คอยตรวจสุขภาพประจำปี โรคอัลไซเมอร์มีระยะเวลาก่อโรคนาน 15-20 ปีกว่าจะมีอาการสมองเสื่อมชัดเจน การแสดงอาการของโรคจะเป็นไปอย่างช้าๆ จึงควรตรวจคัดกรองเพื่อรู้ทันสุขภาพของท่านเองครับ 7.ฝึกสมองอยู่เสมอ เช่น ฝึกคิดเลข อ่านหนังสือ ฝึกใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ หรือใช้เกมเป็นสื่อฝึกฝนการฝึกสมองก็ได้ อาทิ เกมจับผิดภาพ เขาวงกต หรือเกมมิติสัมพันธ์ที่จะช่วยให้กระตุ้นกระบวนการคิดได้ดีครับ 8.มีความปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พบปะพูดคุยกับผู้อื่นบ่อยๆ  เนื่องจากอัลไซเมอร์จำนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและอารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถจดจำรายละเอียด ข้อมูล และเชื่อมโยงสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ป้องกันนิ่วในไต เลือก เลี่ยง ลด กลับสู่หน้าหลักบทความ

บำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์ Read More »

ป้องกันนิ่วในไต เลือก เลี่ยง ลด

ป้องกันนิ่วในไต เลือก เลี่ยง ลด สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้มาพูดถึงภัยร้ายตัวจิ๋วอย่างนิ่วในไต หรือก็คือก้อนที่เกิดการตกตะกอนของสารที่อยู่ในปัสสาวะบางชนิดที่บริเวณไต หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่รีบรักษา อาจเกิดการติดเชื้อซ้ำจนเนื้อไตเสีย ไตเสื่อม และไตวายเรื้อรังได้ ซึ่งภาวะนี้จัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยค่อนข้างมาก ส่วนวันนี้นั้นเราจะมาพูดถึง นิ่วในไต กันครับ สัณญาณบ่งชี้ นิ่วในไต เป็นอย่างไร หากท่านมีอาการต่อไปนี้ ปวดเอวข้างที่มีก้อนนิ่ว ปวดหลังหรือช่องท้องช่วงล่างข้างใดข้างหนึ่ง ปวดเสียด ปวดบิดเป็นพัก ๆมีไข้หนาว คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะขุ่นแดง ปัสสาวะเป็นเม็ดทราย ปัสสาวะแล้วเจ็บ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะไม่ออก ปวดบิดในท้องรุนแรงถ้าก้อนนิ่วตกลงมาที่ท่อไต ขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการแสดงเช่นกันครับ และนี่คือวิธี เลือก-เลี่ยง-ลด เพื่อป้องกัน “นิ่วในไต” 1.เลือกการทานแคลเซียมและใยอาหาร นมพร่องมันเนย ปลาเล็ก ผลไม้ ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติและปลา มีอัตราการเกิดนิ่วในไตน้อยกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อแดงเป็นประจำ 30-50% เลยทีเดียวเชียว นั่นก็เป็นเพราะว่า ในการย่อยโปรตีนปริมาณที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดการสร้างตัวของกรดยูริกและเข้าไปสะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกรดยูริกมีมากเข้าก็จะจับตัวกลายเป็นก้อนแข็งที่เราเรียกว่านิ่วนั่นเอง 2.เลี่ยงอาหารที่มีกรดออกซาเลตสูง อาหารเช่น เช่น ช็อกโกแลต งา ผักปวยเล้ง นมถั่วเหลือง หน่อไม้ เนื่องจาก ออกซาเลตจะป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ ดังนั้น ระดับแคลเซียมในปัสสาวะก็จะเพิ่มขึ้น แล้วนำไปสู่นิ่วในไต 3.ลดอาหารที่มีรสหวานและรสเค็มจัด เอาหารแปรรูป อาหารหมักดอง ขนมขบเคี้ยว การรับประทานปริมาณโซเดียมที่มากเกินไป จะทำให้เกิดการก่อตัวขึ้นของแคลเซียมในกระเพาะปัสสาวะ และแคลเซียมที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะก็จะตกผลึกก่อตัวเป็นก้อนนิ่วในไตได้ ซึ่งปริมาณของโซเดียมทีเหมาะสมต่อร่างกายคือไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าหากเป็นผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูงควรจะรับประทานให้น้อยกว่าวันละ 1,500 มิลลิกรัมจะดีที่สุด   สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นสาเหตุของภาวะนิ่วในไต คือ ดื่มน้ำน้อยเกินไป ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 8 แก้วต่อวัน หรือให้ได้ปริมาตรของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ และลดโอกาสการก่อผลึกนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : ป้องกันนิ่วในไต เลือก เลี่ยง ลด กลับสู่หน้าหลักบทความ

ป้องกันนิ่วในไต เลือก เลี่ยง ลด Read More »

ตะคริวกินขา ปัญหาสุขภาพ

ตะคริวกินขา ปัญหาสุขภาพ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ทุกท่านเคยหรือไม่ครับนอนหลับสนิทอยู่ดีๆก็เป็นอันต้องสะดุ้งตื่นจากอาการตะคริว ซึ่งนิยามของ“ตะคริว คือ “อาการหดเกร็ง” ที่ทำให้กล้ามเนื้อปวดและเป็นก้อนแข็ง ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้มีอาการปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อมัดที่เกิดการหดเกร็ง สร้างความเจ็บปวดทรมานชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียวเลยใช่หรือไม่ครับ แถมจริงๆแล้วตะคริวเนี่ย ยังสอดคล้องสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพอื่นๆด้วยนะครับวันนี้เราจะมาไขความกระจ่างของตะคริวกันครับ ตะคริว มักเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1.การนอน นั่งหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกเป็นระยะเวลานานจนเกินไป นอนลักษณะของเท้าที่ไม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตะคริวตอนนอน ในผู้สูงอายุหากนอนอยู่ในท่าเหยียดขาตรง ข้อเท้างองุ้ม และปลายเท้าชี้ลงพื้น ซึ่งคล้ายกับท่ายืนด้วยปลายเท้า อาจทำให้กล้ามเนื้อน่องหดเกร็งและเสี่ยงต่อการเป็นตะคริวได้ง่ายกว่าปกติครับ 2.ดื่มน้ำน้อยเกินไป หากดื่มน้ำน้อยเกินไปก็จะทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ  นอกจากนี้ยังพบว่า หากร่างกายขาดสมดุลของเกลือแร่อย่างโซเดียมและโพแทสเซียม อันได้แก่ ท้องเดิน อาเจียน เสียเหงื่อมาก หรือรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ก็อาจทำให้เป็นตะคริวรุนแรง และเกิดกับกล้ามเนื้อหลายส่วนของร่างกาย แถมเป็นตะคริวครั้งหนึ่งก็เป็นอยู่นานทีเดียวครับ 3.ใช้งานกล้ามเนื้อมากไป จนอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อล้า กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่น ท่านที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ใช้เวลาทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงขาหนักมาก อาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและนำไปสู่ตะคริวตอนนอนได้ นอกจากนี้ยังมีอาการเส้นเอ็นหดตัว ซึ่งเส้นเอ็นนั้นเป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยเชื่อมกล้ามเนื้อกับกระดูกเข้าไว้ด้วยกัน หากเส้นเอ็นหดตัวสั้นลงเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริว 4.เส้นประสาททำงานผิดปกติ และ หลอดเลือดแข็งหรือตีบตัน ในทางการแพทย์สาเหตุของการเกิดตระคิวก็อาจมาจาก เส้นประสาททำงานผิดปกติ เส้นประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวาน ปลายประสาทอักเสบ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ เท้าแบน โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือภาะขาดน้ำ เป็นต้น ซึ่งอาจต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย เพราะจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคต้นเหตุและเริ่มการรักษาได้เร็วขึ้น             นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statins) หรือยาแก้ปวดอย่างยานาพรอกเซน (Naproxen) อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการตะคริวได้ ผู้ป่วยจึงอาจต้องปรึกษาแพทย์ในการบรรเทาอาการหรือปรับแผนการใช้ยา เพื่อให้ลดความเสี่ยงของการเกิดตะคริวให้น้อยลง การป้องกันตัวเองจากการเกิดอาการตะคริว คุณสามารถทำตามขั้นตอนเบื้องต้นต่อไปนี้ 1.หมั่นยืดกล้ามเนื้อ: ความตึงและการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไปอาจเป็นสาเหตุของตะคริว ดังนั้นคุณควรทำการยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เช่น การยืดกล้ามเนื้อในพื้นที่ที่มักเกิดตะคริว เช่น การยืดขาส่วนน่องโดยการเหยียดขาค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำไปเรื่อยๆ ประมาณ 30 ครั้งต่อวัน 2.อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่น: น้ำอุ่นช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด ซึ่งอาจช่วยลดอาการตะคริวในเวลากลางคืนได้ 3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอมีประโยชน์ไม่เพียงแต่สำหรับผิวพรรณ แต่ยังช่วยป้องกันตะคริวด้วย เนื่องจากอาการตะคริวอาจเกิดจากการขาดน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อลดโอกาสเกิดตะคริว 4.บริโภคอาหารที่มีแคลเซียม: สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม เนื่องจากแคลเซียมเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญสำหรับระบบกล้ามเนื้อ การบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมเพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดตะคริว 5.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือบ่อยครั้งอาจทำให้กล้ามเนื้อเสื่อมถอยและเพิ่มโอกาสในการเกิดตะคริว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือบ่อยครั้ง         อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการตะคริวอยู่บ่อยครั้งหรือรู้สึกว่ากล้ามเนื้อไดรับความเสียหายที่รุนแรง ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  ตะคริวกินขา ปัญหาสุขภาพ กลับสู่หน้าหลักบทความ

ตะคริวกินขา ปัญหาสุขภาพ Read More »

สัญญาณบอกโรคของคนหิวบ่อย

สัญญาณบอกโรคของคนหิวบ่อย สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้แอดมินมีคำถามมาถามทุกท่านครับว่า เคยรู้สึกหิวบ่อยที่สุดที่ครั้งต่อวันครับ ไม่นับรวมมื้อที่เรารับประทานเป็นประจำนะครับ อยากให้ทุกท่านลองสังเกตดูว่า ความถี่ของความหิวมีมากน้อยอย่างไร และวันนี้เราจะมาไขคำตอบกันครับว่า การหิวบ่อยในช่วงตลอดวันเนี่ยเกิดจากอะไร และเป็นสัญญาณทางสุขอะไรหรือไม่ ติดตามไปพร้อมกันวันนี้ ก่อนอื่นเรามาเข้าใจกลไกความหิวกันครับ เวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า เกรลิน (ghrelin) ออกมา เพื่อสั่งการไปยังสมองว่าเรากำลังหิว และเมื่อร่างกายได้รับอาหารจนเต็มกระเพาะแล้ว ร่างกายก็จะหยุดหลั่งฮอร์โมนเกรลิน และหลั่งฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่ชื่อ เลปติน (leptin) เพื่อบอกว่าอิ่มแล้ว เรามาดูสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกหิวบ่อยๆกันครับว่ามีอะไรบ้าง 1.หากคุณชื่่นชอบการรับประทานอาหารประเภทไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว หรืออาหารที่ให้น้ำตาลสูง อาหารกลุ่มนี้เช่น เบเกอรี่ ขนมปังขาว อาหารเหล่านี้จะให้พลังงานที่ค่อนข้างสูงแต่จะรู้สึกอิ่มไม่นาน จึงทำให้เกิดอาการหิวบ่อย เนื่องจากร่างกายเกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินขึ้นมาจำนวนมาก เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่าง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างลวดเร็ว ร่างกายจึงเกิดอาการรู้สึกหิวได้ง่ายขึ้น ขนมหวานจึงเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทานขนมหวานเป็นประจำ 2.อาหารหิวบ่อยที่เกิดจากภาวะน้ำตาลต่ำจากโรค ภาวะน้ำตาลต่ำ อาจมีสาเหตุมาจากอาการตับอักเสบ ความผิดปกติของไต หรือปัญหาเกี่ยวกับต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง โดยสามารถส่งสัญญาณของโรคได้ จากอาการหิวบ่อยผิดปกติ นอกจากนี้ภาวะน้ำตาลต่ำ มักพบจากสาเหตุการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการพูดไม่ชัด มีปัญหาในการเดิน วิตกกังวล หัวใจเต้นเร็ว ผิวซีด สั่น เหงื่อออก ชารอบปาก หน้ามืด ชัก หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตในรายที่ระดับน้ำตาลลดต่ำอย่างรุนแรง ทั้งนี้ภาวะน้ำตาลต่ำมักพบบ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงจากการรักษาโรค ทำให้เกิดอาการหิวบ่อยได้ง่ายเช่นกัน 3.อาหารหิวบ่อยที่เกิดจากพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาการนอนน้อย อาจส่งผลต่อสุขภาพหลายส่วน เช่น ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีความเกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร (ฮอร์โมนเกรลิน) ทำให้รู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา เกิดความอยากอาหารมากขึ้น ทำให้รับประทานอาหารเข้าไปเป็นปริมาณมาก และอิ่มช้าลง 4.อาหารหิวบ่อยที่เกิดจากความเครียด อารมณ์เครียดหรือวิตกกังวล จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียด และอะดรีนาลีน (Adrenaline) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนประเภทนี้ตามธรรมชาติจะหลั่งก็ต่อเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน เช่น ตกใจ หรือตื่นเต้นอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายเกิดกระบวนการดึงพลังงานมาใช้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการหิว และอยากอาหารประเภทที่มีน้ำตาลและไขมันสูงได้ง่าย 5.อาหารหิวบ่อยที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่ในการการควบคุมระบบเผาพลาญพลังงานในของร่างกายและการทำงานของอวัยวะให้เป็นไปตามปกติ เมื่อใดที่ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคภาวะภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน หรือทำงานผิดปกติ  (Hyperthyroidism) จะส่งผลต่ออารมณ์ น้ำหนัก ระดับพลังงานของร่างกาย แปรปวน มักจะมีอาการหิวบ่อยร่วมด้วย           หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในการควบคุมความหิว แอดมินใคร่แนะนำให้เริ่มจากการดื่มน้ำเปล่าก่อนครับ ถ้าหากยังมีอาการหิว จึงค่อยหาอาหารมื้อหลักที่มีประโยชน์มารับประทาน หรือให้เลือกเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานต่ำมาดื่มอย่างไรก็ตาม หากสังเกตพบอาการหิวบ่อยร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ผิวแห้ง ผอมลงหรืออ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : สัญญาณบอกโรคของคนหิวบ่อย กลับสู่หน้าหลักบทความ

สัญญาณบอกโรคของคนหิวบ่อย Read More »

ชวนสังเกต เล็บบอกโรค

ชวนสังเกต เล็บบอกโรค สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บ ล้วนแต่มีอาการบอกโรค หรือรอยโรคให้เห็น หากคุณหมอตรวจวินิจฉัยแล้วจึงทราบได้ว่าขณะนี้ผู้ป่วยเป็นโรคใดและเข้าสู่กระบวนการรักษา แต่วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกท่านมาสังเกตสัญญาณบอกโรคกันครับ แม้จะไม่จำเพาะเจาะจงโรคแต่นี้คือสัญญาณที่เตือนว่าคุณอาจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษและหมั่นตรวจสุขภาพมากขึ้น และนี่คือ การสังเกตเล็บ ครับ สุขภาพเล็บ สีเล็บ บอกอะไรเกี่ยวกับโรคบ้าง ติดตามไปพร้อมกันครับ ต่อไปนี้คือลักษณะของเล็บที่อาจบ่งบอกภาวะสุขภาพของท่าน 1.เล็บซีด อาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก มักพบในผู้ที่เลือดน้อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ขี้หนาว อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคโลหิตจาง หรือการทำงานของหัวใจมีปัญหา 2.เล็บสีเหลือง หากเป็นเล็บสีเหลืองจาง คือ การทำงานของม้ามและกระเพาะอ่อนแอ มักพบในผู้ที่ไม่อยากอาหาร ผอมหรือไม่มีแรง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง โรงระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น หากเล็บเป็นสีเหลืองเข้ม คือ ตับและไตมีความร้อนชื้น สีผิวออกเหลืองเข้ม หน้าแดง แน่นซี่โครง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคตับแข็ง ความดันโลหิตสูง และอื่นๆ เป็นต้น 3.เล็บเขียวม่วง การหมุนเวียนของชี่และเลือดไม่ดี มักพบในกลุ่มอาการปวดคล้ายเข็มทิ่ม ความจำไม่ดี ขี้หนาวมาก ปากม่วง อาจเป็นสัญญาณเตือนของการรับออกชิเจนไม่เพียงพอ ปอดมีปัญหา หรือโรคหัวใจบางชนิด เป็นต้น 4.เล็บมีเส้นแนวตั้ง แพทย์แผนจีนมองว่า จิงและชี่พร่อง มักจะพบในผู้ที่อ่อนเพลียเรื้อรังมานาน พักผ่อนไม่เพียงพอ ใช้สมองหนัก เป็นต้น 5.โคนเล็บไม่มีเสี้ยวพระจันทร์ แพทย์แผนจีนมองว่า เกิดจากการขาดสารอาหาร มักจะพบในผู้ที่ลดน้ำหนักหรือเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น 6.เล็บแตก เป็นสัญญาณเตือนของโรคโลหิตจาง หรือการขาดวิตามิน B C หรือธาตุเหล็ก มักจะพบในผู้ที่ตาหรือผิวแห้งบ่อย เลือดตับพร่องหรือตับและไตพร่อง ปวดหลัง ปวดเข่า 7.เล็บมีจุดขาว แพทย์แผนจีนมองว่า ม้ามอ่อนแอ ผลิตเลือดน้อย มักจะพบในผู้ที่ขาดสารอาหาร เวียนศีรษะ อาหารไม่ย่อย อาจเป็นสัญญาณเตือนการทำงานของตับผิดปกติ เช่น ไวรัสตับอักเสบ B หรือ ถุงน้ำในตับ เป็นต้น 8.เล็บมีจุดดำ สัญญาณ โรคทางสมองต่างๆ เช่น เส้นเลือดสมองตีบ การหมุนเวียนเลือดในสมองไม่เพียงพอ มักจะพบในผู้ที่เวียนศีรษะบ่อย แขนขาไม่มีแรงหรือชา อาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนเป็น เป็นต้น 9.เล็บขรุขระ สัณญาณไตบกพร่อง มักจะพบในผู้ที่เป็นหวัดง่าย เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย หรือในผู้สูงอายุ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคสะเก็ดเงิน หรือโรคข้ออักเสบ เป็นต้น 10.เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก พบในผู้ป่วยลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือด 11.เล็บฉีกลอกเป็นสะเก็ด คือ อาการของคนที่ขาดกรดไลโนลิอิก (linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น             เล็บเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยใช่หรือไม่ครับ หากเล็บของเราสุขภาพดีนั่นหมายถึงสัญญาณสุขภาพโดยรวมที่ดีด้วย และสำคัญไม่แพ้กันคือการปรับพฤติกรรมการรับประทาน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ :  ชวนสังเกต เล็บบอกโรค กลับสู่หน้าหลักบทความ

ชวนสังเกต เล็บบอกโรค Read More »

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อันตราย

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อันตราย สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้แอดมินพาทุกท่านมารู้จักกับหนึ่งในโรคที่มีสัญญาณทางสุขภาพค่อนข้างชัดและรุนแรงโรคหนึ่ง โรคนั้นคือ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” ลองสังเกตดูว่า เมื่อคุณมีการออกแรง เช่น ยกของหนัก หรือ ออกกำลังกาย มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก บริเวณกลางหรือด้านซ้ายของเต้านม อาจรัดเป็นคล้ายก้อนหินแข็งบริเวณหน้าอก หรือไม่ ซึ่งเมื่อมีอาการนี้แสดงออกมาเป็นไปได้ว่าหลอดเลือดหัวใจของคุณอาจตีบตันไปเสียแล้ว วันนี้เราจึงมาดูอาการของโรค ปัจจัยเสี่ยง และวิธีดูแลตนเองสำหรับโรคนี้กันครับ ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะนำพาคุณไปสู่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ได้ การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนที่ไม่สูบ ซึ่งสารเคมีในบุหรี่อาจทำให้เกิดความเสียหายกับผนังหลอดเลือดได้ โรคเบาหวาน: โรคเบาหวานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานๆ อาจทำลายผนังของหลอดเลือดและเกาะสะสมคราบภายในผนังหลอดเลือดได้ ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถกระตุ้นกระบวนการสะสมไขมันภายในผนังหลอดเลือดได้ เมื่อมีการสูบฉีดโลหิตแรงขึ้นเพื่อส่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น โคเลสเตอรอลสูง: ระดับโคเลสเตอรอลสูงมีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโอกาสให้ไขมันเกาะผนังหลอดเลือดมากขึ้น ความอ้วน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น การนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานตลอดวัน: การนั่งเฉยๆ โดยไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานอาหาร: อาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นเวลานานสามารถเพิ่มปริมาณไขมันในเลือดและทำลายกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ลดลง ความเครียด: ความเครียดหรือความคิดในเชิงลบอาจมีผลต่อสุขภาพร่างกายในหลายๆ ด้าน เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดหัวไมเกรน และอาจมีผลต่อหัวใจอีกด้วย การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้แบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ การวินิจฉัยโรคของแพทย์ : การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้โดยใช้เทคนิคการสวนสีหัวใจ ซึ่งจะเป็นการส่องกล้องเข้าไปภายในหลอดเลือดเพื่อตรวจสอบความตีบหรือตันของหลอดเลือดในบริเวณที่มีปัญหา การทำบอลลูน: หลังจากการวินิจฉัยแล้วพบว่ามีหลอดเลือดตีบหรือตัน จะทำการรักษาโดยการทำบอลลูน โดยหมายถึงการใส่ขดลวดเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อขยายหรือแก้ไขปัญหาหลอดเลือดที่ตีบตัน ขดลวดจะถ่างหรือดันของสะสมที่ขัดขวางทางเดินของหลอดเลือดออก ทำให้หลอดเลือดที่ตีบตันเป็นส่วนๆ โล่งขึ้น ทำให้เลือดสามารถไหลผ่านได้สะดวกยิ่งขึ้น การพัฒนาขดลวด: ในอดีตเมื่อใส่ขดลวดเข้าไปในหลอดเลือด หลอดเลือดอาจขยายตัวและกลับคืนสภาพเดิมเมื่อนำขดลวดออก ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดหดตัวและตีบเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม การพัฒนาขดลวดได้ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถใส่ไว้ในหลอดเลือดได้โดยไม่ต้องถอดออก และเพื่อป้องกันการพังผืดเกาะบริเวณรอบขดลวด ได้มีการเคลือบยาเพื่อป้องกันไว้ ทำให้หลอดเลือดคงสภาพได้ดีเหมือนเดิม โดยจะลดโอกาสให้เกิดปัญหาของการตีบตันหลอดเลือดน้อยลง และส่งท้ายด้วย เกร็ดสาระการกินเพื่อลดความเสี่ยง 1.เลือกทานเนื้อสัตว์ที่ไม่มีมันหรือมีไขมันน้อย เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ ไก่ (ไม่ติดหนัง) หรือหมูเนื้อแดง 2.หลีกเลี่ยงการทานกะทิและเบเกอรี่ที่มีไขมันทรานส์ 3.เลือกเมนูการปรุงอาหารเช่น ต้ม / ปิ้ง / ย่าง / นึ่ง แทนการผัดและทอด 4.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 5.เลือกใช้น้ำมันทำอาหารอย่างเหมาะสม เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนล่า 6.หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็มและอาหารแปรรูป 7.เพิ่มการทานเส้นใยจากผักและผลไม้ เพราะเส้นใยช่วยลดการดูดซึมไขมันในร่างกาย        โดยการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสะสมไขมันในร่างกายและส่งเสริมสุขภาพที่ดีของระบบหัวใจและหลอดเลือดในร่างกาย ดังนั้น ควรรักษาสุขภาพอย่างรอบคอบโดยเฉพาะในเรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายเพียงพอ การลดความเครียด และการปฏิบัติตามแนวทางที่แพทย์แนะนำเพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อันตราย กลับสู่หน้าหลักบทความ

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อันตราย Read More »

เลี่ยง เลือก รู้ สู้โรคเก๊าต์

เลี่ยง เลือก รู้ สู้โรคเก๊าต์ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ โรคมากมายหลายโรคที่มีสาเหตุมาจากการกินท่านอาจจะนึกถึงโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และเชื่อว่าคำตอบของบางท่านอาจจะนึกถึงโรคนี้ครับ “โรคเก๊าต์” ที่เรามักจะได้ยินว่าเป็นเก๊าต์ห้ามกินไก่ วันนี้เรามาขยายความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเก๊าต์กันครับว่าสาเหตุคืออะไร แล้วควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อรับมือกับโรค ติดตามไปพร้อมกันครับ รู้จักเก๊าต์ ? เก๊าต์ คือ ชื่อของโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายมีกรดยูริคสะสมอยู่มากตามข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ กรดยูริคอาจตกตะกอนในไตหรือทางเดินปัสสาวะ ทำให้เป็นนิ่วหรือไตวายเรื้อรังได้ และสาเหตุของการสะสมกรดยูริคนั้นก็มาจาก การกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูงประกอบกับอาหารที่มีไขมันมากเกินไป โดยเจ้าสารพิวรีนตัวนี้ จะถูกเผาผลาญให้กลายเป็นกรดยูริคในเลือดและการสะสมของกรดยูริคนี้เองจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคเก๊าต์ หรือในอีกทางหนึ่ง การที่ร่างกายมีการสังเคราะห์กรคยูริคมากขึ้นนั้น มักเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ เพศ ภาวะไตเสื่อมหรือผลข้างเคียงจากยาได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าต์ ก็จะได้แก่ ท่านที่มีภาวะ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น เลี่ยง อาหารพิวรีนสูง (มากกว่า150 มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) เพื่อไม่ให้เก๊าต์กำเริบ ควรหลีกเลี่ยง ข้าวแป้ง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ผัก กระถิน ชะอม ยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง เห็ด เนื้อสัตว์ ไข่ปลา เครื่องในสัตว์ ปลาไส้ตัน ปลาแอนโชวี่ ปลาอินทรีย์ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลากระตัก กุ้ง หอย ห่าน อื่นๆ น้ำสกัดจากเนื้อ น้ำต้มกระดูก น้ำเกรวี่ น้ำซุป ซุปก้อน น้ำปลา กะปิ ยีสต์ นอกจากอาหารแล้วก็มียาบางชนิด เช่น  ยาขับปัสสาวะ และยาแอสไพริน ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์ได้ เลือก อาหารพิวรีนน้อย (0 – 15 มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) อาหารกลุ่มนี้ได้แก่  ข้าวแป้ง ข้าวขาว ขนมปัง สาคู ข้าวโพด แครกเกอร์ ก๋วยเตี๋ยว  มักกะโรนี พาสต้า มันฝรั่ง มันเทศ ผัก ผักต่างๆ (ยกเว้นบางชนิดที่มีพิวรีนมากและส่วนของยอดผัก) ผลไม้ ผลไม้ต่างๆ น้ำผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ไข่เป็ด เนยแข็ง นม นมพร่องมันเนย นมขาดมันเนย ไขมัน น้ำมันที่ใช้ประกอบอาหาร เนย อื่นๆ น้ำส้มสายชู วุ้น เจลาติน พุดดิ้ง คัสตาร์ด เครื่องเทศชนิดต่างๆ โบกมือลาโรคเก๊าต์ด้วยวิธีต่อไปนี้ ⛨ควบคุมการรับประทานอาหารที่มีผิวรีนสูง ⛨หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ⛨ดื่มน้ำมาก ๆเพื่อช่วยในการขับถ่ายกรดยูริค ⛨ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ⛨หลีกเลียงภาวะเครียด ⛨ดูแลรักษาความอบอุ่นของร่างกาย (โรคเกาต์มักกำเริบในเวลาอากาศเย็น และเวลากลางคืน) ⛨ การรับประทานยาเพื่อลดระดับกรดยูริก ให้อยู่ต่ำกว่า 5.0-6.0 มก./ดล. ซึ่งหากผู้ป่วยรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนคุมระดับกรดยูริกได้ดีจะช่วยให้โรคเกาต์สงบ อาการข้ออักเสบจะหายไป และผู้ป่วยจะสามารถกลับมารับประทานอาหารได้ตามปกติโดยไม่ปวดข้ออีก ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เลี่ยง เลือก รู้ สู้โรคเก๊าต์ กลับสู่หน้าหลักบทความ

เลี่ยง เลือก รู้ สู้โรคเก๊าต์ Read More »

เชื้อราแมว ป้องกันไว้ก่อน

เชื้อราแมว ป้องกันไว้ก่อน สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ วันนี้แอดมินจะมาชวนสร้างสุขลักษณะที่ดีสำหรับท่านที่เลี้ยงน้องเหมียวกันครับ เนื่องจากหน้าฝนได้นำพาความชื้นเข้ามา ไม่ใช่เพียงมนุษย์อย่างเราๆที่ประสบพบเจอกับโรคทางผิวหนัง สัตว์เลี้ยงเองก็เผชิญโรคผิวหนังได้เช่นกันครับ และไม่เพียงเท่านั้นครับ โรคดังกล่างยังสามารถติดต่อสู่คนผู้เป็นเจ้าของหรือผู้สัมผัสสัตว์เลี้ยงด้วยครับ โดยเฉพาะเชื้อราแมว ที่สร้างความกังวลให้ผู้ที่เลี้ยงน้องแมวเป็นอย่างมากครับ วันนี้เรามาดูวิธีป้องกันและรับมือกับเจ้าเชื้อราแมวกันครับว่ามีวิธีใดบ้าง ติดตามไปพร้อมกันครับ เชื้อราแมว ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า “Microsporum canis” ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นนอกของสัตว์ รวมถึงเล็บและเส้นขนของเจ้าเหมียว เนื่องด้วยเชื้อราประเภทนี้อาศัยเคราติน (Keratin) ที่อยู่ในนั้น เป็นแหล่งอาหารในการเจริญเติบโตของมัน อาการเชื้อราแมวในแมว แมวจะแสดงอาการคันและเป็นผื่นแดงตามผิวหนัง ประกอบกับมีขนร่วงเป็นวงกลมและขยายขึ้นเรื่อยๆ จนในระยะถัดมาจะเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพของเชื้อราแมว แผลบริเวณนั้นจะเริ่มมีเป็นขุยขาวๆ เหมือนผิวหนังลอก ไปจนถึงขั้นตกสะเก็ด อาการเชื้อราแมวในคน ปอร์เชื้อราแมว สามารถติดต่อสู่คนได้ ยิ่งใครที่มีภูมิต้านทานต่ำ อายุน้อยหรืออายุเยอะ อาการที่ปรากฏได้แก่ จะมีอาการคันเป็นผื่นแดง เป็นขุยสีขาว ผิวหลังลอก เกิดได้ทั่วไปตามร่างกาย ได้ทั้งมือ เท้า ใบหน้า แขน ฯลฯ การลดปัจจัยกระตุ้นการเติบโตของเชื้อราจึงเป็นเกราะป้องกันด่านแรก โดยต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ ความชื้น ทุกครั้งหลังอาบน้ำ ควรเช็ดขนน้องแมวให้แห้งสนิท เพราะความชื้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เชื้อราเติบโตดีที่สุด (หากเลี้ยงหลายตัวไม่ควรใช้ผ้าเช็ดขนผืนเดียวกัน และพยายามอย่าอาบน้ำแมวบ่อยเกินไป เดือนละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ) ฝุ่นละออง รักษาสุขอานามัยรอบบ้านอยู่เสมอ พยายามดูดฝุ่นบ่อยๆ โดยเฉพาะจุดที่แมวอยู่ เพื่อลดปริมาณเชื้อรา ความสะอาด หมั่นซักของใช้น้องแมวอยู่เสมอ ทั้งเบาะนอน ของเล่นประเภทผ้า ฯลฯ เพื่อลดการสะสมเชื้อ และพยายามล้างมือตัวเองให้บ่อย หลังจากเล่นกับน้องแมว                  นอกจากนี้สิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือการอาบน้ำให้กับสัตว์เลี้ยงด้วยแชมพูสูตรลดการสะสมของเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรีย และลดโอกาสการก่อเกิดโรคผิวหนัง และ และข้อแนะนำสำคัญอีกประการคือการ ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อรา ที่เกิดจากเชื้อ Microsporum canis ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่น้องแมวอายุ 2 เดือนขึ้นไป ควรฉีดกระตุ้น 3 เข็ม และฉีดสม่ำเสมอทุก 1 ปี ครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : เชื้อราแมว ป้องกันไว้ก่อน กลับสู่หน้าหลักบทความ

เชื้อราแมว ป้องกันไว้ก่อน Read More »

อาหารต้านไทรอยด์เป็นพิษ

อาหารต้านไทรอยด์เป็นพิษ สวัสดีท่านผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ พบกับสาระสุขภาพดีๆกับ Admin Worldmed กันอีกเช่นเคยครับ สาระในวันนี้เป็นเรื่องของภาวะหนึ่งที่ เรียกว่า ไทยอยด์เป็นพิษ  ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายสูงมากกว่าปกติ อาการที่ปรากฏจะได้แก่ ใจสั่น มือสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ท้องเสีย ตัวและตาจะเหลือง อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ คุณผู้หญิงอาจมีประจำเดือนมาผิดปกติ และในผู้ป่วยบางรายพบมีต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอมีขนาดโตมากขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเหล่านี้แล้วก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้ารับการรักษาจากคุณหมอ เพื่อรับประทานยาหรือเข้ารับการการผ่าตัด แต่คงดีกว่าหากเราเลือกกินอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะไทรอยต์เป็นพิษ จะมีอาหารกลุ่มบ้าง ติดตามพร้อมกันครับ 1.ไอโอดีน เป็นสารอาหารสำคัญในระบบการทำงานของต่อมไทรอยด์ ที่จะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนต่างๆ ได้เป็นปกติ พบในปลา หอยกาบ กุ้ง หอยนางรม ไข่ กระเทียม ฯลฯ 2.วิตามีนบี เป็นวิตามินที่สำคัญกับการทำงานของระบบต่อมไทรอยด์ และยังช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ชนิด Thyroxine (T4) อีกด้วย พบในไข่แดง เครื่องในสัตว์ ปลา ธัญพืชต่าง ๆ ถั่วลันเตา นม เห็ด เมล็ดอัลมอนด์ ฯลฯ 3.ธาตุซีลีเนียม ช่วยในการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง โดยสารชนิดนี้จะเข้าไปป้องกันต่อมไทรอยด์จากความเครียด และยังช่วยสร้างโปรตีนที่ใช้ในการควบคุมการสังเคราะห์ของฮอร์โมนในร่างกาย ควบคุมระบบการเผาผลาญและคอยรักษาระดับของฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายอีกด้วยในปลาทูน่า เห็ด เครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง ฯลฯ 4.สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่มีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับฮอร์โมนไทรอยด์ พบในเมล็ดทานตะวัน เนื้อแกะ ถั่วพีแคน ธัญพืชต่าง ๆ หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ฯลฯ 5.ทองแดง หากขาดธาตุทองแดง สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไทรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นแบบภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ หรือผู้ป่วยที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลมากขึ้น เนื่องจากร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อใช้ในร่างกายได้อย่างเต็มที่ในถั่วเหลือง เห็ดชิตาเกะ ข้าวบาร์เล มะเขือเทศ และดาร์กช็อกโกแลต 6.สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี มีหน้าที่ช่วยให้ต่อมไทรอยด์ต่อสู้กับภาวะการถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระ และป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนวัยของต่อมไทรอยด์ พบในแครอท ผักโขม ถั่วเลนทิล ถั่วเหลือง ถั่วขาว เครื่องในสัตว์ 7.ธาตุเหล็ก หากขาดธาตุเหล็กก็จะทำให้ความสามารถในการทำงานของต่อมไทรอยด์ลดลง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ พบในเครื่องในสัตว์ หอยนางรม ผักโขม ถั่วเหลือง ถั่วขาว และเมล็ดฟักทอง ทั้งนี้อาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องทานในปริมาณที่เหมาะสม และไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆตามมา นอกจากนี้ ในช่วงแรกที่เริ่มรักษายังมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษอยู่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เพราะอาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกได้ การรับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนการจึงเป็นทางเลือกลำดับต้นๆที่จะช่วยให้คุณมีแนวทางการเลือกบริโภคได้อย่างมีคุณภาพครับ ติดตามสาระใน EP.ถัดไปได้ที่ช่องทางนี้ หรือ www.worldmedsolution.com บทความ : อาหารต้านไทรอยด์เป็นพิษ กลับสู่หน้าหลักบทความ

อาหารต้านไทรอยด์เป็นพิษ Read More »